Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
แสงเรืองเรืองที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่.......................{แตกประเด็นจาก K10475456} ติดต่อทีมงาน

กระทู้ที่1  :    http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10401230/K10401230.html (กระทู้เสียครับ)
                    ผมนำมาลงเฉพาะข้อความตั้งกระทู้ที่นี่ครับ
                    http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10595636/K10595636.html
ขอบคุณคุณ447 ครับ ที่แจ้งว่าอยู่ในคลังกระทู้
                    http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/03/K10401230/K10401230.html
กระทู้ที่2  :    http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10455834/K10455834.html
กระทู้ที่3  :    http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10475456/K10475456.html

ผมขอทบทวนที่มาแบบย่อๆนะครับ

30 กว่าปีก่อน  ผมพบเด็กที่เรียนระดับวิทยาลัย  ทั้งชั้นราว 50-60 คน  อาจารย์ผู้สอนบอกว่าทั้งห้องถอดบัญญัติไตรยางค์เป็นแค่ 2 คน

ผมเดินสายสอบถามลงไปตามลำดับชั้นเรียน  พบว่าครูผู้สอนได้รับคำสั่ง “ห้ามมีเด็กสอบตก”

ผมสอบถามครูหลายๆท่านว่าสาเหตุที่ทำให้มีเด็กเรียนไม่รู้เรื่องมาจากอะไร  เขาก็ตอบว่าเนื่องจากการห้ามมีเด็กสอบตกนี่แหละ  เพราะเด็กที่ได้ขึ้นชั้นเรียนมาให้เขาสอนจำนวนมากมายไม่ได้ผ่านเกณฑ์ที่แท้จริงของชั้นเรียนที่แล้วมา ทำให้ เขาไม่มีปัญญาที่จะสอนให้เด็กเหล่านี้เรียนรู้ได้ตามหลักสูตร  และเขาก็ต้องจำยอมให้เด็กที่เรียนไม่รู้เรื่องเหล่านี้สอบผ่านเพื่อให้ขึ้นชั้นเรียนที่สูงขึ้นไป

หลังจากนั้นรวมเวลาราว 30 ปี ผมก็ไม่ได้ติดตามเรื่องนี้  เพราะคิดไปเองว่าเมื่อมีคำสั่งที่เกินความสามารถของครูผู้สอนหรือเกิดผลเสีย  ก็คงจะมีการแก้ไขปรับปรุงหลังจากใช้ไปไม่นาน

จนกระทั่งมาช่วงปิดเทอมใหญ่ต้นปี 2553  ผมก็ไปเจอเด็กระดับวิทยาลัย  กำลังทำการสอบซ่อมครั้งที่ 5  (คือสอบตกมาแล้ว 4 ครั้ง)  และอาจารย์หัวหน้าแผนกบอกผมว่าเด็กกลุ่มนี้มีราว 70 %  และวันนี้(วันที่สอบ)ต้องให้ผ่านตั้งหมดเพราะต้องส่งเกรดแล้ว  และในช่วงเวลาติดต่อกัน  ผมก็ได้ข้อมูลมาว่าเด็กนักเรียนชั้นมัธยม(ต้น และ ปลาย) อ่านเขียนหนังสือไม่ได้ก็มี  และที่สำคัญนักเรียนในโรงเรียนมัธยมบางแห่งเรียนไม่รู้เรื่องเกินครึ่งห้องเรียน)  เมื่อผมสอบถามครูผู้สอน  เขาก็บอกว่าต้นเหตุของปัญหาคือ “ห้ามมีเด็กสอบตกซ้ำชั้น”
 -----------------

ผมได้นำเรื่องราวดังกล่าวมาโพสตั้งกระทู้ที่นี่  โดยหวังว่าจะได้รับการสนับสนุน  แนะนำ  และร่วมมือกัน  เพื่อทำให้เกิดการแก้ไขที่เป็นประโยชน์ของชาติ  ซึ่งก็ได้รับคำแนะนำ + เล่าประสบการณ์ + ความคิดเห็นที่ดีมากมาย + การสนับสนุน  มากจนเกินความคาดหวัง  

