พุทธแท้เป็นปรัชญา พุทธศาสนาคือพุทธเทียม
|
 |
พระพุทธเจ้าเป็นคนไม่มีศาสนา Tue, 2011-03-29 03:04 สุรพศ ทวีศักดิ์ ภาพพจน์ของพระพุทธเจ้าที่เรารับรู้ผ่านคัมภีร์ทางพุทธศาสนานั้น มีสองภาพพจน์ที่ตรงข้ามกัน ภาพพจน์หนึ่งคือภาพของ อภิมนุษย์ ที่บำเพ็ญบารมีมานับชาติไม่ถ้วน สุดท้ายไปเสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต จากนั้นจึงมาเกิดเป็นมนุษย์และตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า การถือกำเนิดก็มีปาฏิหาริย์เดินได้ 7 ก้าว และสามารถพูดได้ทันที รูปร่างก็สง่างามสมบูรณ์ด้วยมหาบุรุษลักษณะ จะทำอะไรไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด ก็ประสบความสำเร็จเหนือสามัญมนุษย์ แต่อีกภาพพจน์หนึ่งพระพุทธเจ้าคือคนธรรมดาที่มีชีวิตเลือดเนื้อ ผ่านความเจ็บปวดโศกเศร้า การดูหมิ่นเหยียดหยาม การเรียนรู้ลองผิดลองถูก ความล้มเหลวและความสำเร็จเยี่ยงสามัญมนุษย์ทั่วๆ ไป ต่างแต่ว่าเป็นผู้พัฒนาปัญญาจนสามารถดำเนินชีวิติย่างมีอิสรภาพทางจิตวิญญาณ ในความเห็นของผม ชาวพุทธทุกคนมีเสรีภาพที่จะเลือกนิยมภาพพจน์แบบไหนของพระพุทธเจ้าก็ได้ และสำหรับผมแล้ว ผมเลือกที่จะรักความเป็น มนุษย์ธรรมดา ของพระพุทธเจ้ามากกว่า เพราะผมรู้สึกว่าผมสามารถใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ธรรมดาได้มากกว่า พระพุทธเจ้าที่เป็นมนุษย์ธรรมดาสอนสิ่งสำคัญสิ่งแรกแก่ผมคือ เสรีภาพในการแสวงหาความจริง ว่า ในการค้นพบความจริงนั้นเงื่อนไขข้อแรกเราต้องมีเสรีภาพจากความเชื่อทางศาสนาที่ถือปฏิบัติตามๆ กันมาก่อน (ดูเหมือนนวนิยายเรื่อง สิทธารถะ ของ เฮอร์มาน เฮสเส จะสะท้อนความเข้าใจประเด็นนี้อย่างลึกซึ้ง) ดังที่เราเห็นได้จากเดิมทีพระพุทธเจ้าเคยนับถือศาสนาพราหมณ์ตามตระกูลศากยะ จนเรียนจบไตรเพท ต่อมาพระองค์ขบถต่อศาสนาของตระกูลอย่างถึงราก โดยการปลงผมออกบวชเป็นขอทานเลี้ยงชีพ ซึ่งตามจารีตของศาสนาตระกูลศากยะถือว่าการใช้ชีวิตเช่นนั้นต่ำต้อยเยี่ยง จัณฑาล ที่เป็นคนนอกวรรณะ หลังจากนั้นพระองค์ก็มานับถือศาสนาแบบดาบสที่เชื่อว่าการบรรลุฌานสมาบัติคือคำตอบของความพ้นทุกข์ แต่เมื่อฝึกสมาธิจนได้สมาบัติ 8 แล้วพระองค์พบว่าสิ่งดังกล่าวเป็นเพียงเครื่องมือหนีทุกชั่วคราวเท่านั้น จึงหันไปนับถือศาสนาใหม่อีกคือลัทธิบำเพ็ญทุกกรกิริยาที่เชื่อว่าการทรมานร่างกาย หรือเอาชนะความต้องการตามสัญชาตญาณทางกายภาพได้คือคำตอบของการมีอิสรภาพจากพันธนาการของกิเลสและความทุกข์ แต่ในที่สุดพระองค์ก็พบว่าเป็นไปไม่ได้ และเห็นว่าป่วยการที่จะเดินตามจารีตของลัทธิความเชื่อหรือศาสนาใดๆ อีกต่อไป จากนั้นก็กลายเป็น คนไม่มีศาสนา ไม่สมาทานหรือเดินตามความเชื่อใดๆ แต่หันมาใช้ปัญญาไตร่ตรอง ธรรมชาติของความเป็นมนุษย์ อย่างตรงไปตรงมา จึงทำให้ค้นพบความจริงของกระบวนการแห่งเหตุปัจจัยที่เป็นไปตามกฎธรรมชาติแห่งการเกิดทุกข์และการดับทุกข์ ซึ่งเป็นความจริงตามกฎธรรมชาติที่ไม่ขึ้นกับลัทธิความเชื่อหรือจารีตทางศาสนาใดๆ และเครื่องมือที่จะค้นพบความจริงดังกล่าว ก็ไม่ใช่เครื่องมือที่ถูกให้มาจากจารีตทางศาสนาหรือความเชื่อใดๆ หากแต่เป็น ศักยภาพ ที่มีอยู่แล้วในมนุษย์ทุกข์คน นั่นคือความสามารถในการใช้ปัญญาไตร่ตรองเพื่อทำความเข้าใจความทุกข์และการยุติความทุกข์ในชีวิตของตนเอง สำหรับผมแล้ว ความน่าเคารพของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ความเปิดใจกว้างในการเรียนรู้ ความซื่อสัตย์ต่อความจริง (พิสูจน์ให้ชัดก่อนค่อยตัดสิน) บนพื้นฐานของการเคารพความเป็นมนุษย์ในความหมายที่ลึกสุดคือ ความเป็นสัตว์ที่มีเสรีภาพ ซึ่งในที่สุดพระองค์แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เสรีภาพในการแสวงหาความจริงสัมพันธ์อย่างจำเป็นกับอิสรภาพทางจิตวิญญาณ แน่นอนว่าการยืนยันว่า เสรีภาพในการแสวงหาความจริงสัมพันธ์อย่างจำเป็นกับอิสรภาพทางจิตวิญญาณ ย่อมเป็นการยืนยันความหมายของความเป็นมนุษย์ในฐานะเป็น สัตว์ที่มีเสรีภาพ และโดยการยืนยันเช่นนี้ย่อมเป็นการปฏิเสธโดยปริยายว่า การดำเนินชีวิตที่ไม่เคารพเสรีภาพในการแสวงหาความจริงด้วยสติปัญญาของตนเองย่อมไม่ใช่การมีชีวิตที่พึงปรารถนา และสังคมที่ปิดกั้นเสรีภาพในการพูดความจริงย่อมไม่ใช่สังคมที่พึงปรารถนาด้วยเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าสิ่งที่เราควรตั้งคำถามอย่างจริงจังคือ ทำไมโดย การกระทำ หรือโดยแบบอย่างการปฏิบัติตัวของพระพุทธเจ้ามีลักษณะของการปลดปล่อยให้เราเป็นเสรีชน ชวนให้เราเป็นตัวของตัวเองอย่างเต็มที่ในการแสวงหาความหมายของชีวิต แต่ทว่าศาสนาพุทธในรูปของจารีตประเพณีที่ตกทอดมาถึงเรากลับเป็นเครื่องมือสร้างพันธนาการที่ซับซ้อน ทั้งพันธนาการในรูปอุดมการณ์แห่งรัฐ เช่น พุทธศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือค้ำยันอุดมการณ์ ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยกสถานะของพระมหากษัตริย์ให้เป็น เทพ (ทั้งที่พระพุทธเจ้าเองเป็น คน) ที่ศักดิ์สิทธิ์วิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบไม่ได้ ซึ่งสาระสำคัญแล้วอุดมการณ์ดังกล่าวขัดแย้งกับเสรีภาพในการแสวงหาความจริง การปิดกั้นเสรีภาพในการแสวงหาความจริง หากพิจารณาจากความเป็นจริงที่ว่า เสรีภาพในการแสวงหาความจริงสัมพันธ์อย่างจำเป็นกับอิสรภาพทางจิตวิญญาณ หรือความเป็นจริงที่ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ที่มีเสรีภาพ ย่อมถือเป็นการลดทอนความเป็นมนุษย์อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง คำถามคือ สังคมที่ใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างอุดมการณ์ซึ่งลดทอนความเป็นมนุษย์ของประชาชน สมควรเรียกว่าเป็นสังคมพุทธหรือ? หากเราเป็นชาวพุทธและซื่อสัตย์ต่อความจริง (อย่างที่พระพุทธเจ้าทำเป็นแบบอย่าง) เราจะตอบคำถามนี้อย่างไร? นอกจากนี้ โดยจารีตการใช้พุทธศาสนาสร้าง คนดี ในสังคมไทย คนดีที่เป็นผลิตผลของจารีตพุทธคือ ผู้ปฏิบัติธรรม ตามวิถีจริยธรรมเชิงปัจเจกที่ยึดอุดมคติว่า การปฏิบัติธรรมหมายถึงการปฏิบัติสมาธิ ทำบุญทำทาน เพื่อการมีชีวิตที่สุขสบายในโลกหนี้และโลกหน้า ได้ขึ้นสวรรค์ หรือบรรลุนิพพาน ซึ่งทั้งหมดนั้นมีลักษณะเป็นความดีส่วนตัวที่มุ่งประสงค์ต่อความสุขส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เสร็จแล้วชาวพุทธก็อธิบายกันว่า ถ้าแต่ละคนเป็นคนดีโดยการทำความดีต่างๆ ที่ว่ามานี้แล้วสังคมก็จะดีเอง ที่สำคัญคือ คนดีและ ความดี ในความหมายดังกล่าว ไม่ได้เชื่อมโยงกับการชี้ชวนให้เห็นความสำคัญของการไตร่ตรอง หรือตระหนักรู้ในคุณค่าความหมายของความเป็นมนุษย์ในฐานะเป็น สัตว์ที่มีเสรีภาพ และไม่ได้สร้างมโนธรรมสำนึกในการปกป้อง เสรีภาพในการแสวงหาความจริง แต่อย่างใด เมื่อพุทธแบบจารีตไม่ได้สร้างวัฒนธรรมแห่งการรู้คุณค่าและปกป้องเสรีภาพ ทั้งเสรีภาพในการแสวงหาความจริง และเสรีภาพในทางสังคมการเมือง คนที่คิดต่างจากพุทธแบบจารีต ตั้งคำถามกับพระ กับคัมภีร์ทางศาสนา คือ คนบาป และแน่นอนว่าชาวพุทธประเภทนักปฏิบัติธรรมตามแบบจารีตทั้งหลายก็ไม่แคร์ว่า ประชาชนจะถูกละเมิดเสรีภาพในทางสังคมการเมืองอย่างไรบ้าง ฉะนั้น จึงอาจกล่าวรวมๆ ได้ว่า นักปฏิบัติธรรมหรือชาวพุทธผู้เคร่งศาสนาในสังคมไทยปัจจุบันส่วนใหญ่ต่างเดินสวนทางกับพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้ไม่มีศาสนาตามจารีตก่อนที่จะค้นพบ ความจริง และอิสรภาพ! ที่มา: ประชาไท
จากคุณ |
:
เว็บโลกสวย
|
เขียนเมื่อ |
:
8 เม.ย. 54 03:25:33
A:140.119.202.18 X: TicketID:311592
|
|
|
|