Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
จังหวัดหนองคายกับสงครามอินโดจีน (๒) ติดต่อทีมงาน

เรื่องเล่าจากอดีต (๑๒)

จังหวัดหนองคายกับสงครามอินโดจีน (๒)

พ.สมานคุรุกรรม

ในระหว่างที่ พันตรี หลวงยุทธสารประสิทธิ์ เป็นข้าหลวงประจำจังหวัดหนองคาย ขณะเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนนั้น ท่านได้เล่าต่อไปว่า

ขณะนั้นข้าพเจ้ามีตำแหน่งเป็นข้าหลวงประจำจังหวัด (ปัจจุบันเรียกว่าผู้ว่าราชการจังหวัด) พิษณุโลก พอเกิดเอะอะทางชายแดนระหว่างไทยกับอินโดจีน ทางราชการก็มีคำสั่งย้ายข้าพเจ้าจากพิษณุโลก ไปเป็นข้าหลวงประจำจังหวัดหนองคายอันเป็นจังหวัดชายแดน ขณะนั้นทางกระทรวงกลาโหมยังมิได้บรรจุแม่ทัพนายกองคนสำคัญทางด้านนี้ ทางราชการจึงสั่งให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รักษาเมืองหนองคายไปก่อน ข้าพเจ้าไปอยู่ได้ ๓-๔ วัน ก็เกิดเรื่องทหารญวนฝรั่งเศสยิงนายจันทาคนไทย ความตึงเครียดก็เป็นเงาตามตัวขึ้นมาทันที

เรสิดังต์สุเปอริเยอร์แห่งแคว้นลาว ได้เชิญตัวข้าพเจ้าไปเวียงจันทน์และตัดพ้อว่า เรื่องคนขี้ยาคนเดียวถูกยิงตาย ท่านข้าหลวงหนองคายถือเอาเป็นเรื่องสำคัญ เกี่ยวแก่การเมืองระหว่างประเทศเชียวหรือ? ข้าพเจ้าตอบว่าลงขึ้นชื่อว่าชีวิตคนไทย ซึ่งข้าพเจ้ามีหน้าที่ปกครองอารักขาเขาแล้ว แม้หากเขาจะเป็นขี้ยาหรือ ต่ำช้าเพียงใด ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องสำคัญทั้งนั้น เพราะเป็นชีวิตเพื่อนร่วมชาติของข้าพเจ้า

เขาก็ต่อว่าเรื่องอื่นอีกต่อไปว่า ข้าหลวงหนองคายคนเก่านั้น เมื่อไม่กี่วันมานี้ผูกแพไม้ไผ่ซ่อนไว้ในลำห้วยใกล้เมืองหนองคาย มาก มีความประสงค์จะลำเลียงกำลังข้ามมาตีเวียงจันทน์หรือ? ข้าพเจ้าตอบเขาว่าผูกแพไว้เพื่องานแข่งเรือประจำปี ซึ่งเป็นประเพณีที่นี่ทำกันมาทุกปี ท่านไม่น่าจะคิดมากไปถึงอย่างนั้นเลย แพไม้เล็ก ๆ เพื่อลำเลียงพลข้ามไปตีเวียงจันทน์ ถ้าหากจะคิดอย่างนั้นจริง ลำเลียงทหารเพียงกองร้อยเดียวแพก็จม แลแสดงตัวให้ฝรั่งเศสยิงเล่นตามสบาย

ต่อมาอีกไม่กี่วัน ฝูงบินแห่งกองทัพอากาศของเรา ไปบินว่อนอยู่ในแนวกลางแม่น้ำโขง แลเกิดการยิงกันขึ้นกับทหารฝรั่งเศส ที่มาขุดสนามเพลาะอยู่ที่ท่าเดื่อตรงข้ามกับจวนข้าหลวงหนองคาย พอยิงกันด้วยปืนกลฝ่ายละไม่กี่ชุด เรสิดังต์สุเปอริเยอร์ (ผู้สำเร็จราชการแคว้นลาว) แล เรสิดังต์เวียงจันทน์ (ผู้ว่าราชการจังหวัดเวียงจันทน์) ก็เชิญข้าพเจ้าไปเวียงจันทน์อีก