ผมขอเรียนบอกเล่าเหตุการณ์ / บรรยากาศจาก 3 กระทู้ที่ผ่านมาสักเล็กน้อยเพื่อความเข้าใจอันดี

          1.  ผมมีส่วนผิดมากตรงที่ผมชอบแขวะ  บางครั้งก็ไปแขวะเอาท่านที่ประสงค์ดี  เช่นคุณ RakRok12  ซึ่งผมได้ย้อนไปอ่าน คห.ต่างๆ และลิ้งค์ที่ท่านให้มาอย่างละเอียด และทำใจเป็นกลาง  ก็พบว่าที่ท่านแนะนำมานั้นถูกต้องครับ  และท่านแนะผมด้วยความเป็นห่วง  ไม่อยากให้ผมเหนื่อยและเสียเวลาเปล่า  แต่ความจริงแล้วก็เป็นความบกพร่องของผมอีกนั่นแหละที่ไม่ได้บอกใน คห.ต่างๆของผมของผมว่าประเด็น  จุดที่ผมชี้  หรือทางออกที่ผมเสนอนั้น  มันยังไม่ได้เป็นสิ่งที่จะนำไปเสนอต่อผู้ใหญ่  หรือกระทรวง  ยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น  ที่ผมเสนอต่อไปนี้ขอให้ถือว่าเป็นการนำเสนอของสมาชิกคนหนึ่ง  ซึ่งจะถูกนำมาพิจารณาร่วมกันว่าความเห็นใดเป็นประโยชน์จริง  จึงจะได้มีการหาหลักฐานมาสนับสนุนความคิดนั้นๆต่อไป  (เหตุที่ผมโพสข้อความลักษณะในแนวที่ยืนคนละด้านกับคุณ RakRok12 เพราะผมไปเข้าใจว่าคุณ RakRok12 ไม่ต้องการให้มีการปรับปรุงแก้ไขการจัดการการศึกษา ซึ่งในใจของผมๆถือว่าคนที่ไม่ต้องการให้มีการเปลี่ยนแปลงฯเป็นคนที่ไม่หวังดีต่อการศึกษาของชาติ  ประกอบกับจังหวะลำดับความเห็นมักจะเข้ามาเหมือนกับจะแย้งและเบรกความเห็นของผมในหลายๆครั้งเช่น ตอนที่ผมเล่าเรื่องครูที่อเมริกาเขาเช็คความพร้อมของหลานผม#198 ซึ่งเป็นเรื่องจริงโดยหลานเขาโทรคุยกับย่า ก่อนหน้าผมนำมาโพสเพียง 2 วัน    ซึ่งก็มี คห.ของคุณRakRok12 ก็มาต่อโดยกล่าวถึง กาลามสูตร เลยทำให้ผมเข้าใจไปว่าคุณ Rakrok12 มาโพสเบรกเพื่อทอนความน่าเชื่อถือของความเห็นที่ผมโพส)
                                         ผมขอโทษคุณ RakRok12 มา ณ ที่นี้ครับ

