ความคิดเห็นที่ 1 บอกได้อย่างเดียวว่า "มันมีจริงๆนะ" เพราะว่าเรามีคัมภีร์นี้อยู่ในครอบครอง เวลาเราเห็นกระทู้ที่ว่า หลวงตาหรือเกจิอาจารย์์แก่ๆของไทย ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย (แบบเถรวาท) มาต้ั้งหลายสิบปี จนในที่สุดตัวท่านก้อชราภาพแล้วตายอย่างทรมาณสังขาร แล้วศิษย์ก้อพยายาม "โฆษณาเชิดชูว่าท่านบรรลุอรหันต์" เราเศร้าใจมากๆเลยหละ เพราะคนไทยแปลภาษาแขกผิด ไม่เก่งเท่าคนจีนแปล มันทำให้คนไทยตั้งหลายคนละนิวาสถานไปบวชแล้วพอแก่ก้อสังขารร่วงโรย แล้วคิดว่า "บรรลุอรหันต์ แต่จริงๆแล้ว มันไม่ใช่" ดังน้้นคำสอนศาสนาพุทธที่เขียนเป็นภาษาไทยน่ะ จริงๆแล้วพระพุทธเจ้า "ไม่ได้สอนเลย" แต่คนไทยแปลผิด แล้วเผยแพร่ผิดๆ คนอย่างปรมาจารย์ตั๊กม้อหรือจางซันฟงในตำนานจีนสิ (คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นและคัมภีร์ล้างไขกระดูกมันเป็นของปรมาจารย์ตั๊กม้อ) ที่บรรลุมรรคผลได้จริงๆ ซึ่งตอนบรรลุมรรคผลนั้นร่างกายผ่าน biological transmutation ที่ทำให้ "กลับเป็นเด็กได้ใหม่ ซึ่งคนพวกนี้แหละที่จะบรรลุมรรคผลได้จริงๆ" ที่คิดเช่นนี้ก้อเพราะว่า "เราไม่เคยเห็นพระอรหันต์หน้าตาเหี่ยวย่น เดินแทบไม่ไหว ตายอย่างทรมาณ อย่างที่คนไทยพยายามโปรโมทพวกเกจิอาจารย์พวกเขาเลย" เมื่อเขียนกระทู้แบบนี้แสดงความคิดเห็นไปแล้วก้อมีพวกนักวิชาการมายำใหญ่เรา หาว่าเราฝักใฝ่ด้าน tantra แต่ของพุทธจริงๆไม่มีแบบนั้น เราโต้ตอบโดยการลบ คคห เราหมด แล้วปิดกระทู้หนีไปเลย เพราะว่า เราไม่ต้องการเปิดเผยความลับของเราว่า "เรามีคัมภีร์โบราณที่ทำให้เราอายุเกิน 100 ปี แต่กลายเป็นยิ่งทรงพลัง กระโดดเตะก้านคอเด็กวัยรุ่นได้" ทั้งนี้ เราต้องการคงไว้ซึ่งสภาพการแข่งขันในตลาดงานและในสังคมนั่นเอง ถ้าเราพยายามแก้ต่างเพื่อให้พ้นจากการโดนยำใหญ่ในกระทู้นั้น นั่นมันก้อหมายควมมว่า "เราต้องเปิดเผยความลับที่เราค้นคว้ามาตั้งหลายสิบปี จนในที่สุดเด็กวัยรุ่นก้อกระโดดเตะก้านคอเราร่วงได้" ดังนั้น เราจึงยอมโดนยำใหญ่ (แล้วปกปกปิดความลับของเราไว้) แล้วลบ คคห ทั้งหมด (เพราะกลัวโดนคนที่แอบอ่าน จะแอบตัดแปะ) แล้วหนีไป จนป่านนี้พวกที่ยำใหญ่เราต่างก้อหลงผิดคิดว่าพวกเขาชนะ... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 16:39:51

