 |
อรชุน! เหตุใดท่านจึงทำใจให้หดหู่ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้เล่า ความท้อแท้เช่นนี้น่าจะเป็นวิสัยของอนารยชน หาใช่วิสัยของอารยชนเช่นท่านไม่ มันคือทางปิดกั้นมิให้เราเข้าสู่ประตูสวรรค์ อนึ่งเล่าความท้อถอยนี้แหละที่จะนำมาซึ่งความเสื่อมเกียรติ อย่าเพิ่งท้อแท้ซิอรชุน ความอ่อนแอเช่นนั้นไม่สมควรกับท่านผู้เป็นนักรบเลย จงขจัดความอ่อนแอในจิตใจ แล้วลุกขึ้นสู้เถิดสหาย อรชุนตอบว่า กฤษณะ!ท่านจะให้เราจับอาวุธขึ้นสังหารท่านภีษมะ และโทรณาจารย์ที่เราเคารพบูชากระนั้นหรือ! ฟังนะกฤษณะ! สำหรับเรานั้น การขอทานเขากินย่อมประเสริฐกว่าการฆ่าครูผู้มีคุณ! การสังหารครูผู้มีพระคุณเพราะความละโมบในทรัพย์และความยิ่งใหญ่จะต่างอะไรเล่ากับการบริโภคอาหารอันระคนด้วยเลือด แม้เราทั้งสองฝ่ายก็ทีเถิด ยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าใครหรือพวกไหนดีเลวกว่ากัน ทั้งการรบก็ไม่อาจพยากรณ์ได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายมีชัย จะให้เราฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือดแล้วแสร้งฝืนทำหน้าชื่นมีชีวิตอยู่ต่อไป ข้อนี้เราทำไม่ได้ดอกเพื่อนเอ๋ย เวลานี้จิตใจของเราถูกความสงสารครอบงำจนกลายเป็นความอ่อนแอ เราไม่ทราบว่าอะไรคือหน้าที่ของนักรบแล้วยามนี้ เราขอถามท่าน จงตอบเราเถิดว่าเราจะทำอย่างไรดีกับสภาพจิตใจเช่นนี้ ขอท่านจงให้ความกระจ่างแก่เรา โดยถือเสียว่ายามนี้เราคือศิษย์คนหนึ่งของท่านเถิด เรามืดมนเกินที่จะมองเห็นสิ่งอันจะมาขจัดความเศร้าสลดที่ครอบงำจิตใจได้ ความเป็นใหญ่ในผืนแผ่นดินและไอศูรย์สมบัติในแดนสวรรค์ก็ไม่อาจช่วยเหลือเราได้ เมื่อกล่าวกับกฤษณะเช่นนั้นแล้ว อรชุนก็ลั่นวาจาสุดท้ายออกมาว่า “เราไม่รบ!”แล้วนิ่งเงียบ กฤษณะเห็นเช่นนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวขึ้นกับอรชุนว่า ไยท่านจึงมัวเศร้าสลดกับสิ่งอันไม่ควรเศร้าสลดเช่นนั้น ถ้อยคำที่ท่านพูดมาทั้งหมดก็น่ารับฟังดีหรอก แต่สมควรหรือที่ผู้มีความคิดจะพึงไปพะว้าพะวงกับความตายหรือการมีชีวิตอยู่ ไม่ว่าเรา, ท่าน, หรือราชบุตรเการพเหล่านั้น ทั้งหมดไม่มีใครเกิดและไม่มีใครตาย อาตมันที่สิงอยุ่ในร่างของเราต่างหากที่ลอยล่องผ่านร่างเด็ก, ร่างหนุ่มสาว, และร่างชราของเราป อาตมันนี้ย่อมจะเข้าสิงอาศัยร่างใหม่เรื่อยไป เมื่อร่างเก่าขำรุดจนใช้งานไม่ได้ ผู้มีปัญญาย่อมไม่คลางแคลงในเรื่องนี้