2.  ผมคาดไม่ถึงว่าจะได้รับการต่อต้านจากสมาชิกในบอร์ด  คือคุณ Okanail  ซึ่งเป็นคนที่สามารถแสดงข้อมูลของการจัดการการศึกษาของไทยที่ใช้อยู่ได้มาก  แต่ท่านได้นำข้อมูลมาเพื่อที่จะไม่ให้มีการเคลื่อนไหวในการกดดันหรือเสนอให้มีการปรับปรุงการศึกษาในประเด็นปัญหาที่ผมนำเสนอ  โดยเริ่มจาก………….
ท่านนำหลักฐานที่แสดงถึงการเปิดช่องให้ครูสามารถให้เด็กสอบตกได้มาแสดง
หลังจากที่เสียเวลาตอบโต้กันเกือบ 1 เดือน  ท่านค่อยเผยออกมาว่า “ไทยยังไม่มีศักยภาพให้มีการสอนซ้ำสำหรับเด็กที่สอบตก”   ซึ่งก็คือห้ามครูให้เด็กสอบตก
       หรือประเด็นเรื่องการนำระบบเกรดมาใช้กับเด็กชั้นประถม  ท่านก็บอกว่าระบบเกรดก็คือการแปลงคะแนนหรือเปอร์เซ็นต์ ให้เป็นเกรดเช่นเป็น A,B,C ...เท่านั้น  ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการกำหนดลำดับวิชาก่อนหน้าหลังที่จะลงทะเบียนเรียน(กระทรวงแบ่งเด็กเป็นระดับช่วงละ 3 ปี จะเรียนอะไรก่อนหลังก็ได้ ไม่ต้องสอบผ่านวิชาเบื้องต้นของวิชานั้นๆ)  ไม่ได้รวมถึงการให้น้ำหนักหน่วยกิจของแต่ละวิชา ฯลฯ  เรื่องนี้ยื้อกันไปจนกระทั่งท่านเอาลิ้งค์ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งซึ่งมีเมนู Grading System มาลง (Grading System เป็นหนึ่งในเมนูของเวปโรงเรียน/มหาวิทยาลัย ทั่วๆไปที่เขา จะให้มีไว้เพื่อแสดงให้นักเรียน/นักศึกษาได้รู้ว่าระบบเกรดของเขาคิดอย่างไร  ตัวไหนแทนอะไร  แต่เขาไม่แจ้งรายละเอียดว่าวิชาที่เรียนว่าจะต้องเรียงลำดับอย่างไร หรือวิชาใดกี่หน่วยกิจ เพราะแต่ละคณะก็เรียนหลักสูตรไม่เหมือนกัน  และเขาไม่จำเป็นต้องเอาการจัดความสำคัญของลำดับวิชามาลง  เพราะเป็นที่ทราบและใช้เหมือนกันทั่วโลก [ ถ้าจะยกตัวอย่างให้เห็นชัดก็ขอยกตัวอย่างกติกาการแข่งฟุตบอล  ฟุตบอลอาชีพของประเทศA   อาจจะกำหนดให้มีนักกีฬาสัญชาติอื่นในทีมได้ไม่เกิน 4 คน  แต่ฟุตบอลอาชีพของประเทศB  กำหนดให้มีนักกีฬาสัญชาติอื่นได้ไม่เกิน 5 คน  แต่กติกาในการแข่งขันอื่นๆ  ก็จะเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกประเทศ]  แล้วมีท่านหนึ่ง ทำเป็นสงสัยสอบถามท่านเกี่ยวกับข้อความในลิ้งค์นั้น(กระทู้ที่3, คห.96)  แล้วท่านก็ตอบว่าเอามาลงเพราะ คห.2 ทำนองว่าสับสนในคำว่าระบบเกรด   แล้วผู้ที่ถามก็บอกว่าเข้าใจแล้ว  ขอขอบคุณ(กระทู้ที่3, คห.106)    การ ถาม – ตอบ เช่นนี้ทำให้เพื่อนๆที่ไม่สนใจประเด็นระบบเกรดเมื่ออ่านคห. 106 ก็จะเข้าใจว่าระบบเกรดของคุณ Okanail เสนอนั้นถูก  แต่ของผมผิด  ทั้งๆที่ระบบเกรดที่ผมบอกนั้นมันถูกต้องเป็นมาตรฐานใช้กันทั่วไป   แต่ที่กระทรวงเอามาใช้ตามที่คุณOkanail บอกนั้น เป็นแค่การเทียบคะแนนสอบให้เป็นเกรดเท่านั้น (ถือว่าการ ถาม-ตอบ ข้างต้นเป็นวิธีตบตาผู้อ่านครับ)

