ความคิดเห็นที่ 1 ไม่รู้นะครับ ขอเอาข้อเขียนตัวเองมาลง เห็นด้วยไม่เห็นด้วยประการใด แสดง คห. ได้นะครับ ------------------------- Outsider Make Some Noise : ถ้ามันมีปัญหามากนัก รับตรงไปเลยดีกว่าไหม? โดย : TonyMao_NK51 E – Mail : tonymao_nk51@hotmail.com ด้วยความเคารพ หลังจากที่หายไปนาน ( เป็นคนตกงานอยู่ ป.ตรีก็ตกงานได้ ไล่สอบเข้ารับราชการไปทั่ว ไม่ผ่านสักกะที่ ) โผล่มาอีกที โลกภายนอกมีเรื่องมากมาย ที่หนักที่สุดไม่พ้น M79 เสื้อแดง GT200 ท่าเรือตีกับเมืองทอง ยึดทรัพย์ทักษิณ แต่เอาเถอะ ผู้เขียนไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ และไม่ดูบอลสโมสรดังนั้นขอข้ามมาที่เรื่องการสอบเข้ามหา’ลัยของน้องๆ ม.ปลายละกัน ด้วยอารมณ์หมั่นไส้พวกที่เปลี่ยนระบบการสอบไปเรื่อยๆ ( Entrance ไม่ดีจริงหรือ? ) เดี๋ยว Admission เดี๋ยว ONET – ANET ตอนนี้มาถึง GAT – PAT ( กรุณาอ่านให้ถูก “ แกท – แพท “ ไม่ใช่ “ แกะ – แพะ “ ) แต่ที่ไม่เคยเปลี่ยน คือหลักคิดในการออกข้อสอบของบรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองที่รับผิดชอบการเข้ามหา’ลัย ผู้ที่วัยรุ่นไทยในระบบการศึกษาสายสามัญ มีเรื่องให้ด่าทุกปี ปีที่แล้วว่าด้วยปัญหาการพิมพ์ใบสมัครสอบ ใบเสร็จรับเงินทาง Internet ระบบล่ม ไม่รู้วันสอบ มาไม่ทัน ก็ตกไป ซวยไป ( สำหรับผู้เขียน บุรุษหรือสตรีหน้าไหนที่บอกว่า “ ใครรับความซวยแค่นี้ไม่ได้ ฆ่าตัวตายไปซะ “ ดูจะใจดำไปหน่อย เด็กไม่ควรเจอโลกแห่งความโหดร้ายโดยไม่จำเป็นครับ ไหนใครบอกสอนพลเรือน ไม่ใช่ให้ฝึกหน่วยรบพิเศษ ไม่ต้องทรมานกาย กดดันใจก็ได้ ) พอมาปีนี้ เจอการออกข้อสอบแบบประหลาดๆ ก็ดูละกันนะครับ ผ้าปูโต๊ะ ดอกไม้ ให้จัดให้เข้าคู่กัน! หรือจะเป็นเรื่องของนักเทนนิสที่ให้ประวัติมายืดยาว แต่ข้อสอบถามว่าควรตีลูกลักษณะนั้นอย่างไร? ด้วยความงงและปวดหัว เอาสิครับ เข้าใจว่าอยากให้เด็กมันคิดเป็น วิเคราะห์เป็น แต่โจทย์ 2 ข้อเนี่ย ข้อแรกเรื่องผ้าปูโต๊ะ – ดอกไม้ นี่มันเรื่องของรสนิยม ถ้าจะว่าด้วยหลักข้อสอบ มันคือข้อสอบปลายเปิด เป็นข้อสอบให้ผู้สอบใช้การแสดงความคิดเห็นว่า ถ้าจะเลือกอะไรสักอย่างหรือหลายอย่าง ทำไมจึงเลือก ผู้สอบแต่ละคนก็จะให้ความเห็นที่ต่างกันออกไป เช่นผ้าปูโต๊ะสีเหลืองอ่อน ดอกกุหลาบสีแดง ฯลฯ อะไรแบบนี้พร้อมทั้งให้เหตุผล มันควรจะเป็นข้อสอบอัตนัยให้เขียนบรรยาย