|
#8 คนจีนโบราณ เกลียดใคร ก็ร้องเพลงด่า ชอบใครก็แต่งเพลงเชียร์ เรื่องของสามฮ่องเต้นี้ มักเป็น"เรื่องเล่า" เสียมาก เพื่อทำลายก็มี หรือเพื่อให้เห็นว่ามีความใกล้ชิดชาวฮั่นก็มี เช่น คังซีตามหาพ่อ,ได้องค์หญิงหมิงเป็นชายา เฉียนหลง มีเชื้อฮั่น
"ต้านชิง กู้หมิง" บางท่านยังว่าพวกแมนจูสร้างกระแสกันเองด้วยซ้ำ เพราะหมิงปลุกไม่ขึ้นแล้ว และต้าชิงยุคแรก จนถึงหย่งเจิ้น ใส่ใจชาวฮั่นมาก เพราะศึกษาข้อผิดพลาดจากต้าหยวนเป็นอย่างดี และต้องการพัฒนาต้าชิงให้เป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ มีการปฏิรูปอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนคังซีปฏิรูปเป็นระบบที่ชาวฮั่นยอมรับได้สำเร็จ แบบแบ่งเค็กลงตัว
และส่งมอบภาระกิจไปยังหย่งเจิ้น ซึ่งเป็นตอใหญ่ ที่เชื่อกันว่ามีส่วนให้กลับสวรรค์ก่อนกำหนด ขนาดแต่งตั้งองครักษ์พิเศษยังเอาไม่อยู่เลย ไม่ใช่คนในทำ ก็มองไม่ออกว่าจะลอบเข้ามาในเทืองต้องห้ามได้ยังไง ฮ่องเต้นอนไหน หน้าตาเป็นอย่างไรไม่มีคนนำไม่มีทางหาเจอ
เรื่องที่ว่ากินยาเกินขนาด ถ้าไม่ทำเป็นขบวนการ ไม่มีทางสำเร็จ สารหนูไม่ใช่สารพิษถ้ารู้วิธี สตุพิษออกมาได้ แต่ฝรั่งไม่รู้วิธีก็กล่าวว่าเป็นสารพิษ
ยาลมห้าปราสาททองใส่สารหนูเป็นส่วนผสม ก็ไม่เป็นพิษ กินมาเป็นชั่วคนไม่ตาย แต่แผนฝรั่งไทยชักดิ้นชักงอ บังคับให้เอาออก จนเขาต้องปรับสูตรยาใหม่ อะไรที่แผนฝรั่งไม่รู้นี้ถึงถูกต้องเป็นผิด เพราะพวกเขาคิดว่าผิด แถมอยากได้สูตรยาโบราณฟรีด้วยแบบสำแดงทั้งหมด
ขอยกจากที่มีผู้รู้ตอบไปก่อนหน้ามาลงไว้ ณ ที่นี้
ข้อขัดแย้ง ชิงราชบัลลังค์ของหย่งเจิ้นฮ่องเต้ ในศึกสายเลือด
ผมมีความตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องหนังอิงประวัติศาสตร์จีนยุคราชวงศ์ชิงให้จบ แต่ก็ขาดช่วงไปนาน เนื่องจากไม่มีเวลานั่งหน้าคอมนานๆ ในการเรียบเรียงเรื่องราว ซึ้งต้องใช้เวลานานทีเดียว
ในช่วงที่ผมจะกล่าวถึงหลังจากยุคคังซี ก็เป็นยุคของหย่งเจิ้นฮ่องเต้ ที่มีหนังกล่าวถึงมากอีกช่วงหนึ่ง เนื่องจากมีเรื่องราวมากมายที่น่าสนใจ และขัดแย้งกันในช่วงนี้ ซึ่งขึ้นอยู่ว่า ผู้ประพันธ์จะหยิบยกเอาแง่มุมไหนของหย่งเจิ้นมาเขียน
โดยคร่าวๆ เรื่องราวของหย่งเจิ้นมักจะถูกสร้างออกมา ใน 2 แง่มุมคือ ในช่วงก่อนขึ้นครองราชย์ จะเป็นช่วงที่มีการแย่งชิงบัลลังก์กันระหว่างพี่น้อง ซึ่งในช่วงนี้ หนังที่พูดถึงที่เรารู้จักกันดี คือ ศึกสายเลือด
และเรื่องของการต่อต้านชิง กู้หมิง ซึ่งมีมาอย่างต่อเนื่องนับจากที่ชนกลุ่มน้อยชาวแมนจู ได้ขึ้นมาปกครองประเทศจีนที่ต่างเชื้อชาติออกไป