                     ถ้าเราได้คนที่รู้เรื่องการจัดการศึกษาของไทย  และมาช่วยอย่างจริงใจ  จะเป็นผลดีต่อส่วนรวมมาก  เพราะเราจะไม่เสียเวลา  ได้รู้สิ่งที่กระทรวงทำไปแล้ว  ได้รู้ผล  ได้รู้ข้อจำกัด  ไม่ใช่ใช้เทคนิคต่างๆนาๆมาบิดเบือนเพื่อแบ่งแยก  หรือเพื่อให้เกิดความไม่เข้าใจกันในหมู่คนที่อยากให้มีการปรับปรุงการศึกษาของไทย  แถมยังมีการทำเป็นเนียน  เสนอเป็นคนจัดเตรียมสถานที่ประชุม  เพื่อรวบรวมคนที่สนใจอยากให้มีการแก้ไขฯ  ทั้งๆที่ตนเองเห็นว่าทุกวันนี้กระทรวงทำดีแล้วไม่ต้องมีการแก้ไขอะไร
(ถ้าสิ่งที่กระทรวงทำอยู่แล้วดี  คุณภาพการศึกษาของเด็กไทยก็จะแย่แบบที่ปรากฏให้เห็นชัดเจนเหรอครับ)

                       ส่วนวิธีการทำงานของพวกเรา  ผมคิดว่าการแก้ไขในเบื้องนี้ยังไม่ใช่การทำงานร่วมกับผู้รับผิดชอบของกระทรวง  แต่ต้องระดมแนวความคิดระดับต้น  เรียบเรียงให้ชัดเจน  แล้วนำเสนอครูผู้สอน  ปลุกระดมครูทั่วประเทศให้ได้มากที่สุดที่จะทำได้   เพื่อให้มีการปรับปรุงแนวความคิดระดับต้นที่เราช่วยกันทำขึ้นมา    เพราะผู้ปฏิบัติจะเป็นผู้ที่เห็นอีกด้านหนึ่งมากกว่า  แล้วค่อยผลักดันให้เกิดการปรับปรุงแก้ไขในระดับชาติ ครับ
                       งานนี้จะสำเร็จได้ก็ด้วยคณะครูครับ  พวกเราเป็นได้เพียงจุดประกาย  ช่วยกันกระจายเพื่อให้ครูได้เกิดการรวมกลุ่มให้มีการแก้ไข

        ========== แสงเรืองเรืองที่ส่องประเทืองอยู่ทั่วเมืองไทย คือแม่พิมพ์อันน้อยใหญ่.........................============
ครูแต่ละคน   เทียนคนละเล่ม  มารวมกัน  จะส่องสว่างให้เกิดการแก้ไข  อย่าให้โดนลดศักดิ์ศรีแบบที่เป็นอยู่ครับ

......................................

ผมขออนุญาตแสดงกรอบ ในส่วนของผมดังนี้ครับ

(ส่วนหนึ่งของแนวคิดที่จะนำเสนอ  ผมได้มากจากการสอบถาม  และอีกหลายส่วนที่สำคัญซึ่งผมได้เก็บเกี่ยวจากความเห็นของท่านทั้งหลายจาก 3 กระทู้ข้างต้นครับ  แต่ผมจะขอไม่อ้างชื่อ หรือที่มาครับ  ส่วนจะเป็น  คห.ของท่านใดก็ขอขอบคุณ ณ ที่นี้นะครับ)