ความคิดเห็นที่ 2 สิ่งที่ปราชญ์ขาวจีนพูดเกี่ยวกับคำสอนของพระพุทธเจ้า (ตามที่พวกเขาตีความจากภาษาแขกต่างจากคนไทยตีความ) มันเป็นอะไรที่ "น่ากล้วมากๆ" เราค้นพบคำสอนของพระพุทธเจ้าที่เหมือนๆกับ "คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นและคัมภีร์ล้างไขกระดูกของปรมาจารย์ตั๊กม้อ" ที่เราเอามาเปลี่ยนโครงสร้างกระดูกเราได้ทั้งร่างจนกลับกลายเป็นเด็กได้ใหม่ตอนอายุมากๆ และคนจีนที่เขียนคัมภีร์นี้ไว้ เปรียบเทียบกับ เต๋า แล้วกลายเป็นว่า "พุทธกับเต๋า เหมือนกันมากๆ" และเราซึ่งรู้วิชาพลังลมปราณของฮินดูอยู่แล้ว เรายิ่งเห็นมองอะไรที่เหมือนแนวคิดฮินดู และพอศึกษา The Bible เรายิ่งเห็นว่า เต๋า ฮินดู พุทธ และคริสต์ น่าจะมาจากต้นกำเนิดอันเดียวกัน....!!! แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 16:57:03 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 16:56:08

ความคิดเห็นที่ 3 ^ ก็ถ้าคุณไม่ต้องการเปิดเผยจริงๆ    แล้วคุณจะเอามาโพสต์ทำไมละครับ    คุณโพสต์แบบนี้รู้สึกเหมือนกับพยายามโฆษณาว่าวิชาของฉันดี    ใจจริงฉันอยากจะสอนนะ     แต่เพื่อสร้างราคา      ฉันจะเล่นตัวไม่สอนใคร ถ้าคุณไม่คิดจะเปิดเผยอะไรจริงๆ    ก็เงียบไว้ซะไม่พูดถึง    ไม่กล่าวถึงไม่ดีกว่าหรือ     เอามาพูดแบบนี้มันมีลักษณะเหมือนยั่วให้คนอื่นอยากรู้มากกว่านะ   แบบที่ว่ายั่วให้อยากแล้วจากไป แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 19:44:38 จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 19:42:03

ความคิดเห็นที่ 4 มันไม่ใช่อะไรเลยสองวิชานี้ แค่โยคะ เดี๋ยวนี้ฝึกกันดาดดื่น ไม่ใช่เคล็ดลับอะไรอีกแล้ว จากคุณ : เว็บโลกสวย เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 23:36:57 A:140.119.202.18 X: TicketID:316491

ความคิดเห็นที่ 5 ใน youtube ก็มีเยอะแยะครับ เปลี่ยนเส้นเอ็นน่ะ(yi jin jing อี้จินจิง) จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 23:52:08

ความคิดเห็นที่ 6 CCTV ยังทำขายเลย จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 23:54:23

ความคิดเห็นที่ 7 ส่วนล้างไขกระดูกนี่ มีสอนกันหลายเจ้าเหลือเกิน มันตัก เจีย ก็สอนแต่เป็นสายเต๋า ของเส้าหลินก็มี ในภาพ มันตัก เจีย คนไทยนี่แหละ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 23:58:04

ความคิดเห็นที่ 8 เดี๋ยวนี้ มันตัก เจีย แกก็ทำหนังสือขายแล้วนะครับ VCD ก็มี ไม่ได้หายากหรอก จะลงเรียนกับแกก็ยังได้ อยู่เชียงใหม่บ้านเรานี่เอง จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 23:59:09

ความคิดเห็นที่ 9 ต้องการทราบชื่อของกระบวนท่าต่างๆของทั้งสอง คัมภีร์เพราะไม่รู้ว่าแปลเป็นไทยแล้วท่าต่างๆเหล่านั้นมีชื่อท่าภาษาไทยว่าอย่างไร จากคุณ : sunwa1688 เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 00:14:15