ไม่ใช่ข้อสอบปรนัยมาเลือกคำตอบโดยไม่มีที่ให้แสดงเหตุผลประกอบ มันจะสื่อถึงการวิเคราะห์ได้อย่างไร? ส่วนข้อนักเทนนิสนี่ยิ่งไปกันใหญ่ ปกติข้อสอบที่ให้บทความอะไรมาสักอย่าง ตามหลักการแล้ว มันต้องถามข้อสอบที่อยู่ในตัวบทความนั้นๆ จะทำให้งง ซับซ้อนยังไงก็ได้ ขอให้อยู่ในกรอบของสิ่งที่บทความกล่าวมา ไม่ใช่ไปถามสิ่งที่ไม่ได้อยู่ในบทความ แบบนี้ผู้เขียนมองว่าไม่ยุติธรรม เพราะถ้าใครที่ไม่ได้เล่นเทนนิสหรือเป็นแฟนกีฬาชนิดนี้ จะตอบคำถามไม่ได้เลย ( จะรู้หรอครับว่าควรตีลูกจังหวะไหน? ในทางกลับกัน ถ้าเปลี่ยนจากเทนนิสมาเป็นฟุตบอล ออกโจทย์เกี่ยวกับ Christiano Ronaldo ว่าด้วยสไตล์การเล่น ประวัติการค้าแข้งในลีกยุโรป แต่ถามข้อสอบว่า “ ในการลงสนามแต่ละนัด เขาจะสับขาหลอกคู่ต่อสู้ครั้งละเท่าไร “ เหอะๆ ต่อให้เป็นเด็กผี หรือเด็กชุดขาวก็ตอบไม่ได้หรอกครับ ใครมันจะบ้าไปนับฟะ? ) ทีนี้ไอ่พวกบ้าทฤษฎี Darwinism ก็มาบอกอีกว่า “ ต้องรู้สิ ความรู้รอบตัว คนเก่งจริงต้องรู้รอบด้าน “ เอ่อ นี่ผู้เขียนก็เพิ่งรู้ว่า การเข้ามหา’ลัย จำเป็นต้องรู้ทุกอย่างที่โลกหรือจักรวาลมี ( ฝากถามคนพูดด้วย รู้ไหมใน Area 51 มีอะไร? ห้ามมั่วนะจ๊ะ!) ด้วยความน่าเบื่อซ้ำซาก ปัญหาการออกข้อสอบแบบนี้มีมานานแล้ว แต่สมัยก่อนจะแบบว่า ออกเกินหลักสูตร เช่นไปเอาข้อสอบระดับปี 1 ปี 2 ของมหา’ลัยมาออก ( สมัยผู้เขียนเรียน ม.ปลายเมื่อสัก 10 ปีก่อน อ.บางท่านพยายามไปหาข้อสอบระดับนั้นมาให้คนที่สนใจหัดทำจริงๆ แกบอกว่าเอ็นทรานซ์จะออกแบบนี้ละ ) ทำให้เด็กไปกวดวิชากัน เพราะในห้องมันเรียนไม่พอ พอมาเปลี่ยนระบบการออกข้อสอบ ด้วยจุดประสงค์อยากให้เด็กกวดวิชาน้อยลง ผลที่ได้กลับตรงข้าม ทุกวันนี้กวดวิชาเปิดใหม่เป็นดอกเห็ด เช่นแถวบ้านผู้เขียนว่าชานเมืองแล้ว สมัยผู้เขียนเป็นวัยรุ่นไม่มีที่กวดวิชาแถวนี้ ใครอยากเรียนก็ไปเรียนตามจุดใหญ่ๆ ( สยามสแควร์ ) อันเป็นที่ตั้งของที่กวดวิชาระดับ Elite ของประเทศไทยหลายแห่ง แต่วันนี้มีเพียบครับ 4 – 5 แห่งได้ และเน้นมากเรื่องแกะ... เอ๊ย GAT - PAT ก็คิดดูละกันว่าถ้านี่เป็นการจัดทำแผนเพื่อลดภาระเด็ก ลดปัญหากวดวิชา แล้วผู้เขียนเป็นผู้ประเมิน คงให้แผนนี้ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เสียเวลา เสียกำลังคน เสียงบประมาณไปเท่าไรแต่ไร้ผล ไม่มีอะไรดีขึ้น แย่ลงอีกต่างหาก