1.  การจะทำอะไรกับการจัดการการศึกษา  ผมอยากจะให้คำนึงถึงศักดิ์ศรีของครูเป็นสำคัญครับ  ที่ผ่านมานั้นเป็นเช่นไร  เราท่านต่างรู้กันอยู่นะครับ  ผมไม่อยากให้อาชีพครูเป็นอาชีพของธุรกิจ  อยากดึงกลับมาให้เป็นอาชีพที่มีเกียรติ  เป็นอาชีพพิเศษพิเศษที่เป็นบุพการีที่เลี้ยงดูลูกศิษย์ด้านความรู้ความสามารถ  เพื่อให้ลูกศิษย์เป็นคนมีคุณธรรม-มีความรู้-สามารถที่จะหาเลี้ยงตัว และเป็นประโยชน์แก่สังคม  ผมขอเล่าเรื่องสมมติ  ดังนี้ครับ
............ดญ.สมศรี  ใฝ่ฝันอยากเป็นครู  ตั้งแต่เป็นเด็ก   พยายามดิ้นรนศึกษา  หาที่สอบ  ที่เรียน  จนจบมาได้เป็นครูสมใจนึก  ครูสมศรีถูกส่งไปสอนที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง  ให้สอนชั้น ป.3  วันแรกที่เริ่มสอน  ครูสมศรีรู้สึกช็อค  “โอยตายละ  เราจะทำอย่างไรดี  อุตส่าห์อ่านหนังสือเตรียมการสอนมาอย่างดี  แต่เท่าที่ลองเช็คความรู้ของเด็ก  มีพอรู้เรื่องระดับตำราป.2 ที่เด็กสอบผ่านมาแล้ว มีไม่ถึงครึ่งห้อง  อ่านหนังสือไม่ออกก็แยะ   เวลาผ่านไป...ครูสมศรีพยายามสอนเด็กกลุ่มที่พอเรียนรู้เรื่อง  พยายามเข็นเด็กที่ไม่ยอมรู้เรื่อง  เข็นมากเด็กพวกที่พอเรียนรู้เรื่องก็เบื่อ  แล้วพวกที่อ่านไม่ออกเลยจะทำไงดี  สู้ไปๆๆๆ  จนครบปี เด็กสอบไม่ผ่านมีครึ่งห้อง   ถามครูคนอื่นๆ  เขาก็บอกว่าก็ให้เด็กผ่านๆขึ้นไปนั่นแหละ  ใครๆเขาก็ทำแบบนี้  ขืนให้มีเด็กสอบตก  ครูคิดเหรอว่าอีก 1 ปี เด็กพวกที่สอบตกจะเรียนรู้เรื่อง  ครูก็สอนพวกนี้มาตั้งปีแล้วนี่ครูน่าจะรู้  และถ้าให้เด็กตก  ครูโดนเฉ่งแน่นอน  ครูสมศรีก็เลยให้เด็กสอบผ่านยกชั้น

             พอทำครั้งแรกได้  ปีถัดไปก็ง่ายที่จะใช้วิธีเดิม  ครูสมศรีรู้สึกหมดศักดิ์ศรีไปเรื่อยๆ เริ่มมีเสียงชาวบ้านที่ลูกหลานที่มาเรียนแล้วแต่ไม่ได้มีวิชาความรู้จากโรงเรียนมาเข้าหู  “ไอ้แดงเหรอ  ปีที่แล้วก็ครูสมศรีไง  เป็นครูประจำชั้น  จบป.3มาแต่ยังอ่านหนังสือไม่ออก”  ครูสมศรี รู้สึกเก็บกด  อารมณ์ร้ายขึ้นเรื่อยๆโดยไม่รู้ตัว  ความฝันที่จะเป็นครูแบบที่เคยวาดฝันไว้ก็ถอยห่างไปเรื่อยๆ  แล้วความก้าวหน้าล่ะ  ก็ต้องมี  ตามอายุราชการ   และเบื้องบนยังมีทางออกส่งเสริมความก้าวหน้าให้อีก  โดยการทำผลงานทางวิชาการ  ผลงานแบบนี้ทำอย่างไรล่ะ..............(ส่วนใหญ่ทำอย่างไร  ท่านที่อยู่ในวงการคงจะพอรู้นะครับ)  ครูสมศรีเคยได้ยินอาจารย์พูดถึงวิธีทำตอนสมัยเรียนครู  เลยไปลุยลองทำดู  ลุยลงไปทำแล้วโอ...มันยากและใช้เวลามากเลย    อ้าวแล้วลูกศิษย์ล่ะ  พวกที่พอจะเข็นได้บ้าง  เอาไว้ก่อนละกัน  ครูสมศรีขอก้าวหน้าก่อนนะ  รุ่นน้องแซงไปหลายคนแล้ว    เรื่องราวก็ดำเนินไปตามครรลองขอให้เพื่อนๆพอจะนึกต่อไปเองนะครับ 