ในเอนทรีนี้ ผมจะขอกล่าวถึงในช่วงของการแย่งชิงราชบัลลังก์ก่อน ในเรื่องศึกสายเลือด ที่มองหย่งเจิ้นเป็นตัวร้าย ทั้งฆ่าพ่อ ฆ่าน้อง ปลอมราชโองการ แย่งบัลลังก์ และโหดเหี้ยม ล้วนมองไปในแง่ลบ เป็นบทประพันธ์อิงประวัติศาสตร์ของนักเขียนชื่อดัง โก้วเล้ง และแปลออกมาเป็นภาษาไทย โดย ว . ณ เมืองลุง
ในเรื่องศึกสายเลือด จะเป็นการแย่งชิงบัลลังก์กันระหว่าง องค์ชายสี่ อินเจิ้น หรือ หย่งเจิ้นฮ่องเต้ และ องค์ชาย 14 หยิ่งถี้ โดยมีองค์ชายอีหลายคนที่มาร่วมมีบทบาท
1. องค์ชายสี่ ต่อมาได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิ์หย่งเจิ้นเพราะฆ่าฮ่องเต้คังซีและปลอมแปลงราชองค์การเพื่อขึ้นเป็นฮ่องเต้ซะเอง 2. องค์ชายสิบสี่ ผู้ที่เป็นรัชทายาทตัวจริงตามราชองค์การที่ฮ่องเต้คังซีร่างไว้ 3.เหนียนเกิ้นเหย้า ผู้รับใช้ใกล้ชิดหย่งเจิ้น ช่วยตั้งแต่การขึ้นชิงบัลลังก์จนกระทั่งเป็นแม่ทัพปราบศึก แต่สุดท้ายก็ต้องตายด้วยน้ำมือของหย่งเจิ้น 4.หลงเค้อตัว พระปิตุลาผู้ช่วยหย่งเจิ้นปลอมแปลมราชองค์การของคังซี แต่ในที่สุดก็พบจุดจบไมต่างจากเหนียนเกินเหย้า และยังมีตัวละครอีกหลายตัวที่สร้างสีสรรให้กับตัวละครอีกเช่น หลีซื่อเหนียง,เจิงจิ้ง,ลามะแดง(ที่ใช้กรงจักรเด็ดหัวคน),ฯลฯ
โดยรวมจากทั้งสองภาคมีเรื่องราวที่ดำเนินไปในทางเดียวกันคือ 1. ตอนเป็นองค์ชาย หย่งเจิ้นถูกกดดันและกลั่นแกล้งจากพี่น้องที่เป็นองค์ชายเหมือนกัน รวมทั้งตัวหย่งเจิ้นเองก็รู้สึกว่าฮ่องเต้คังซีลำเอียงและไม่ชอบตัวหย่งเจิ้นด้วย 2. เมื่อฮ่องเต้คังซีสวรรคต หย่งเจิ้นก็ใช้อุบายร่วมกับหลงเค้อตัวในการปลอมแปลงราชองค์การให้ตนเองขึ้นเป็นฮ่องเต้ซะเอง 3. หลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้แล้ว หย่งเจิ้นก็ได้เริ่มไล่ชำระแค้นกับพี่น้องทุกคนที่ทำตัวเป็นปรปักษ์กับตนเอง และได้บีบบังคับจนแม่ของหย่งเจิ้นเองต้องผูกคอตาย(ในภาคสอง)
ในภาพรวมของเรื่องศึกสายเลือดนี่ หย่งเจิ้นช่างเป็นทรราชเสียยิ่งกะไร เป็นคนที่เหี้ยมโหดที่เค้นฆ่าผู้บริสุทธิ์,พ่อ-แม่-พี่-น้อง รวมไปถึงบุคคลที่คาดว่าจะเป็นเสี้ยนหนามต่อราชบัลลังก์ของหย่งเจิ้นเอง ซึ่งเรื่องศึกสายเลือดทั้งสองภาคเป็นละครที่สร้างจากฮ่องกง
ข้อขัดแย้งของนักประวัติศาสตร์
แต่ย้อนหลังมานักประวัติศาสตร์ ไม่เชื่อว่าจะมีการปลอมแปลงราชโองการได้ เนื่องจาก ภาษาจีนในยุคนั้น น่าจะมีการกำกับด้วยภาษาแมนจู ซึ่งปลอมแปลงได้ยาก
14 十四 → shísì ไปเป็น 4 于四 → yúsì หรือ 第四 → dìsì