ด้วยความอยากเสนอแนะ ถ้ามันมีปัญหามากนัก ทำแบบสอบเข้าเป็นข้าราชการไปเลยดีกว่าไหม ไม่ต้องเอ็นทรานซ์รวมกันหมดแบบเมื่อก่อน ไม่ต้องบ้าบอกับการใช้เหตุผลวิเคราะห์แบบแปลกๆ ตามสไตล์ GAT - PAT โดยผู้เขียนแนะนำคร่าวๆ ดังนี้นะครับ - ให้แต่ละคณะของแต่ละมหา’ลัย ส่งตัวแทนระดับสูง ( คณบดีหรือ กก. บริหารคณะ ) มาประชุมกัน กำหนดว่าคณะของตนจะใช้วิชาใดในการสอบบ้าง ( คณิต วิทย์ ไทย สังคม อังกฤษ ฯลฯ ) ในการสอบรอบแรก แน่นอนว่าแต่ละคณะจะมีเกณฑ์ไม่เหมือนกัน ( Ex. คณะในหมวดวิทย์ฯ อาจจะแยกได้แบบนี้ บางคณะอาจจะเอาฟิสิกส์เป็นเกณฑ์หลัก บางคณะจะเอาชีววิทยาเป็นเกณฑ์หลัก บางคณะเอาเคมีเป็นหลัก แล้วแต่ความเหมาะสมในการเรียนในคณะนั้นๆ ) เรียกว่าความรู้พื้นฐานในการเรียนในหลักสูตรมาตลอด เป็นการสอบรอบแรก - หลังสอบรอบแรก รอบสองถึงเป็นการสอบ “ ความเหมาะสมในการเรียนในคณะนั้นๆ “ เช่นใครอยากเป็นแพทย์ คุณควรรู้อะไรบ้างในระดับหนึ่งเป็นพื้นฐาน ( ระบบการแพทย์ เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ความรู้เรื่องยารักษาโรค ฯลฯ ) หรือใครสนใจงานกฎหมายและการเมืองการปกครอง ( รัฐธรรมนูญ คดีความต่างๆ ทางแพ่งและอาญา ระบบการเมือง แนวคิดทางการเมืองและเศรษฐกิจ การปฏิวัติรัฐประหาร สถานการณ์ระหว่างประเทศ ฯลฯ ) เป็นการคัดคนที่ “ สนใจจริงๆ “ ไม่ใช่เรียนตามกระแสหรือไม่รู้จักตัวเอง และในรอบนี้ จะออกข้อสอบเชิงวิเคราะห์ก็เป็นการสมควรมาก เพราะเป็นการสอบเนื้อหาที่จะเรียนโดยตรง ซึ่งระดับมหา’ลัยจะต้องเรียนกันแบบวิเคราะห์ ไม่ใช่การจำแล้ว - ถามว่ามันเหมือนการ Entrance ระบบเก่าไหม? ผู้เขียนว่าคล้ายแต่ไม่เหมือน เพราะไม่ได้สอบเข้ามหา’ลัย แต่สอบเข้าคณะโดยตรง ตัวผู้สอบต้องรู้ตัวล่วงหน้าแล้วระยะหนึ่งว่า “ คณะที่ใช่ “ ของตัวเองคืออะไร แล้วก็จะเตรียมตัวในส่วนความรู้เฉพาะที่ต้องใช้ในการเรียนคณะนั้นๆ เพื่อสอบในรอบหลังไปพร้อมๆ กับการเรียนความรู้หลักในหลักสูตรสำหรับการสอบรอบแรก ซึ่งการพิจารณาคะแนน ก็ให้เอาคะแนนการสอบทั้ง 2 ส่วนมาจัดลำดับความสำคัญอีกทีว่าจะเอาคะแนนไหนเป็นหลัก แล้วก็ลดหลั่นกันไปกรณีมีผู้ได้คะแนนเท่ากัน - ถามว่าจะเกิดการ “ แบ่งชนชั้น “ กันอีกไหม? แบบนั้นเป็นเรื่องปกติ อย่าลืมว่าผู้เขียนแนะนำให้สอบเพื่อหา “ เกณฑ์มาตรฐาน “ ของความเหมาะสมในการเรียนคณะนั้นๆ ส่วนมหา’ลัยไหนอยากได้มาตรฐานแค่ไหน อยากจะชูว่าที่ของตัวเอง Elite นักหนา ก็ไปคัดลำดับที่ของคนผ่านเกณฑ์สิครับ ใครผ่านมาเป็นลำดับต้นๆ ก็คัดไปเรียนได้เลย ( เช่นสอบได้ตามเกณฑ์ 1000 คน คัดไป ม.