|
ต่อ
การใช้งบประมาณ ถ้าโรงเรียนใช้งบไม่หมดคุณก็ให้งบน้อยลงในปีถัดไป ใครทำได้บ้าง ในชีวิตประจำวันพวกเราก็เหลือเก็บไว้บ้างเผื่อใช้ในยามฉุกเฉินหรือซื้อสินค้าราคาแพงบางอย่าง เช่น บ้าน รถ ซ่อมบ้าน ฯลฯ ซึ่งไม่แน่ไม่นอน เลิกเถอะกฏนี้ เราเห็นอาจารย์ไปดูงานต่างประเทศเพื่อใช้งบๆให้หมดๆไปแต่ไม่ได้อะไรกลับมานี่เสียดายจริงๆ แต่พอจะให้ซื้ออุปกรณ์ใหม่ก็บอกว่างบไม่พอ อืมมมม งบพอค่าเครื่องบินแต่ไม่พอสื่อการเรียนการสอนของเด็ก ที่ของเก่าดูใช้งานมาแล้วมากกว่าสิบปี หักบ้าง ลูกบอลมีรูบ้าง จะใช้จริง บางครั้งต้อง แบ่งปันกัน
การติดต่อโรงเรียนของรุ่นพี่ กรุณาเปิดโรงเรียนให้กว้างหน่อย บางครั้งรุ่นพี่อย่างพวกเราก็อยากไปช่วยแนะแนวน้องๆ แต่ถูกครูขวางไว้เพียงเพราะ พวกเรา ตัดผมซอย ย้อมสีผม ไม่ควรให้รุ่นน้องเห็นเดี๋ยวรุ่นน้องจะเอาเป็นแบบอย่าง แล้วก็ชอบบ่นให้รุ่นน้องฟังว่า รุ่นพี่ไม่สนใจโรงเรียน จบไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย เรามารู้ว่าทำไมก็ตอนที่เรียนจบออกมาเป็นรุ่นพี่นี่แหละ พ่อแม่บางคนไม่ได้เรียนมาสูง เช่น พ่อแม่เราเรียนแค่ประถมเท่านั้น อย่าคาดหวังว่าพ่อแม่จะอธิบายระบบการศึกษาให้ลูกได้เลย เด็กบางคนวางแผนการศึกษาเอง บางคนรุ่งโรจน์ บางคนก็รุ่งริ่ง ครูแนะแนวก็รู้มาจากตัวหนังสือบางครั้งช่วยเด็กได้น้อยมาก เปิดใจหน่อย ขอร้องเถอะ
ไม่ให้เด็กดูข้อสอบหลังสอบ อันนี้ได้ความคิดมาจากที่จีน หลังสอบปลายภาคแล้วทางมหาวิทยาลัยจะให้มีการเรียนการสอนหนึ่งสัปดาห์เพื่อให้อาจารย์ อธิบาย ว่าทำไมตอบแบบนี้ ไม่ใช่ปิดข้อสอบไว้เหมือนความลับระดับชาติทิ้งไว้เป็นปริศนาคาใจแบบไทย ทั้งๆที่ตอนสอบซ่อมส่วนใหญ่อาจารย์ไม่ได้ใช้ข้อสอบเดิมสอบ(อย่างที่บอก ทำการบ้านแลกเกรดหนึ่ง) ไม่รู้หวงไปทำไม หรือหวงไว้ออกสอบครั้งต่อไปหว่า
เราไม่อยากให้อาจารย์ยกย่องเด็กเรียนเก่งมากเกินไป หันมาชมเชยเด็กที่มีผลการเรียนดีขึ้นบ้าง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ถ้าอาจารย์เอาใจใส่จริงๆ มีอาจารย์ไม่กี่ท่านที่ทำได้แบบนี้ มากกว่าครึ่งชมเด็กเก่งมากกว่าชมเด็กเรียนดีขึ้น ไม่ต้องจัดรางวัลอะไรหรอก แค่คำชมไม่กี่คำก็พอ เราว่ามันควรจะมาจากจิตวิญญาณครูมากกว่านโยบายกระทรวงศึกษาด้วยซ้ำ อยากให้ครูสอนเด็กเก่งว่า จงขยันต่อไป เรียนให้ได้ความรู้ไม่ใช่เรียนเพื่อเกรด มีความอ่อนน้อมบ้างอย่าหยิ่งให้มากนัก หัดช่วยผู้อื่นบ้าง ส่วนเด็กที่เรียนอ่อนก็อยากให้อาจารย์ให้กำลังใจเด็ก ไม่ใช่กดดัน ด่าเด็กว่าโง่ บางครั้งถึงครูไม่พูดแต่เด็กรู้จากการกระทำของคุณนะ ครูทำแบบนี้นอกจากไม่ทำให้เด็กอยากเรียนแล้ว เด็กยังรู้สึกไม่ชอบเด็กเก่งด้วย ห้องเรานี่แบ่งเป็นเด็กหน้าห้อง กับ เด็กหลังห้อง มีน้อยคนมากที่เป็นเด็กกลางห้อง(เข้าได้ทั้งสองพวก)
การแบ่งระดับชั้น ที่โรงเรียนเก่าเราใช้วิธีแบ่งแบบ สอบครั้งเดียวใช้สามปีรวด เด็กบางคน เช่นเรา สอบเข้าห้องคิงได้เพราะก่อนเราติวสอบเข้าม.หนึ่ง(ซึ่งตอนนั้นไม่รู้ว่าโรงเรียนนี้รับไม่อั้น ต่างจากโรงเรียนมีชื่อเสียง) จับเด็กยัดใส่ห้องนี้โดยไม่ถามว่าอยากเรียนไหมอีกต่างหาก ถามสักนิดเถอะนะ ตอนนี้เราก็โง่ๆอยู่ ไม่ทำอะไรซักอย่าง เรียนอยู่ห้องคิงสามปีด้วยคะแนนที่ขึ้นๆลงๆ แบบกราฟหุ้นตอนเศรษฐกิจตกต่ำ
