Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ปัญหาและวิธีแก้ไขของการศึกษา ที่ไม่มีใครจัดการมากว่า 30 ปี ติดต่อทีมงาน

เสียงจากคนข้างโรงเรียน

ผมไม่ใช่ครู แต่มีเหตุให้ผมต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับแวดวงการศึกษาอยู่หลายเรื่อง และได้เฝ้ามองการศึกษาของเด็กๆ ในต่างจังหวัดด้วยความห่วงใยมาเป็นเวลานาน จึงอยากถ่ายทอดสิ่งที่ได้รู้เห็นในมุมมองของผมให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ

เมื่อราว 30 กว่าปีก่อน ผมได้ไปหาเพื่อนที่เป็นอาจารย์สอนที่วิทยาลัยแห่งหนึ่ง ขณะนั้นเขากำลังสอนนักศึกษาโดยใช้ไมค์โครโฟน  ผมคุยกับอาจารย์ที่นั่งคุยด้วยกันว่าเพื่อนผมสอนฉะฉานดีนะครับ มีอาจารย์ท่านหนึ่งตอบว่า เขา ก็สอนไปยังงั้นแหละ  ทั้งห้องรู้เรื่องที่กำลังสอนนี้ไม่เกิน 2 คน  ผมก็พูดว่าอาจารย์ล้อเล่นหรือครับ  เขาตอบว่าเรื่องจริง  ห้องนี้ผมก็สอน  เด็กทั้งห้องถอดบัญญัติไตรยางค์เป็นแค่ 2 คน รับรองว่าบทที่อาจารย์...กำลังสอนน่ะรู้เรื่องแค่ 2 คน  ผมก็ถามว่าแล้วเด็กพวกนี้จบชั้นมัธยมมาได้อย่างไร  เขาตอบว่าคุณก็ไปถามครูมัธยมว่าส่งอะไรมาให้ผมสอน

ผมไปถามครูมัธยม ได้ความจริงว่าเด็กจบมัธยมออกไปด้วยความรู้ที่ต่ำมาก  เพราะมีกติกาว่าห้ามมีนักเรียนสอบตกซ้ำชั้น  (ถ้ามี ครูประจำชั้นจะไม่ได้ขึ้นขั้นเงินเดือน  หัวหน้าหมวดจนถึงผู้อำนวยการก็จะโดนด้วย)  ผมก็ถามว่าทำไมจึงสอนให้เด็กมีความรู้ตามเกณฑ์ไม่ได้  เขาตอบว่าเด็กบางส่วนมาเรียนมัธยมโดยไม่มีพื้นความรู้อะไรเลย เขียนหนังสือยังไม่ได้ก็มี   ถ้าอยากรู้เหตุผลก็ให้ไปถามครูประถมดูว่าส่งอะไรมาให้เขาสอน

ผมไปถามครูชั้นประถมศึกษา  ก็ได้คำตอบในเรื่องกติกาที่ว่าห้ามมีเด็กสอบตกซ้ำชั้นเหมือนกัน  ผมพยายามสอบถามหาเหตุผลจากผู้ใหญ่หลายท่าน  จนกระทั่งได้คำตอบว่าที่เขาห้ามมีเด็กสอบตกซ้ำชั้นนั้น  ความจริงไม่ใช่เหตุผลที่ว่ารัฐได้ลงทุนกับเด็กไปมากแล้วต้องให้สอบผ่านขึ้นชั้นได้เท่านั้น  แต่รัฐ (กระทรวงศึกษาฯ) ต้องการให้ครูประจำชั้นซึ่งใกล้ชิดกับเด็กที่สุด เอาเด็กที่เรียนอ่อนไม่ทันเพื่อนมาสอนหลังเลิกเรียนและตอนเช้าก่อนเข้าชั้นเรียน (ถ้ามีหลายคน)  เพื่อให้เรียนทันเพื่อน  