หนาว, ร้อน, สุข, ทุกข์ ฯลฯ เกิดจาการประจวบกันระหว่างอารมณ์ภายนอกกับการรับรู้ สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ไม่แน่นอน นึกจะมามันก็มา นึกจะไปมันก็ไป เพราะฉะนั้น ท่านจงหัดอดทนในสิ่งเหล่านี้เสียบ้างเถิด ผู้ที่วางใจให้เป็นปกติเมื่อประสบกับสุขทุกข์ได้ ชื่อว่า ทำชีวิตตนเองให้เป็นอมตะ ในอสัตยภาวะ ย่อมไม่มีภาวะแห่งความจริง เช่นกันกับที่ในสัตยภาวะย่อมไม่ปราศจากภาวะแห่งความจริง ผู้ประจักษ์สัจจะย่อมมองเห็นความจริงสองประการนี้ ขอท่านจงทราบเอาไว้ว่าในสกลจักรวาลนี้มีอานุภาพอย่างหนึ่งแผ่ซ่านอยู่ทั่ว อานุภาพนี้ไม่รู้จักพินาศแตกดับ ไม่มีใครทำลายมันได้ มันคืออาตมัน มันสิงอยู่ในร่างมนุษย์ มันคือภาวะนิรันดรเหนือการพิสูจน์หยั่งรู้ ใครก็ตามที่คิดว่าอาตมันนี้เป็นผู้ฆ่า หรืออาตมันนี้เป็นผู้ถูกฆ่า คนผู้นั้นไม่รู้ความจริง เพราะอาตมันนี้ไม่เคยฆ่าใคร และใครฆ่าไม่ได้ อาตมันนี้ไม่เกิด ไม่ตาย เป็นสภาวะนิรันดร เที่ยงแท้ไม่มีแปรเปลี่ยน เมื่อร่างกายของคนถูกฆ่า อาตมันหาได้ถูกฆ่าด้วยไม่ อรชุน! ใครก็ตามที่รู้ซึ้งถึงอาตมันอันเป็นสภาวะนิรัดรไม่รู้จักพินาศแตกดับอย่างนี้แล้ว เขาผู้นั้นจะได้ชื่อว่าฆ่าใครหรือถูกใครฆ่าอยู่หรือ อุปมาเหมือนคนถอดเสื้อผ้าที่เก่าชำรุดทิ้งแล้วสวมเสื้อผ้าใหม่เข้าแทน อาตมันก็ฉันนั้น ละร่างเก่าแล้วก็ลอยล่องออกสิงสู่ร่างใหม่ อาตมันนั้นไม่มีอาวุธหรือศาสตราชนิดใดตัดขาด ไฟก็เผาไหม้ให้พินาศ น้ำก็มิอาจพัดพาให้เปียกละลาย กระทั่งลมก็ไม่สามารถกระพือพัดให้แห้งระเหยไป เพราะตัดไม่ขาด เผาไม่ไหม้ ถูกน้ำถูกลมก็ไม่ละลายหรือแห้งเหอด อาตมันจึงชื่อว่าเป็นสภาวะอันนิรันดร แผ่ซ่านอยู่ทุกอณูของจักรวาล ยืนยงไม่รู้จักแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา อาตมั้นนี้ไม่ปรากฏให้เห็นแจ่มแจ้ง คิดตามก็มิอาจหยั่งทราบทั้งยังเป็นสภาวะอันเที่ยงแท้ชั่วนิตย์นิรันดร์ อรชุน! รู้อย่างนี้แล้ว ท่านยังจะเศร้าสลดอยู่ไย อนึ่งเล่า ท่านก็รู้อยู่ไม่ใช่หรือว่าตนเองต้องเกิดและตายเวียนว่ายอยู่อย่างนั้นไม่รู้จักจบสิ้น ฉะนี้แล้วท่านยังจะท้อแท้อยู่ทำไม เมื่อเกิดก็ต้องตาย ตายแล้วก็ต้องเกิด นี่คือสภาพอันแน่นอน ไม่มีใครหลีกเลี่ยงการเกิดและการตายได้ ก็เมื่อเลี่ยงไม่ได้ ไฉนท่านจึงมัวหดหู่กับมันอยู่เล่า ชีวิตคนเรานั้น ก่อนก่อเกิดเราก็ไม่ทราบว่ามันมาอย่างไร ครั้นหลังจากตายไปแล้วเราก็ไม่อาจคาดรู้ว่ามันจะไปอย่างไร มีเพียงปัจจุบันของชีวิตเท่านั้นที่เราพอจะรู้และเห็นตามมันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะมัวไปกังวลกับชีวิตกันทำไม เรื่องราวของอาตมันนี้ใครได้เห็นก็ต้องออกปากว่าน่าอัศจรรย์ ใครได้พูดถึงมันก็พูดถึงด้วยความอัศจรรย์ใจ กระทั่งคนที่รับฟังเรื่องราวของมันก็รับฟังด้วยความอัศจรรย์ แม่เมื่อรับฟังแล้ว ก็ไม่มีใครสักคนรู้จักมัน อรชุน! เมื่อรู้ว่าชีวิตมีอาตมันอันเป็นนิรันดรเป็นแก่นแท้เช่นนี้แล้ว สมควรอยู่หรือที่ท่านจะมัวกังวลกับชีวิต จงคำนึงถึงหน้าที่ของตนให้มั่นเถิด อย่าได้หวั่นไหวกับสิ่งเหล่านี้เลย เพระในโลกนี้ไม่มีความดีอันใดของกษัตริย์เทียบเท่ากับการทำสงครามเพื่อปกป้องความถูกต้องนี้ได้เลย
อรชุน! กษัตริย์ที่ทำสงครามแล้วได้เสวยสุขอันเกิดจากสงครามที่ทำมาด้วยมือนั้น ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้เผยประตูสวรรค์ให้แก่ตนเอง ถ้าท่านไม่ยอมทำสงครามเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งความเป็นธรรมครั้งนี้ ก็เท่ากับว่าท่านนั้นได้ละทิ้งหน้าที่และเกียรติของตนเอง การละเลยหน้าที่นั้นจะพาให้ท่านประสบกับบาปกรรม คนทั้งหลายจะพากันประฌามท่าน ท่านก็เคยฟังมาไม่ใช่หรืออรชุนว่าสำหรับบุคคลผู้ถือกำเนิดมาในตระกูลที่สูงส่ง เขาย่อมเลือกเอาความตายแทนการมีชีวิตอยู่อย่างในไร้เกียรติ และศักดิ์ศรี บรรดานายทหารทั้งหลายที่เคยยกย่องท่านว่าเป็นผู้กล้า ก็จะพากันหยามหมิ่นว่าท่านกลัวตายจนต้องลนลานหนีจากสนามรบ ทั้งศัตรูเล่าก็จะพากันปรามาสท่านว่าหมดสิ้นความสามารถ จะมีทุกข์อะไรอีกเล่ายิ่งไปกว่าการถูกหยามหยันทั้งจากศัตรูและพวกพ้องเดียวกันเช่นนี้ รบเถิดอรชุน! เพราหากท่านตายในสนามรบ สวรรค์ก็ยังเปิดประตูรอท่านอยู่ แม้นหากว่าท่านมีชัย ความเป็นใหญ่ในแผ่นดินก็รอให้ท่านครอบครองอยู่แล้ว จงวางใจให้เสมอในสุขและทุกข์ ในลาภและความเสื่อมลาภ ตลอดจนในชัยชนะและความพ่ายแพ้ แล้วเตรียมพร้อมเพื่อการรบเถิด ทำได้อย่างนี้ท่านจึงจะปลอดพ้นจากบาป
http://fws.cc/leavesofeden/index.php?topic=1590.0
จากคุณ |
:
ต็กโกวคิ้วป้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
27 เม.ย. 54 15:05:47
|
|
|
|
 |