อันดับ 1 จำนวน 200 คน ที่เหลือก็ลดหลั่นกันไป ) แต่อย่าลืม มีคนที่รู้จักผู้เขียนคนหนึ่ง ได้เล่าถึงการเรียนใน ม. แห่งหนึ่งที่ถูกสังคมวงการเดียวกันมองว่าเป็น “ มหา’ลัยชั้นล่าง “ หากเทียบกับมหา’ลัยชั้นนำที่สุดแถวนี้ อาจารย์ที่มหา’ลัยที่ถูกเหยียดหยามนี้ ได้บอกผ่านไปยังพวกที่คิดว่าเป็น “ อัจฉริยะ “ ในการสอนของพวกชั้นนำว่า “ พวกคุณสอนคนเก่งให้เป็นคนเก่ง แต่พวกผมสอนคนไม่เก่งให้เป็นคนเก่ง แน่จริงเรามาสลับที่สอนกันไหม? “ ( เจ๋งไหมครับ ผู้เขียนว่าคนที่พูดนี่เจ๋งมากๆ ) - จะแก้ปัญหากวดวิชาได้ไหม? ไม่ได้หรอกครับ ใครๆ ก็อยากกวดวิชา อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด ( สอบข้าราชการยังมีติวกันเยอะแยะ ไปดูหน้า ม.รามคำแหงสิครับ เพียบ ) เพื่อการันตีว่าจะสอบได้แน่ๆ แต่อย่างน้อยที่สุด ผู้เขียนก็มองว่าไม่ผิดอะไร ถ้าจะไปติวเพิ่มในสิ่งที่เราสนใจอยากจะเป็นจริงๆ ไม่ใช่แค่ไปติวเพื่อที่แค่หาสูตรลัดไปสอบ จบแล้วก็ทิ้งเลย มันไม่ใช่ “ เป้าหมายของการศึกษา “ เพราะคนเราควรเรียนเพื่อความรู้เป็นหลัก ไม่ใช่เรียนเพื่อเอาชนะเป็นสำคัญ ส่วนใครไม่มีเงินไปกวดวิชาจริงๆ เชื่อว่าเดี๋ยวต่อไปมันจะมีกลไกต่างๆ ออกมาให้เด็กทั่วไปเข้าถึงแหล่งความรู้ได้ในราคาถูกลงแน่นอน ( ไม่รัฐก็ NGO เชื่อเถอะ ขนาดทุกวันนี้ยังมี Tutor Channel เลย แม้จะดูแปลกๆ ไม่ค่อยสมบูรณ์ก็ตามหากเทียบกับกวดวิชา ) - ลงท้ายก็ยังมีผู้สมหวังและผิดหวังนะ? ก็เป็นเรื่องปกติครับ ในการสอบมันก็ต้องมีคนสอบได้และสอบตก แต่อย่างน้อย การได้เตรียมตัวเต็มที่ในสิ่งที่ตนสนใจจริงๆ แม้จะสอบแล้วพลาด มันก็สมควรยอมรับผลว่าเราทำได้แค่นี้จริงๆ กันได้ไม่ใช่หรือ? ผู้เขียนมองว่ายุติธรรมกว่าการออกข้อสอบแปลกๆ แบบทุกวันนี้นะครับ ก็หวังว่ามันจะเป็นแนวทางหนึ่ง ที่จะลดอะไรหลายๆ ปัญหาลงได้ ส่วนถ้าใครสอบไม่ได้จริงๆ ไม่ได้หมายความว่าชีวิตจะจบ ใครมีเงินเรียนเอกชนไป ใครที่ยาจก ไม่มีปัญญาหาที่หรูๆ เรียน ( แบบผู้เขียน ใช้คอมเก่าๆ สนิมเกรอะมา 5 ปีแล้ว ) ไปลงเรียนที่ ม.