ครั้นไปถึงทำเนียบผู้สำเร็จราชการแคว้นลาว ท่านผู้สำเร็จราชการแคว้นลาวก็สวมหน้ายักษ์ใส่ข้าพเจ้า โดยตั้งกระทู้ถามว่ากองทัพอากาศไทยดูหมิ่นฝรั่งเศส ถึงกับใช้เครื่องบินปักหัวลงยิงสนามเพลาะฝรั่งเศสที่บ้านเดื่อดังนี้ หมายความว่ากระไร? พูดพลางก็หยิบหัวกระสุนปืนกลของไทยมาแบให้ดู แล้วถามข้าพเจ้าว่าใช่หรือไม่ ข้าพเจ้ายิ้มแล้วตอบว่าใช่ ไม่ปฏิเสธ แต่ท่านผู้สำเร็จราชการอยู่ไกลที่เกิดเหตุถึง ๒๒ กิโลเมตร ส่วนที่เกิดเหตุจริง ๆ อยู่หน้าจวนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้เห็นด้วยตาตนเองว่าฝูงเครื่องบินของเรา บินอยู่ตามแนวแม่น้ำโขงในเขตของเรา แต่ ป.ต.อ.จากสนามเพลาะของท่าน ได้ยิงเครื่องบินก่อนนักบินของข้าพเจ้าก็จำต้องป้องกันตนเองยิงเอาบ้าง ท่านจะมาโทษไทยฝ่ายเดียวกระไรได้ ตกลงว่าการโต้ถียงกันในขณะนั้น บรรยากาศทรามมาก ข้าพเจ้าจึงชิงลากลับ

เมื่อเกิดการรบราฆ่าฟันกันขึ้น ข้าพเจ้าก็เป็นทั้งเจ้าเมืองแลผู้บังคับการกองผสมของทหาร ซึ่งอยู่ที่เมืองหนองคายในขณะนั้น เพราะผู้บังคับการหรือผู้บังคับกองพันตัวจริง ยังไม่มีตัวส่งไป ก็ต้องใช้ข้าหลวงประจำจังหวัด ซึ่งเป็นทหารทั้งแท่งทำการไปพลางก่อน

วันหนึ่งที่จะมีการรบใหญ่ ข้าพเจ้าวางโทรศัพท์สนามไปยังบ้านเวียงคุก จวนถึงบ้าน ศรีเชียงใหม่ตรงข้ามเมืองเวียงจันทน์ ก็ได้รับโทรศัพท์ว่าฝรั่งเศสกำลังขนทหารลงเรือรบ รูปร่างคล้ายเรือพระร่วงของเรา มีเสาสามเสา คงจะออกเรือในเร็ว ๆ นี้ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าป้องกันแลเตรียมการไว้ก่อนดีกว่าประมาท จึงสั่งทหารทั้ง ๙ กองร้อยทั้ง ป.ต.อ.แลยุวชน ๒ กองร้อย รวมกำลังทั้งสิ้นเป็น ๑๑ กองร้อย กำหนดจุดกำหนดการให้ขุดสนามเพลาะรอรับเหตุการณ์ ห่างจากขอบตลิ่งแม่น้ำโขง ๑ เมตร เพราะถ้าชิดตลิ่งนักเกรงจะถูกกระสุนปืนจากเรือซึ่งอยู่ต่ำกว่าตลิ่งมาก ได้ขุดสนามเพลาะเป็นแนวไปตามรูปแม่น้ำ คล้ายพระจันทร์ครึ่งซีก แลออกคำสั่งห้ามเด็ดขาดมิให้กรมกองใด ทำการยิงโดยมิได้รับคำสั่งจากข้าพเจ้า