ดังนั้นการมอบภาระให้ครูจะต้องมอบให้ครูทำในสิ่งที่ครูสามารถทำได้  ไม่ใช่ใครนึกอยากจะยัดเยียดอะไรก็ยัดเยียดเข้าไป  ใครอยากจะขายสื่ออะไร  วิชาไหน ก็ยัดเยียดเข้าไป  ไม่คำนึงว่าครูจะเป็นภาระแค่ไหน  เด็กในวัยนั้นจะรับได้ หรือการใช้สื่อชนิดนั้นเหมาะสมกับวัยของเด็กแค่ไหน  หากเราไปดูหนังสือเรียนของเด็กชั้น ป.1 จะเห็นได้ชัดเจนว่า  ในช่วงที่เด็กกำลังเรียนสะกดคำอ่าน  ก็จะมีหนังสือวิชาต่างๆอีกมากมาย  ทั้งๆที่เด็กยังอ่านหนังสือไม่ค่อยออก  ซึ่งความเป็นจริงแล้วสามารถสอนเด็กให้รับรู้เรื่องราวต่างๆนั้นได้โดยวิธีการอื่น  เด็กที่ฉลาด มีความพร้อมกว่าก็จะเรียนไปได้  ส่วนเด็กกลุ่มใหญ่ที่ยังอ่าน-เขียนไม่ได้  ก็จะท้อ  และรู้สึกว่าตนเองโง่  ทำให้เด็กหันไปเอาดีด้านอื่น

2.  การแก้ไข  ควรจะกระทบน้อยที่สุด  
ทราบมาว่าไทยไม่สามารถจัดให้มีการสอนซ้ำได้  
สมมติโรงเรียนสอน ป.1 ถึง ป. 6 มีชั้นละ 4 ห้องเรียน  ถ้าให้มีห้องที่สอนซ้ำกรณีสอบตกซ้ำชั้น(ระบบเปอร์เซ็นต์)   ชั้นละ 1 ห้อง  (น่าจะเป็นตัวเลขที่ใกล้เคียงกับความจริงในปัจจุบัน  คือมีเด็กเรียนไม่ผ่านเกณฑ์ที่แท้จริงไม่ต่ำกว่า 25% ..ไม่นับโรงเรียนที่มีคุณภาพที่ดีนะครับ)  โรงเรียนนั้นต้องเพิ่มห้องเรียนถึง 6 ห้อง  ซึ่งทำไม่ได้แน่นอน  (ทั่วประเทศเต้องเพิ่มห้องเรียนป็นเท่าไร?)
ถ้าเป็นระบบเกรดล่ะ  เด็กสอบตกเป็นบางวิชา  อันนี้พอจะเป็นไปได้  ถ้าให้มีการสอนภาคฤดูร้อน  แต่ก็ไม่ทราบว่าจะติดขัดที่ปัญหาอะไรไหม   แต่ถ้าเรียนภาคฤดูร้อนแล้ว เด็กยังสอบวิชานั้นไม่ผ่าน จะทำอย่างไร)

ผมจึงได้เสนอให้ใช้ระบบเปอร์เซ็นต์ในการวัดผลเด็กชั้นประถม  เพราะเด็กเองก็ไม่พร้อมและไม่เหมาะที่จะเรียนภายใต้ระบบเกรด

คราวนี้มาดูว่า  ถ้าวิธีไหนก็ไม่ได้  จะทำอย่างไร  ผมก็ขอเสนอไว้ 2 วิธี  เพื่อนๆท่านใดคิดวิธีดีๆได้ก็ช่วยกันออกความคิดนะครับ  หรือแนวของใครดีพอใช้ แต่บกพร่องตรงไหนก็ขอให้ช่วยกันปรับปรุงครับ