รามคำแหงก็ได้ครับ เอาจริงๆ สิ่งสำคัญในการเรียนมหา’ลัย ไม่ใช่แค่ท่องตำราไปสอบแล้วก็จบกัน ( ถึงส่วนใหญ่ข้อสอบจะออกในตำรา ) แต่ระดับมหา’ลัย คุณต้องรู้สิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง และอธิบายได้ เข้าใจเป็น ซึ่งเกิดขึ้นจากการหาความรู้เพิ่มเติมนอกห้องเรียนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะด้วยการอ่านหนังสือจากที่อื่นๆ ที่ไม่ใช่ตำราเรียน หรือการเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ก็ตาม ซึ่งระดับมัธยมจะไม่หลากหลายเท่า ลงท้ายก็ฝากไปยังผู้หลักผู้ใหญ่หน่อยเถอะครับ “ ถ้ามันมีปัญหามาก ให้แต่ละคณะเขาไปคุยกันเองเถอะ อย่ารวบอำนาจไปเองเลย พวกท่านก็คน พวกผู้บริหารคณะก็คน และคนเราไม่มีใครคนไหนรู้ทุกเรื่อง เก่งทุกเรื่องหรอกครับ “ ( หรืออาจจะมี? ) ........................................................ ปล.เขียนไว้ตั้งแต่ต้นปี 2553 นะครับ จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 11:42:58

ความคิดเห็นที่ 2 เด็กอีกกลุ่มหนึ่งสารภาพว่า หนูตั้งใจทำข้องสอบ O-net สุดความสามารถของหนูแล้ว เพราะ o-net คืออนาคตของหนู หนูต้องใช้สำหรับสมัคร Admision แต่หนูสอบตก o-net ทุกวิชา หนูไม่รู้เรื่องเลย เอาอะไรมาออกข้อสอบ หนูอยากให้เปลื่ยนเป็นระบบจับฉลาก หนูจะได้มีโอกาสบ้าง ถ้าใช้ระบบจับฉลากจะยุติธรรมกับทุกคน และแก้ปัญหากวดวิชาได้เด็ดขาด จากคุณ : นักเรียนหนองดักดาน เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 13:25:11 A:58.11.57.60 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 3 คห.2 ตลกหรอครับ? คุณจะให้คนไม่เก่งได้เข้าไปเรียนหรอครับ? จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 13:40:09

ความคิดเห็นที่ 4 ู^ ^ เค้่าแค่ประชดเล่น ๆ มั้งคะ จากคุณ : Beauty&Stupid เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 14:14:13

ความคิดเห็นที่ 5 คห ที่ 3 และ คห ที่ 4 ตลกที่ไหนกัน นักการศึกษาไทยพูดมาตลอดว่า ระบบเอ็นทรานเข้ามหาวิทยาลัยของไทยไม่ดี เพราะเด็กต้องเรียนกวดวิชา และคนที่ด้อยโอกาสเสียเปรียบ นักการศึกษาไทยเปลื่ยนระบบเอ็นทรานมาเป็นระบบแอดมิสชั่น ด้วยเหตุผลว่า แอดมิสชั่นแก้ปัญหาเด็กกวดวิชา และ ช่วยนักเรียนที่ด้อยโอกาส วิธีจับฉลาก แก้ได้ทั้งปัญหา กวดวิชา และเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ด้อยโอกาส ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของนักการศึกษาไทย จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 16:45:30 A:58.11.57.60 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 6 คุณ คห 5 ตลกแน่นอนค่ะ การศึกษาระดับป. ตรี ที่ไม่ใช่ภาคบังคับและมีค่าใช่จ่ายสูง จำเป็นต้องได้ผู้เรียนที่มึความรู้และทัศนคติเหมาะสมกับสาขา ไม่ใช่ว่าจะเป็นใครก็ได้ เพื่อลดอัตรการตกออกซึ่งเป็นการสูญเสียทรัพยากรโดยไม่จำเป็น เรื่องด้อยโอกาสเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไข แต่การจับฉลากเป็นทางออกที่ตันชัดเจน เท่าที่ดูมา ตั้งแต่มีการสอบแอดมิสชั่น นิสิตมีผลการเรียนต่ำลงในภาพรวมอย่างเห็นได้ชัด เป็นที่น่าเสียดายมากทีทำให้นิสิตจำนวนมากให้ไม่สามารถทำกิจกรรมหรือแสวงหาความรู้ประสบการณ์อื่นได้ เพราะต้องทุ่มเวลาไปในการไม่ให้ตกในเชิงวิชาการก่อน แถมเครียดมากอีกด้วย จากคุณ : jk (jackfruit_k) เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 16:59:06

ความคิดเห็นที่ 7 คห ที่ 6 ผมไม่ได้เป็นคนเริ่มเรื่องตลกนี้ นักการศึกษาไทยที่นำระบบ admission ต่างหากที่เิริ่มเรื่องนี้ ตอนนี้นักการศึกษาไทยที่เอาระบบ admission มาใช้ ไม่มีใครออกหน้ามารับว่า ตัวเองเป็นต้นคิด จนได้เป็นใหญ่เป็นโตในระบบการศึกษาไทย เป้าหมายของการนำระบบ admission ก็เป็นแบบนี้จริงๆ คือ ลดกวดวิชา เปิดนักเรียนที่เรียนไม่เก่งและด้อยโอกาส จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 18:11:56 A:58.11.57.60 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 8 เปิดโอกาสให้นักเรียนที่เรียนไม่เก่งและด้อยโอกาส จากคุณ : คนไทย เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 18:13:25 A:58.11.57.60 X: TicketID:117365

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่อยากแอด ก็สอบตรงของมหาวิทยาลัย สอบติดก็ได้เรียน สอบไม่ได้ก็แสดงว่าตัวเองไม่เหมาะสมก็เรียนที่อื่น จบ ! ยุติธรรมที่สุด มหาวิทยาลัยเขาต้ิองคัดคนที่มีคุณภาพออกไปสู่สังคม ไม่ใช่ใครก็ได้ แม้แต่คนที่สอบติดแล้วแต่เรียนไม่ไหวก็ยังโดนคัดออกโดยการสอบภายในอีกทีเลย จับฉลากไม่ต้องใช้ความรู้ ไม่ต้องใช้ความคิด ก็ได้เรียนละ แล้วคุณจะภูมิใจหรอ แล้วคนที่เขาตั้งใจเรียนแต่ต้องมาจับฉลาก มันยุติธรรมสำหรับเขาไหม ? และผมเชื่อต่อให้กลับไปใช้ระบบเอนทรานซ์เหมือนเดิม เด็กมันก็กวดวิชาอยู่ดีนั่นละ บางปัญหาจริงๆอาจจะไม่ได้อยู่ที่ระบบ แต่อยู่ที่สภาพแวดล้อม ครอบครัว และตัวเด็กเอง จากคุณ : ship9960 เขียนเมื่อ : วันเถลิงศก 54 18:49:09