 ความต้องการของรัฐดังกล่าวนั้นไม่สามารถปฏิบัติได้  เพราะครูก็มีครอบครัว มีภาระอื่นๆ นอกเวลางาน  ดังนั้นเพื่อไม่ให้ตนเองโดนลงโทษจึงให้เด็กได้ขึ้นชั้นเรียน ทั้งที่เด็กไม่ได้มีความรู้ตามมาตรฐานที่ควรจะเป็น
แต่ในช่วงแรกๆ ที่มีกติกานั้นออกมา ผมคิดว่าครูไม่น่าจะสอนให้เด็กสอบผ่านได้ทุกคน เพราะสมัยก่อนนั้นใช้ข้อสอบกลางสำหรับชั้นประถม 4, 7 และ ม.ศ. 5  แต่ความจริงที่ผมไม่ทราบในขณะนั้นคือกระทรวงฯ ได้เปลี่ยนการสอบของเด็กนักเรียนโดยให้สถานศึกษาออกข้อสอบเอง-ให้คะแนนเอง  ดังนั้นครูจึงสามารถให้คะแนนเด็กจนถึงขั้นที่ไม่ต้องสอบตกซ้ำชั้นได้ (แม่เด็กบางคนบอกว่าเอาไก่ไปให้ครูก็สอบได้, บางคนว่าเด็กไปล้างรถให้ครูก็สอบได้)

เวลาผ่านไป 30 ปี ผมไม่ได้ติดตามหรือต่อสู้เรื่องนี้เพราะคิดว่าการศึกษามีคนรับผิดชอบอยู่แล้ว  คงมีการเปลี่ยนกติกาห้ามเด็กซ้ำชั้นไปหลังจากใช้ไม่กี่ปี  แต่เมื่อช่วงปิดเทอมใหญ่ที่ผ่านมาผมได้เข้าไปที่วิทยาลัยแห่งนั้นอีก เพื่อหาเพื่อนคนเดิม  พบนักศึกษาอยู่ในอาคารปฏิบัติการเต็มไปหมด  จึงถามอาจารย์หัวหน้าแผนกว่า เด็กมาทำอะไรกันเยอะแยะ ได้รับคำตอบว่าเด็กมาสอบแก้ครั้งที่ 5 และวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ต้องส่งผลคะแนนประจำภาคเรียน  และต้องให้เด็กสอบผ่านทั้งหมด  แล้วก็เอากระดาษรายชื่อเด็กที่มาสอบให้ผมดู  ซึ่งมีเต็มหน้ากระดาษ  และบอกผมว่าเด็กในชั้นราว 100 คน  มีที่เรียนเก่งจริงๆ 2-3 คน  อีก 21-23 คน อาจารย์ทุกคนเห็นว่าควรจะให้จบได้แบบสบายใจ  และที่เหลือคือพวกนี้

ต่อมาเมื่อราว 3 เดือนที่แล้ว  ครูมัธยมคนหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าปกติเขาสอนชั้นม.ปลาย  แต่วันนี้ไปแทน ม.3  พบเด็กบางคนอ่านหนังสือไม่ได้  ผมถามว่าภาษาไทยหรือ  เขาตอบว่าใช่  ถ้าตัวที่สะกดตรงๆ เช่น “กาน”  จะอ่านได้  แต่ถ้ามี สระ,วรรณยุกต์ อยู่ข้างบนหรือข้างล่าง จะอ่านไม่ได้เลย ผมถามถึงกติกาที่ว่าห้ามเด็กสอบตกซ้ำชั้น  ผมก็ได้รับตำตอบว่ายังใช้กันอยู่