ครั้นเมื่อเรือรบฝรั่งเศสแล่นมาถึงกึ่งกลางวงพระจันทร์ แห่งแนวสนามเพลาะ ก็เกิดยิงกันขึ้น ฝ่ายใดจะยิงก่อนยิงหลังเอาไว้เป็นหน้าที่พระเจ้าจะชี้แจง ข้าพเจ้าเห็นว่ายังไม่ควรนำมากล่าว เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ ลงมือยิงนำ บรรดาทหารอีกสิบกองร้อยก็ยิงกันใหญ่ ช่างน่ารักน้ำใจคนไทยภาคอีสานเสียนี่กระไร มีปืนแก๊ปก็มายืนยิง มีปืนพกก็มายิง กระสุนตกน้ำป๋อมแป๋ม ห่างจากเรือข้าศึกมากมาย ปฏิกิริยาคล้าย ๆ กับยิงเพื่อให้หายแค้น ถึงไม่ถึงช่างหัวมัน

ขณะนั้นทางฝ่ายฝรั่งเศสในเรือก็ระดมยิงปืนกลขึ้นมาดังห่าฝน ทหารฝั่งท่าเดื่อก็ช่วยเรือรบเขาระดมยิงเรา ข้าพเจ้ามีกอไม้ไผ่แห้ง ๆ กองหนึ่งอยู่ข้างหน้า ใช้กล้องส่องทางไกลตรวจผลการยิงของเรา เห็นกระสุนถูกข้างเรือรบ หล่นน้ำป๋อมแป๋มยิงไม่เข้าเพราะเป็นเรือหุ้มเกราะ ปืนกลหนักก็ไม่สามารถจะยิงทะลุได้ ข้าพเจ้าจึงสั่ง ป.ต.อ.ซึ่งมีอยู่ ๑ กองร้อยให้ใช้กระสุนเจาะเกราะยิงตามแนวระดับน้ำ ป.ต.อ.ลั่นตูม ๆ ไม่กี่นัด ส่องกล้องเห็นเป็นรูน้ำไหลเข้าเรือ ในเรือเกิดอลหม่าน ข้าพเจ้าสั่งให้ยิงสะพานเรือ ถูกคนถือท้ายเซไป มีนายทหารผู้ใหญ่เข้าถือท้ายแทน แต่เรือรบลำนั้นเกิดแล่นไม่ได้แนวขนานกับฝั่งเสียแล้ว ท้ายเรือซึ่งไม่มีเกราะหันมาทางเมืองหนองคาย ข้าพเจ้าจึงสั่งผู้บังคับกองปืนกลหนัก เล็งท้ายเรือ ทุกกระบอกจึงกวาดไปจนตลอดลำ วาระสุดท้ายก็มาถึงเรือรบลำนั้น ทำให้ต้องเกยหัวเรือเข้าหาตลิ่งใกล้บ้านท่าเดื่อ

ครั้นเวลาราวเกือบ ๑๘.๐๐ น. ข้าพเจ้าได้รับวิทยุทางกรุงเทพ ฯ ความว่าอัครราชทูตฝรั่งเศสฟ้องว่า ท่านยิงเรือเมล์ของฝรั่งเศสผู้คนล้มตายทั้งลำ เหตุใดท่านจึงประพฤติอย่างนี้ แหละท่านจะแก้ตัวว่าอย่างไร? ลงนาม ป.พิบูลสงคราม

ขณะนั้นข้าพเจ้ายังประจำอยู่ในแนวรบ จึงเขียนตอบให้เขาส่งวิทยุว่า เรือรบ ฝรั่งเศส ๓ เสา ลักษณะอย่างเรือพระร่วง หุ้มเกราะมาลอยลำยิงเมืองหนองคายก่อน ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งให้เป็นผู้รักษาเมืองหนองคายจึงสั่งยิงต่อสู้ หากจะเกิดความผิดใด ๆ ขอให้ลงโทษข้าพเจ้าผู้สั่งแต่ผู้เดียว คนอื่นไม่มีความผิด เขาปฏิบัติตามคำสั่งข้าพเจ้า