ความคิดเห็นที่ 10 แล้วทำไม ตอนเข้าม.1 ถึงมีจับฉลากได้อะ ปล.กวดวิชา แก้ไม่ได้จริงๆแหละ ถ้าต้องใช้เกรด เด็กก็เรียนพิเศษเพิ่มเกรด ถ้าใช้คะแนนเอนท์ เด็กก็เรียนเพื่อจะเอนท์ ดูจากราคาแล้ว ไม่รวยเรียนไม่ได้แน่ๆ -*- จากคุณ : ไข่เจียวต้นหอม เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 00:22:14

ความคิดเห็นที่ 11 ค.ห. 7 & 8 เข้าใจมุกแล้วค่ะ ประเภทหัวเราะไม่ออก ร้องไห้ไม่ได้! จากคุณ : jk (jackfruit_k) เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 00:31:33

ความคิดเห็นที่ 12 ก็มัธยม เป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน การให้สอบครึ่ง จับฉลากครึ่ง มันก็ไม่แปลกหรอกครับ เป็นการให้โอกาสเด็กทุกคนได้เรียน ยกเว้น พวกโรงเรียนดังๆจะไม่รับเด็กม 1 พอปริญญาตรีก็ตัวใครตัวมันละครับ จากคุณ : ship9960 เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 00:46:32

ความคิดเห็นที่ 13 ระบบจับฉลากตัดทิ้งได้เลย ไปเรียนจริงเผลอๆได้ซิวหนักกว่าเดิมอีก (และผมเชื่อว่ามีพวกยัดใต้โต๊ะแน่ๆ) ส่วนเรื่องกวดวิชามันแก้ไม่หายหรอก แต่ผมเห็นด้วยกับ คห 1 ที่สอบให้ตรงกับคณะไปเลย เพราะสมัยนี้มันสอบแบบว่าจับฉ่ายมาก สอบเข้ามาได้ก็ใช่ว่าจะเรียนไหวนะ ^^ มาเข้าประเด็นของจขกท.ดีกว่า ผมคนนึงก็คิดแบบนั้นนะ แต่ผมก็ยังเข้าเรียนครบตลอด^^ เพราะยังไงเราก็มีที่เรียนแล้วจะไปสนทำไมกับ O-net ส่วนเรื่องที่รีบสอนนั้น ผมว่าเป็นเพราะ gat pat กับสอบตรงนั้นและ ที่ใช้เนื้อหาทั้งหมด แต่ตามหลักสูตรกว่าจะสอนจบก็ราว กพ นู้น แทนที่น่าจะเปิดเป็นเทศกาลสอบไปเลยช่วง หลังสอบปลายภาคที่รร. ประมาณเดือน มีนา มันน่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้นะ ป.ล. ความเห็นส่วนตัวล้วนๆ^^ จากคุณ : thebear19 เขียนเมื่อ : 16 เม.ย. 54 17:33:20

ความคิดเห็นที่ 14 Big applause to Khun TonyMao. Especially if that project came true! I totally agree with you. But it seems hard to be realised, because of most of the things in Thailand are centralised! จากคุณ : คนใต้กำมะลอ เขียนเมื่อ : 19 เม.ย. 54 03:34:45 A:110.169.76.134 X: TicketID:301976