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบคุณ zodiac28 คคห 3 คุณเข้าใจผิด เราไม่ได้พูดถึงเรื่องคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นและไขกระดูก ซึ่งเราเชื่อว่าใครๆก้อหาข้อมูลได้จากสื่อต่างๆ ซึ่งเราก้อเคยค้นข้อมูลเรื่องเร้นลับเรื่องอื่นคล้ายๆแบบนี้ (ซึ่งบัดนี้ไม่ใช่เรื่องเร้นลับ) ให้คนอ่าน แต่พอทำแล้วโดนคนไม่เชื่อ (ส่วนมากเป็นนักวิชาการ) เข้ามายำใหญ่เรา บางทีเราโดนรุมกินโต๊ะ เราหมายถึงการเขียนเรื่องอะไรแบบนี้ พอหลวมตัวเขียนไป แล้วโดนนักวิชาการยำใหญ่ แล้วถ้าเราหลวมตัวมัวมาแก้ต่าง เราก้อต้องเสียเวลาอธิบายเนื้อหาคัมภีร์อีกทั้งวิธีการตีความคัมภีร์อีกยกใหญ่ กลายเป็นต้องมาเสียเวลาพิมพ์ข้อความตั้งมากมาย ดังนั้น ทางที่ดีถ้าโดนยำใหญ่แล้วปิดกระทู้ (ลบข้อความทั้งหมดทิ้ง) แล้วหนีไปซะ จะได้ไม่เสียเวลา จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 03:53:50

ความคิดเห็นที่ 11 ในวงวิชาการมันก็เป็นอย่างนี้มาแต่ไหนไรแล้วละครับ คุณหมอดู คนรู้มากกว่าคนอื่นมักต้องเปลืองตัวมากกว่าเสมอ ดูอย่างกาลิเลโอสิครับ พอมาบอกผู้คนว่าโลกกลม ในขณะที่ยุคนั้นใครๆก็เชื่อว่าโลกแบน ผลก็คือแทบจะเอาตัวเองไม่รอด ถูกบัพเพชนียกรรม ฯลฯ แต่ปัจจุบัน โลกเปิดกว้างมากขึ้น คนมีความคิดความอ่านมากขึ้น การถูกครอบงำทางความคิดก็น้อยลง ดังนั้นก็นำเสนออะไรใหม่ๆ ก็น่าจะใช้เหตุผลมาหักล้างกันได้ แต่หลายครั้งที่คนเอาความเชื่อเป็้นตัวตั้ง โลกเราจึงวุ่นวายกันไม่จบไม่สิ้นประการเช่นนี้แล อย่างไรก็ตามผมยังชื่นชมคุณหมอดูอยู่เสมอมานะครับ ที่เอาความจริงหลายๆเรื่องมาตีแผ่ให้ผู้คนหลายคนในนี้ได้ทราบ ขอบคุณอีกครั้งครับ จากคุณ : คนใจร้ายหมายดี เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 10:35:51 A:110.169.24.153 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 12 คุณfortuneteller รบกวนเล่าให้ฟังเป็นวิทยาทานด้วยครับ เอาวิชาแข็งแต่ไม่หลั่งด้วย คิดว่าน่าจะสัมพันธ์กัน จะได้มีภาคภาษาไทยเสียที มีแต่เสียเงินแต่ฝึกไม่ได้ แต่นี้ให้เปล่าและหลายอย่างก็ถูกต้อง เรื่องภาษาอังกฤษไม่เป็นไรครับเดี๋ยวไปค้นเพิ่ม ที่นี่ห้องสมุด ไม่ใช้หว้าก้อ กึ่งวิชาการ กึ่งเรื่องเล่าจากเอกสารโบราณสามารถพูดได้ การเอาเรื่องอื่นมาแจ้งลบถึงว่าอคติ จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 10:43:10