แต่ถ้าจะว่ากันตามหลักฐานจริงๆก็ยากที่จะเชื่อ เพราะในสมัยชิงนั้นตัวอักษร 于 นั้น ใช้กันน้อยเหลือเกิน
คังซีเป็นฮ่องเต้ที่มีความสามารถ และครองราชย์อย่างยาวนาน มีโอรสหลายองค์ ทำให้ปลายรัชสมัย ก็มีความกังวลว่าบุตรจะแย่งชิงราชบัลลังก์กัน
ก่อนที่องค์คังซีจะสิ้นพระชนม์ ไดเรียกให้องค์ชายสี่ผู้ที่พระองค์หมายมั่นว่าจะให้ขึ้นเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไปขึ้นเฝ้า โดยได้สั่งเสียไว้ก่อนสิ้นพระชมน์ในสิ่งที่พระองค์ยังทรงเป็นห่วง คือ
1. ให้พี่น้องรักใคร่ ปรองดองกัน 2. ให้ดำเนินการปฎิรูปให้สำเร็จด้วย
การปฎิรูปในที่นี้คือ การสร้างระบบเก็บภาษีอากรแบบใหม่เนื่องจากในรัชสมัยของคังซี ท้องพระคลังมีเงินลดลงจนอยู่ในขั้นวิกฤต จนต้องมีราชองค์การให้องค์ชายสี่ (หย่งเจิ้น) เป็นคนจัดเก็บเงินกู้ที่ทั้งเชื้อพระวงศ์และข้าราชการที่กู้เงินจากท้องพระคลังไป
ในรัชสมัยของคังซีได้มีการตั้งแต่องค์รัชทายาทขึ้น ก็คือองค์ชายสอง ซึ่งต่อมาก็ถูกปลดเนื่องจากมีความประพฤติที่ไม่เหมาะสม และคังซีมีราชประสงค์ที่จะปกปิดชื่อขององค์ชายที่ทรงจะแต่ตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท เพื่อป้องกันความขัดแย้งระหว่างเหล่าองค์ชาย โดยราชองค์การแต่งตั้งฮ่องเต้องค์ใหม่นี้ถูกร่างไว้โดยมี หลงเค้อตัว ถูกเลือกไว้ให้เป็นผู้นำราชองค์การนี้ไปประกาศเมื่อองค์คังซีสวรรคต
ในสมัยกลางค่อนปลายของรัชกาลคังซี (ค.ศ. 1704) แม่น้ำฮวงโหเกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้น ประชาชนประสบกับความลำบากอย่างแสนสาหัส องค์คังซีจึงมีราชโองการให้องค์ชายสี่ และองค์ชายสิบสามเป็นผู้แทนพระองค์ ลงไปช่วยชาวใต้ผู้ซึงประสบกับวาตภัยครั้งนี้
แต่ปัญหาที่สำคัญก็คือท้องพระคลังในตอนนั้นแทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เนื่องจากถูกให้ยืมแก่มณฑลต่างๆ และเหล่าขุนนางหรือเชื้อพระวงศ์ องค์ชายสี่จึงได้รับหน้าที่ในการจัดท้วงหนี้เหล่านี้ให้คืนมาด้วย ซึ่งเป็นการกระทำที่แม้จะต้องขัดแย้งกับเหล่าผู้มีอิทธิพลในสมัยนั้น แต่ก็ดำเนินการด้วยความซื่อสัตย์และยุติธรรม ภายหลังจึงได้รับการเลื่อนขึ้นให้เป็นอ๋องหย่งเจิ้น
คังซีมองเห็นว่าราชสำนักมีเงินในท้องพระคลังไม่พอเพียง จะต้องทำการปฎิรูประบบการจัดเก็บรายได้ใหม่ แต่การปฏิรูปนี้มิได้เกิดขึ้นทันในสมัยคังซี หน้าที่นี้จึงได้ถูกมอบหมายให้หย่งเจิ้นเป็นผู้สานต่อ
เนื่องจากการในระบบการจัดเก็บภาษีของราชสำนักเดิมนั้นผู้เสียภาษีส่วนใหญ่คือ ราษฎรทั่วไป แต่เหล่าบัณฑิตและขุนนางนั้นไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งหย่งเจิ้นมองว่า ขุนนางควรจะเสียภาษีด้วย หย่งเจิ้น ไม่เป็นที่ชอบ พอใจของขุนนางในยุคนั้นมากนัก เนื่องจากการปกครองที่เข้มงวด ทำให้ขุนนางใส่ร้ายว่าปลอมแปลงราชโองการ
