จริงๆเริ่มตั้งแต่ต้นปี 1949 เจียงไคเช็คก็พอจะเริ่มเห็นแววแล้วครับว่าคงจะต้านพวกคอมมิวนิสต์ไม่ไหว ทั้งการเสียปักกิ่ง การพ่ายแพ้ที่ไหวไห่ การล่มจมของกองทัพหูจงหนาน การเสียเหลียวเสิ่น ทั้งหมดทำให้ก๊กมินตั๋งเสียมณฑลในภาคจีนกลางและภาคเหนือไปทั้งหมดครับ
เดือน 2 ปี 1949 เจียงไคเช็คก็เหลือกำลังพลแค่ไม่ถึง 3 ใน 10 ของตอนเริ่มสงครามเมื่อปี 1946 และแทบจะไม่สามารถรักษาแนวต้านไว้ที่แม่น้ำฉางเจียงได้ พอเดือน 4 กองทัพปลดปล่อยประชาชนยกทัพข้ามแม่น้ำมา กองทัพก๊กมินตั๋งก็ต้านไม่ไหวครับ ต้องล่าถอยจากนานกิงและเซี่ยงไฮ้ภายในแค่ไม่กี่วัน
เจียงไคเช็คต้องล่าถอยลงใต้ไปตั้งรัฐบาลใหม่ที่กว่างโจวครับ แต่ก็อยู่ได้ไม่กี่เดือน กองทัพปลดปล่อยประชาชนนำโดยหลินเปียวก็ยกลงใต้มาตีกว่างโจวแตกในเดือน 10 เจียงไคเช็คก็ถอยไปจุงกิงต่อ (แต่เริ่มขนสมบัติและอาวุธกับไพร่พลล่าถอยไปไต้หวันแล้วส่วนหนึ่งมาตั้งแต่ตอนเสียนานกิง) และพอจุงกิงแตกในเดือน 11 เจียงไคเช็คก็ทิ้งแผ่นดินใหญ่ไปไต้หวันโดยสิ้นเชิงครับ ปล่อยให้กองทัพบางส่วนล่าถอยไปเฉิงตู และถอยลงใต้เข้ากุ้ยโจวกับยูนนานต่อไป (จนถอยเข้าไปในพม่า กลายเป็นกองพล 93 นี้แล)
สรุปก็คือ ผมว่าเจียงไคเช็คเตรียมแผนสำรองไว้ที่ไต้หวันตั้งแต่ต้นปี 1949 แล้วครับ เพียงแต่ตัวเขายังบัญชาการรบบนแผ่นดินใหญ่อยู่อีก 8 เดือนเศษๆ จนเห็นว่ายื้อไม่ไหวแล้ว จึงค่อยถอยไปไต้หวันเต็มตัว และอีกส่วนหนึ่ง ก็อาจจะเป็นการหลอกล่อกองทัพปลดปล่อยประชาชนด้วย เพราะถ้าเขาถอยจากนานกิงไปไต้หวันเลย มันจะไม่สามารถซื้อเวลาได้พอที่จะตั้งแนวต้านบนเกาะครับ เจียงไคเช็คเลยเล่นแผนย้ายไปทางโน้นทีทางนี้ที เพื่อดึงความสนใจของกองทัพแดงไปจากไต้หวัน
แก้ไขเมื่อ 27 เม.ย. 54 17:22:05
จากคุณ |
:
อุ้ย (digimontamer)
|
เขียนเมื่อ |
:
27 เม.ย. 54 17:20:18
|
|
|
|