     2.1  ผมเสนอว่าให้มีการตรวจวัดความพร้อมของเด็กก่อนเรียน / เตรียมเด็กให้พร้อมก่อนเรียนครับ  ดังนั้นที่เคยพูดว่าเด็กที่ผ่าน ป.1 จะขึ้น ป.2 ได้นั้นต้องอ่านออก-เขียนได้ + บวก-ลบเลขง่ายๆเป็นนั้น  การที่จะให้เด็กทำได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้อย่างแท้จริง  เด็กที่ขึ้น ป.1  จะต้องมีฐานความรู้ที่เหมาะสม  อาจจะโดยยอมเสียเวลาทั้งชั้นเรียน 1 เดือน เพื่อปรับฐานให้เด็กพร้อมทั้งห้อง  หรือไม่เช่นนั้นครูชั้นอนุบาล 2 ก็จะต้องประเมินเด็กก่อนว่าเด็กพร้อมที่จะให้ขึ้นไปเรียนชั้น ป.1หรือยัง   หรือใช้ทั้ง 2 วิธี
ซึ่งการกระทำแบบข้างบน  น่าจะเบาภาระของครูชั้น ป.1 ในการสอนให้เด็กมีความรู้ตามเกณฑ์

     2.2  เสนอให้มีการลดหลักสูตรของชั้น ป.1 ลง  ให้เด็กได้ใช้เวลาในห้องเรียนลดลง  การให้ความรู้ด้านอื่นๆเช่น วิชาการงานอาชีพ,  วิทยาศาสตร์  ฯลฯ  ใช้วิธีสอนโดยเทคนิคต่างๆ  เช่นเสริมความรู้ด้านนั้นๆด้วยการละเล่น  เช่น  เล่นว่าว,  เล่นซื้อขายของให้มีการรับเงิน  รวมเงิน  ทอนเงิน   ส่วนวิชา อ่าน-เขียนไทย  และภาษาต่างประเทศ  ให้เน้นวิธีที่ใช้คนสอนมากกว่าสื่อ  ให้เด็กได้ฟัง – พูด – อ่าน – เขียน มากๆ   สอนโดยสื่อหนังสือหรือ sheet สำเร็จรูปให้น้อยที่สุด
2.3  ...................ผมขอเสนอวิธีประเมินเด็ก(สอบไล่ ป.1)สำหรับวาระ-รุ่นแรกๆ  ในแต่ละโรงเรียนโดยให้เป็นคณะกรรมการ (ไม่อยากให้เป็นการวินิจฉัยของครูประจำชั้นเพียงคนเดียว)  ประกอบด้วยหลายภาคส่วน  เพื่อวัดประเด็นหลักๆที่คิดว่าจำเป็นสำหรับเด็กที่จะเรียนต่อชั้น ป.2 ...--เหตุผลเพราะที่ผ่านมาการให้เด็กสอบได้กลายเป็นวัฒนธรรม  ผมเลยคิดว่าน่าจะมีกระบวนการมาเสริมเพื่อให้การประเมินเด็กแม่นตรงขึ้นครับ   (เสนอ + แก้ไขเมื่อ 10/05/2554)...........
2.4.................................
2.5  ....................................  
(ช่วยกันเติมเต็มนะครับ)
(ช่วงแรกจะเป็นแบบนี้ได้ไหมครับ  คือขอให้สมาชิกท่านที่เสนอตัว  ช่วยเขียนความเห็น  สมมติ คห. 30  แล้วนำเอาข้อเสนอต่างๆไปลงไว้   เมื่อมีท่านใดจะเสนอความเห็นในการปรับปรุงการศึกษา ก็หลังไมค์ไปหาเจ้าของ คห.30   แล้วเจ้าของ คห.30 ก็เข้าไปแก้ไข  เพิ่มข้อเสนอนั้นเข้าไปในหัวข้อลำดับถัดไป  เพื่อเป็นการรวบรวมข้อเสนอไว้ที่เดียว)