ความคิดเห็นที่ 13 เรื่องราวแบบนี้ เป็นแนวเฉพาะตัว เอ่ยบางคำก็เท่ากับเปิดแง่มุมให้เร้าใจ บางคนชอบให้แบกะดิน มองผ่านๆ บ้างก็เฉยๆ บ้างก็นินทา ของหรือความรู้ทุกอย่าง มันมักมีภาคพิศดารแฝงอยู่ เขาจึงว่าสองคนยลตามช่อง...   ก็อ่านเต๋าและกามารมณ์ฉบับแปลที่ฝรั่งเขียน อ่านข้อเขียนของหมอเฉก แต่คัมภีร์ลมปราณ คัมภีร์เปลี่ยนเอ็นฯ ซื้อทิ้งไว้แต่หนุ่มๆ 555 ยังไม่เคยอ่านจริงจัง แต่หลายอย่างที่อ่านผ่านๆ แม้เพียงไม่มาก ก็ทำให้เราเข้าใจอย่างได้ประโยชน์ จึงไม่สงสัยจะมีคนให้ดูหมอมากขึ้น ทำใจหนักแน่น ความรู้ท่านเป็นกุศล จากคุณ : คนดั่ง...มดงาน เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 14:30:36

ความคิดเห็นที่ 14 ถึงคุณfortuneteller ผมว่าถ้าของมันมีจริง มันก็เป็นเรื่องดีที่เราควรแบ่งปันเป็นวิทยาทาน ก็เช่นหลักธรรม ซึ่งเป็นสิ่งดี เขาจึงนำมาสอนต่อๆกัน ถ้าคุณไม่กล้าเอาออกมาแสดง หรือพิสูจน์ให้ดู มันก็ทำให้เชื่อได้ว่า มันไม่จริง เป็นแค่การเรียกร้องความสนใจเฉยๆ เชื่อผมเถอะครับ ทำแบบนี้มันไม่เท่ห์หรอก จากคุณ : นายอุดม เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 14:33:28

ความคิดเห็นที่ 15 ข้าเชื่อท่าน!!ไม่สงสัยในสิ่งที่ท่านเขียนแม้แต่ เพราะข้าก็กำลังค้นหาเคล็ดวิชาเดียวกับท่านและท่านเขียนได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่เรา เฉียดพบแล้ว (อันนี้พูดจริงไม่ได้ล้อเล่น) จากคุณ : น้องนิดหน่อย เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 19:28:27

ความคิดเห็นที่ 16 เติมหน่อย คห.บน   **แม้แต่น้อย **** อย่างที่คห.บนว่า เหมือนเอาของ(ดี)มาแบกะดิน ผู้มีปัญญาอ่านแล้วก็เข้าใจ ผู้โง่เขลาอ่านแล้วก็ผ่านไป ชื่นชม วิจารณ์ยินดี เฉยๆ ไม่สนใจผ่านเลยไป ธรรมดาโลก อย่าไปถือเลยท่าน  สิทธิ์ของเราที่จะเขียน ไม่ได้อ้างๆลอยๆ ไม่ได้ทำผิดอะไร วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ก็ปล่อยให้เขาไปพิสูจน์ (เรื่องของแก...ฉันแค่มาเขียนให้อ่าน)  อาจเป็นเพชรในโคลนตม เรื่องทีคุณเขียนเราเข้าใจนะแต่ไม่รู้คนอื่นเข้าใจหรือเปล่าเพราะเราก็อ่านมาแบบเก็บเล็กผสมน้อย ค่อยๆต่อจิ๊กซอร์ไปแล้ววันนี้ดีใจนะที่คุณบอกว่าคุณเขียนไม่หมด เพราะเรารู้สึกมาระยะหนึ่งเวลาที่อ่านกระทู้คุณเหมือนได้จิ๊กซอร์อันใหญ่ๆสวยๆ จากคุณ : น้องนิดหน่อย เขียนเมื่อ : 10 พ.ค. 54 19:50:51

ความคิดเห็นที่ 17 นึกถึงคำที่มีคนประชดไว้ว่า พวกฝรั่งคิดค้รอะไรได้ก็จะเผยแพร่ ทำให้ความรู้พัฒนาต่อยอดไปได้ไกล พวกเอเชียคิดค้นอะไรได้ก็เก็บไว้กับตัว หวงวิชากลัวคนอื่นรู้ สุดท้ายตายวิชาก็หายไป จากคุณ : tanakeme เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 20:03:12