ขณะนั้นข้าพเจ้าใจเต้นตึก ๆ เพราะมิทราบว่า ทางผู้บัญชาการทหารสูงสุดท่านจะว่ากระไร จะถูกยิงเป้าหรือไม่ แต่ต่อมาก็ได้รับตอบทางวิทยุว่าให้ยิงให้หมด ข้าพเจ้าเลยคลายอาการปวดท้องปวดสมอง
พันเอก แสง จุละจาริตต์ อดีตผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย ได้เขียนไว้ว่า สิ่งที่ผมซาบซึ้งน้ำใจของกระทรวงกลาโหม ต่อผลงานของ พันเอก หลวงยุทธสารประสิทธิ์ ก็คือ โดยปกตินายทหารได้รับพระราชทานตำแหน่ง เลื่อนยศ เลื่อนชั้น ก็เป็นผลจากการปฏิบัติหน้าที่ที่ตนรับผิดชอบ ในระหว่างที่ตนอยู่ในประจำการ แต่นายทหารนอกกอง นายทหารกองหนุน นายทหารพ้นราชการ จะไม่ได้ถูกพิจารณาเลื่อนยศ เลื่อนชั้นแต่ประการใด

คุณหลวงยุทธสารประสิทธิ์ ได้รับพระราชทานยศจากพันตรีเป็น พันโท เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๔ ภายหลังที่เป็นข้าราชการบำนาญมาแล้ว ๑๐ ปี

หลังจากนั้นอีก ๑๐ ปี ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้เป็น ราองครักษ์พิเศษ รับราชการสนองพระเดชพระคุณเมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๔ ต่อมาก็ได้รับพระราชทานยศจากพันโทเป็นพันเอก เมื่อ ๙ กันยายน ๒๕๑๕

พันเอก หลวงยุทธสารประสิทธิ์ ไม่ได้มีตำแหน่งขนาดแม่ทัพนายกองใด ๆ เลย ในระหว่าง รับราชการประจำการนั้น แต่ได้ทำงานในหน้าที่ ที่ท่านรับผิดชอบอย่างเสี่ยงอันตรายถึงชีวิต ผลงานที่ได้ประกอบในชีวิตบำนาญ และในชีวิตนายกสมาคมสหายสงครามโลกครั้งที่ ๑ เป็นงานที่ยากกว่าหลายเท่า เพราะเป็นตำแหน่งงานซึ่งไม่มีอำนาจที่หน่วยราชการใด หรือประชาชน จะต้องเกรงใจ เป็นงานที่ต้องไปกราบไหว้ขอความช่วยเหลือตลอดเวลา เป็นงานที่เสียสละกำลังร่างกายกำลังปัญญา กำลังทรัพย์ส่วนตัวอย่างจริงจัง และได้อดทนปฏิบัติมาตลอดเวลา ๓๒ ปี.....

ท่านได้กล่าวไว้เป็นครั้งสุดท้าย เมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ ว่า

............................ทหารอาสาทั้งหลายมีอยู่ ๑,๒๘๔ คน บัดนี้ล้มหายตายจากไป จนขณะนี้มีเหลืออยู่เพียง ๑๓๒ คนเท่านั้น ซึ่งที่อยู่ก็ล้วนแต่จะไปไหนทีก็ต้องมีคนพยุงซ้ายพยุงขวา มิฉะนั้นก็จะหกล้ม พวกข้าพเจ้าจะอยู่ให้ท่านดูหน้าทหารอาสาอีกได้ไม่เกิน ๑๐ ปีก็ตายหมดแล้ว.............

พันเอก หลวงยุทธสารประสิทธิ์ ได้ถึงแก่อนิจกรรม เมื่อ ๘ พฤษภาคม ๒๕๒๖ สิริอายุได้ ๙๑ ปี เศษ และทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ คนสุดท้าย คือ ร้อยตรี ยอด สังข์รุ่งเรือง ก็ได้ถึงแก่กรรมเมื่อ ๙ ตุลาคม ๒๕๔๖ นี้เอง สิริอายุได้ ๑๐๔ ปี

สมาคมสหายสงคราม และทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ จึงเหลืออยู่แต่เพียง วงเวียน ๒๒ กรกฎา และอนุสาวรีย์ทหารอาสา ที่มุมสนามหลวง กับในหน้าประวัติศาสตร์ ของ ชาติไทย เท่านั้น.

#########

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 13 พ.ค. 54 06:44:05




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com