อีกข้อหนึ่ง ช่วงก่อนที่องค์คังซีจะสววรคตนั้นองค์ชายสิบสี่(หยิ่งถี้) ได้รับแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพควบคุมกองกำลังที่ภาคตะวันตกเฉียงเหนือ นักประวัติศาตร์บ้างท่านได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า การส่งองค์ชายสิบสี่ไปเป็นแม่ทัพในครั้งนี้เพื่อต้องการฝึกฝนองค์ชายสิบสี่เพื่อต่อไปจะได้ขี้นเป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป หรือในทางตรงกันข้าม เพื่อให้องค์ชายสี่(หย่งเจิ้น) ขึ้นครองบัลลังก์ได้อย่างสะดวก จึงส่งองค์ชายสิบสี่ไปเป็นแม่ทัพในที่ที่ห่างไกลจากปักกิ่ง http://www.oknation.net/blog/print.php?id=398892
สมัยหย่งเจิ้นครองราชย์ใหม่ๆ มีเงินคงคลังแค่ 5 ล้านตำลึง ก็การทำสงครามที่ซีเป่ยกับพวกมองโกล เหนียนเกินเหยา ซึ่งเป็นแม่ทัพใหญ่บอกว่าต้องใช้เงินถึง 10 ล้านตำลึง กองทัพสามแสนคน ถึงจะอยู่ได้
ฮ่องเต้หย่งเจิ้ง จึงปฏิวัติระบบการเก็บภาษีในอัตราก้าวหน้า ใครมีที่นามาก เสียมากมีน้อยเสียน้อย เร่งปราบขุนนางที่ฉ้อฉล เก็บหนี้หลวงมาคืนคลัง ไม่เว้นแม้แต่ผู้ที่เป็นตาของฮ่องเต้เอง จนกระทั่งได้ชัยชนะที่ซีเป่ย ราชวงศ์ชิงในสมัยนั้นจึงสงบสุข ว่ากันว่า ช่วงรอยต่อจักรพรรดิหย่งเจิ้งกับจักรพรรดิเฉียนหลง มีเงินในท้องพระคลังถึง 50 ล้านตำลึง http://www.thailandsusu.com/webboard/index.php?topic=40520.0
หย่งเจิ้นไม่ได้ชิงบัลลังค์ครับ ผมเคยถามคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์จีนที่ปักกิ่งแล้ว บอกเลยครับว่าคังซีแต่งตั้งหย่งเจิ้นแน่นอน เพราะว่าราชโองการของแมนจู (ราชวงศ์ชิง)นั้น จะเขียนเป็นภาษาแมนจูครับ ไม่ได้เขียนเป็นภาษาจีนฮั่น ตัวหนังสือสี่กับสิบสี่นี่คนละตัวกันครับ ในหนังเราจะ เห็นว่าแค่เติมขีดเดียวก็เป็นตัวสิบสี่ แต่อักษรแมนจูจะ เป็นอีกแบบหนึ่งครับ ใครเคยไปวังต้องห้ามก็จะเห็นป้าย ที่ติดอยู่ตามตำหนักต่าง ๆ จะเห็นครับ (อย่าว่าแต่ราชโองการเลยครับที่ต้องใช้ภาษาแมนจู แม้แต่หนังสือราชการธรรมดาก็ใช้ภาษาแมนจู)
เพราะฉะนั้นหย่งเจิ้นเป็นฮ่องเต้ที่ชอบธรรมครับ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2782233/K2782233.html
แก้ไขเมื่อ 13 พ.ค. 54 09:14:01
จากคุณ |
:
ต็กโกวคิ้วป้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
13 พ.ค. 54 09:10:48
|
|
|
|
|