อย่าทำกับเด็กเหมือนเป็นนักโทษ เข้าโรงเรียนแล้วต้องรอโรงเรียนเลิกถึงจะออกมาได้ เข้าออกต้องรูดบัตรอย่างกับพนักงานบริษัท(ทีงี้ทำเหมือนพวกเราเป็นผู้ใหญ่ อยากขายบัตรอ่ะดิ) มันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก เด็กที่อยากโดดเรียนมันก็หาวิธีของมันได้ ตั้งแต่ปีนรั้ว แกล้งป่วย แอบในห้องสมุดหรือห้องเรียนที่ว่างอยู่ เด็กจีนเขากลับบ้านไปกินข้าวกลางวันได้ ทำไมเด็กไทยทำไม่ได้ หรือคุณเห็นว่าเด็กไทยมีความรับผิดชอบน้อยกว่า ไม่มีสามัญสำนึกต้องขังสถานเดียว ในภาษาจีนมีสำนวนที่ว่า 疑人不用,用人不疑 แปลว่า คนที่ถูกสงสัยจะไม่ถูกใช้ให้ทำงาน ไม่สงสัยคนที่ถูกใช้ให้ทำงานอยู่ ลองปลูกฝังค่านิยมแบบนี้ดูหน่อยเป็นไร คุณพยายามควบคุมโดยไม่ให้ความไว้วางใจเด็ก เมื่อเด็กมีอิสระมากขึ้นเด็กก็ไปตามทางที่เขาอยากไป ไม่ใช่ทางที่ควรไป เพราะสิ่งที่ผูกมัดให้เด็กมาโรงเรียนคือกฏ เด็กไทยเลยออกมาประมาณว่า แมวไม่อยู่หนูร่าเริง กฏไม่มี ฉันไปเที่ยว
เราเขียนพวกนี้ขึ้นมาจากความต้องการที่จะเข้าไปแก้ไขอดีตของเรา มันเป็นปัญหาที่เราเจอมาหกปีในโรงเรียนรัฐบาล ไม่มีตัวเลขหรือหลักฐานอะไรทั้งนั้น มันไม่ใช่เสียงของผู้ใหญ่ที่ต้องการให้แก้ไขการศึกษาเพื่อให้ลูกๆของพวกเขา หรือ อนาคตของชาติมีอนาคตที่ดี แต่มันเป็นเสียงของ รุ่นพี่ ที่ไม่อยากให้รุ่นน้องประสบชะตากรรมเดียวกัน เป็นเสียงที่มาจากเด็กนักเรียนคนหนึ่ง ที่เห็นแล้วอยากบอกผู้ใหญ่แต่บอกไม่ได้
สิ่งที่เราเขียนในคห.นี้อาจจะซ้ำกับคห.เดิมๆที่เราเขียนบ้าง แต่เราขอเขียนซ้ำอีกครั้งนะคะ
ปล.นำมาจากกระทู้เก่า คห. 65 คุณ desmothenes ที่น่าจะจัดกลุ่มครูด้วยนะครับ กลุ่มที่เทคนิคการสอนดีน่าจะไปสอนห้องท้าย ๆ
ส่วนห้องต้น ๆ ก็ให้ครูที่เน้นเนื้อหาลึก เข้าใจยาก หรือจบสาขามาโดยตรงสอนอาจเหมาะกว่า -- เป็นความคิดที่ไม่เลวทีเดียว เราเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
จากกระทู้เก่า มีอยู่คห.หนึ่งบอกว่าควรเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปเหมือนร.ห้าทรงเลิกทาส เราว่าน่าพิจารณานะ(ขออภัยที่ไม่ได้ลงชื่อเจ้าของและลำดับคห.ไว้)
บางปัญหาเราอยากให้กระทรวงเป็นคนแก้ บางปัญหาเราอยากให้อาจารย์เป็นคนแก้ บางปัญหาเราอยากให้เด็กแก้ด้วยตัวของเขาเอง เพียงแต่บอกให้เขารู้ อธิบายให้เขาเข้าใจ ให้โอกาสบ้าง
เราเขียนคห.นี้ไป อ่านกระทู้เก่าไป พยายามเขียนปัญหาที่นึกได้และอ่านเจอจากกระทู้ให้ครบได้มากที่สุด ซึ่งเราก็ไม่ได้อ่านกระทู้เก่าหมดทุกคห.ทุกรายละเอียด บางคห.อ่านข้ามไปก็มี เราไม่ได้อ่านทวนสิ่งที่เราเขียนทั้งหมดในสองคห.ที่เราเขียนไว้ที่นี่ แต่คิดว่ามีส่วนที่บกพร่องลืมเขียนไปบ้าง ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษาหรือความคิดเห็น ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ เราเขียนเยอะไป แต่อยากลองให้ทุกท่านลองอ่านดู ถึงแม้ว่าอ่านไม่ครบก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่มีคนอ่านก็ถือซะว่าเราฝึกการเขียนภาษาไทยเล่นๆก็แล้วกัน เรายังรำคาญตัวเองที่เขียนเยอะขนาดนี้ แต่คันมืออยากเขียน แหะๆ
จากคุณ |
:
ขวัญ (khumchalong)
|
เขียนเมื่อ |
:
17 เม.ย. 54 21:28:23
|
|
|
|
|