เมื่อ  2  สัปดาห์ก่อน ผมเจอครูมัธยมอีกโรงเรียนหนึ่ง ผมเล่าเรื่องเด็ก ม.3 อ่านหนังสือไม่ออกให้เขาฟัง  เขายืนยันว่าเป็นเรื่องจริง  เด็กของเขาอยู่ชั้น ม.4 เขียนหนังสือไม่ได้หลายคน  เขาบอกว่าไม่มีทางสอนเด็กทั้งห้องให้รู้ตามหลักสูตรได้  สิ่งที่ทำได้คือแบ่งเด็กเป็น 2 พวก คือ พวกที่จะเอาความรู้เขาก็สอน พวกที่มาเรียนเพื่อเอาใบประกาศ เขาก็ไม่ทุ่มเทสอนเพราะสอนไปก็ไม่รู้เรื่อง (เด็กไม่มีพื้นฐานเลย)  กลุ่มหลังนี้เขาบอกว่ามีเกินครึ่ง ผมถามเขาว่าในเมื่อกระทรวงให้งานที่เกินกำลังความสามารถ ทำไมพวกครูไม่ต่อสู้  เขาบอกว่าเบื้องบนสั่งไม่รู้จะทำอย่างไร ผมก็บอกว่าเวลารวมกันเป็นแสนๆ คนไปขอขึ้นเงินเดือนทำไมครูทำได้  อันนี้เป็นวิชาชีพ เป็นศักดิ์ศรีของครูทำไมไม่ทำ  ผมยกตัวอย่างว่าถ้าอาจารย์ซื้อรถมอเตอร์ไซค์มา 1 คัน กลับถึงบ้านอีกวันพอเหยียบคันสตาร์ท คันสตาร์ทก็หัก สายคันเร่งขาด แฮนด์รถหลุด อาจารย์ยอมไหม  เขาว่าไม่ยอม  ผมก็บอกเขาว่าคน สำคัญกว่าสิ่งของตั้งแยะ ทำไมอาจารย์ยอมให้เด็กเรียนจบออกไปโดยต่ำกว่ามาตรฐาน แถมออกใบรับรองให้ด้วย  

ผมได้คุยกับเขาต่อว่ากระทรวงศึกษานี่แปลก ไปอุ้มข้าราชการใหญ่ๆ ในกระทรวงฯ ที่เกษียนแล้ว โดยให้มาเปิดบริษัทประเมินการศึกษา  จ้างมาประเมินครู  ประเมินสถานศึกษา ทั้งๆ ที่ประเมินที่เด็กจุดเดียวก็น่าจะพอ  เขาก็บอกว่าจริง (ผมถามครูและผู้บริหารโรงเรียนมาเกิน 10 คน ก็ได้รับคำตอบว่าประเมินที่เด็กดีกว่า)

ผมขอกลับมาเรื่องการเรียนการสอนนะครับ  ผมสมมติภาพเด็กน้อยที่เรียนชั้นประถมปีที่ 1  เมื่อเด็กบางคนอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้  บวกลบเลขไม่รู้เรื่อง  เมื่อขึ้นประถม 2 เด็กเหล่านี้ย่อมเกลียดโรงเรียน  เพราะเรียนไม่รู้เรื่องยิ่งขึ้น  ปีต่อๆ ไปก็ยิ่งเรียนไม่ทันเพื่อนมากขึ้น  เด็กที่ไปโรงเรียนแต่ไม่เรียนหนังสือมักจะเกเร  และเป็นกลุ่มที่มักจะพาให้เพื่อนที่เรียนอยู่เสียคนหรือเกเรตามได้มาก

ผมไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการตั้งกติกาที่ห้ามเด็กสอบตกซ้ำชั้นเมื่อ 30 กว่าปีก่อน ว่ามีวัตถุประสงค์อะไร  ไม่ทราบว่าเนื่องจากรัฐมนตรีต้องการความแปลกใหม่  หรือประเทศต้องการกำลังคนที่เหมาะสมเพียงเพื่อทำงานหน้าสายพานการผลิต ที่ไม่ต้องมีความรู้อะไรเลยก็ได้ เพราะอุตสาหกรรมกำลังขยายตัว  เด็กที่เรียนจบมาโดยไม่มีความรู้ที่แท้จริงย่อมไม่เลือกงานนัก  

สัปดาห์นี้  ผมได้ข้อมูลมาอีก 2 ด้านครับ  คือด้านแรก โรงเรียนตามหมู่บ้านในชนบทต่างจังหวัด ปัจจุบันมีเด็กนักเรียนจำนวนน้อยมาก  บางแห่งครูจึงมีเวลาเพิ่มในการเอาใจใส่ให้เด็กเรียนรู้ได้มากขึ้น  แต่ในทางปฏิบัติคาดว่าการเรียนการสอนก็คงไม่ได้ดีกว่าเดิมนักถึงแม้ว่าเด็กนักเรียนจะลดลง   เนื่องจากพฤติกรรมการสอนที่สั่งสมปฏิบัติกันมานานกว่า 30 ปีคงไม่ทำให้ได้ผลสัมฤทธิ์ที่ดีขึ้นสักเท่าไร   สาเหตุที่เด็กตามโรงเรียนชนบทลดลงเพราะโรงเรียนเอกชน โรงเรียนวัด โรงเรียนมูลนิธิต่างๆ ในตัวจังหวัด พากันล่ารายหัวเด็ก โดยจัดรถบัสรับส่งเด็กนักเรียนจากหมู่บ้านมาเรียนในเมือง (รัฐจ่ายเงินอุดหนุนตามจำนวนนักเรียน) จากการสอบถามได้ความว่า เด็กในโรงเรียนเหล่านี้กว่าครึ่งห้องเรียน เรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง ครูผู้สอนก็ให้เด็กสอบผ่าน เพราะถ้าเด็กสอบตก  โรงเรียนก็เลิกจ้าง  มีคนจบวุฒิครูตกงานรอเข้าทำงานมากมาย

ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้หันมาสนใจคุณภาพด้านสมองของคนไทย  แต่เขาเล็งแก้ปัญหาไปทางด้านสารอาหาร  คือ ไอโอดีน  ผมคิดว่านั่นคือภาพสะท้อนการไม่รู้หนังสือและด้อยการศึกษาของเด็กส่งผลออกมาให้เห็นชัดเจนทั่วไป  กระทรวงอื่นๆบางกระทรวง ก็พยายามยื่นมือเข้ามาช่วยแก้ปัญหาในขอบเขตของตน ไม่กล้าที่จะก้าวก่ายกระทรวงศึกษา  เมื่อวานนี้ผมได้ดูทีวี พบรายการ “มูลนิธิพระดาบส”  เชิญชวนให้คนไปสมัครเรียนฟรี  ตอนหนึ่งเขาบอกว่า “ผู้ที่ประสงค์จะเรียน (วิชาช่าง) ไม่จำเป็นต้องอ่านออกเขียนได้”  แสดงว่าปัญหาคนไทยไม่รู้หนังสือ แต่เรียนจบภาคบังคับมาโดยที่ไม่ได้มีความรู้ตามที่ควรนั้น  น่าจะเป็นที่ทราบกันในวงกว้างพอสมควร  แต่คนส่วนมากจะคิดว่าไม่ใช่ปัญหาของตนเลยไม่มีการแก้ไข

ผมขอเล่าเพียงเท่านี้ก่อนครับ  ผมขอเรียนว่าเรื่องที่กระผมเล่าเป็นความจริงที่เกิดขึ้น ผู้ที่อยู่เบื้องบนอาจจะทราบหรือไม่ทราบก็ไม่แน่ใจครับ  เพราะผมคิดว่าการประเมินด้านต่างๆ ที่ภาครัฐจัดทำขึ้น เช่น KPI หน่วยงานมักจะทำแบบกำหนดผลคำตอบสุดท้ายที่ต้องการไว้ก่อน   ขอให้ท่านที่อ่านบทความนี้ได้โปรดช่วยหาทางแก้ไขปัญหาการศึกษาของเด็กไทยด้วยครับ ผมคิดว่าวิธีแก้ไขเบื้องต้นน่าจะเริ่มจากการกำหนดให้ใช้ข้อสอบกลางสำหรับชั้นประถม 1 -2 ก่อนครับ

......................................................
29 พย. 2553
.........................................................

ความจริงยังมีอีกหลายประเด็นครับ
แต่ผมคิดว่าปัญหาข้างต้นเป็นหัวใจหลักของแก้ปัญหาทั้งหลายแหล่
เมื่อมีการจัดการเรื่องกติกาการวัดผลของนักเรียนแล้วค่อยจัดการเรื่องอื่นๆ
(หรือจัดการเรื่องอื่นๆไปพร้อมกัน  แต่ต้องจัดการเรื่องนี้ด้วย)

ขณะนี้ทราบว่าผู้เกี่ยวข้องพยายามหาทางแก้ไขปัญหาการศึกษาอยู่เหมือนกัน
แต่เป็นการคิดจากฝ่ายครูฝ่ายเดียว  
เลยมุ่งไปที่การแก้ไขวิธีวัดผลของครูผู้สอน+วัดผลโรงเรียน โดยการปลดล็อกการวัดผลที่ใช้อยู่
ไม่ใช่แก้ไขกติกาการวัดผลนักเรียนครับ

จากคุณ : ครับผม
เขียนเมื่อ : 31 มี.ค. 54 12:04:15




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com