ถ้าทำแล้ว  ยังมีเด็กที่ไม่ผ่านเกณฑ์   ยังมีเด็กที่สอบตกอยู่ล่ะ  จะทำอย่างไร?? (แต่จำนวนเด็กที่มีความรู้ไม่ถึงเกณฑ์หลังจากที่ได้มีการแก้ไขน่าจะเหลือจำนวนน้อยมากเมื่อเทียบกับปัจจุบัน)
ผมว่าอย่างไรก็ต้องมีเด็กที่เรียนจนครบปีแล้วไม่ผ่านเกณฑ์  เพราะงานสร้างคนเป็นไปไม่ได้ว่าผลจะดีได้ครบ 100%  เช่นเด็กมาเรียนหนังสือไม่ถึง 1/2 ของเวลาที่ต้องมาเรียน  หรือ........ ฯลฯ  ถึงตอนนั้นก็จำต้องยอมให้เด็กเรียนซ้ำ  หรือจัดเด็กไปห้องเรียนสำหรับเด็กพิเศษlสำหรับเด็กที่ไม่ปกติ ตรงนี้เริ่มชัดเจนแล้วนะครับว่าเราไม่สามารถที่จะใช้ระบบเกรดได้กับเด็กชั้นประถม  เพราะเด็กยังเล็กเกินไปไม่พร้อมที่จะใช้ระบบนี้  และไทยเองก็ยังไม่มีศักยภาพพอที่จะเปิดให้มีการเรียนซ้ำวิชาได้สำหรับเด็กในชั้นประถม (ความจริงตั้งแต่ใช้ระบบเกรดมา  ชั้นมัธยมไทยก็ยังจัดการให้มีการเรียนซ้ำวิชาไม่ได้)  ตรงนี้ต้องมาชั่งน้ำหนักดูว่าระหว่างการให้เด็กเรียนซ้ำชั้น  กับการจัดการเปิดสอนวิชาที่เด็กสอบตก อย่างไหนจะสามารถทำได้ดีกว่า

ผมขอความกรุณา  ดังนี้ครับ
1.    ขอให้เสนอตัวออกมาช่วยกัน
2.    ขอแนวทางปฏิบัติที่คิดว่ากระทรวงควรจะทำ
3.    ขอแนวทางในการรวมกลุ่ม  เพื่อทำงานร่วมกันบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ท (ที่ผ่านมาผมขอให้ท่านที่สนใจจะช่วยกันให้ "หลังไมค์" มาที่ผม  ก็มีหลายๆท่านให้ความสนใจติดต่อมา  แต่ผมคิดว่ามันเป็นช่องทางที่แคบเกินไป  ไม่เปิดเผยเท่าที่ควรจึงอยากจะได้แนวทางรวมกันที่เหมาะสมกว่าวิธีเดิมครับ)

ทั้งนี้ผมขอที่จะเป็นสมาชิกในกลุ่มด้วย 1 คน  1  เสียง  ไม่ขอเป็นแกนนำใดๆทั้งสิ้น (ถึงขอก็ไม่มีใครให้เป็น  อิอิ)

===================  โชคดีจงมีแด่ท่านผู้ชมครับ ================

=======ผมขอยกความเป็นเจ้าของกระทู้นี้ให้เป็นของทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ =======


*****  ลืมไปครับ  กรุณาอย่ากดให้คะแนนผมนะครับ  ผมไม่ได้เอาไปใช้อะไรลย  เก็บไว้กดให้กำลังใจเพื่อนๆดีกว่าครับ *****

แก้ไขเมื่อ 26 พ.ค. 54 21:52:20

แก้ไขเมื่อ 24 พ.ค. 54 09:47:45

แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 54 16:58:12

แก้ไขเมื่อ 10 พ.ค. 54 12:01:55

แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 17:23:47

แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 17:22:05

แก้ไขเมื่อ 09 พ.ค. 54 17:06:23

จากคุณ : ครับผม
เขียนเมื่อ : 9 พ.ค. 54 16:59:23




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com