Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
เสียงคนวงนอก : โซมาเลีย ริโอฯ และประเทศไทย การศึกษาและครอบครัว ติดต่อทีมงาน

เสียงคนวงนอก : โซมาเลีย ริโอฯ และประเทศไทย การศึกษาและครอบครัว

โดย : TonyMao_NK51
E – Mail : tonymao_nk51  hotmail.com


“ รู้ไหม ตอนที่คนสเปนเข้ามายังแผ่นดินของเรา คนที่นี่ได้ไล่ฆ่าพวกสเปนไปจนหมด เพราะอะไรรู้ไหม? เพราะคนสเปนนั้นใช้กำลังอำนาจปกครองคนที่นี่ แต่ผมชอบวิธีของโปรตุเกสมากกว่า คนโปรตุเกสทำในสิ่งที่แตกต่าง เขาให้กระจก เสื้อผ้า และของใช้อื่นๆ ที่ชาวพื้นเมืองจัดหาเองไม่ได้ ชาวพื้นเมืองจึงยอมรับในอำนาจไปโดยปริยาย ผมก็เช่นกัน ที่นี่เราให้น้ำ ไฟฟ้า และที่นั่งในห้องเรียนของลูกหลานพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงยอมที่จะขาย ”

( คำพูดตอนที่เรย์แอส นักธุรกิจและเจ้าพ่อผู้ฉ้อฉลในนครริโอ เดอ จาเนโรของบราซิลกำลังอธิบายให้ผู้ร่วมธุรกิจของเขาฟังในภาพยนตร์เรื่อง Fast & Furious 5 )

ช่วงนี้บนสังคมออนไลน์กำลังมีประเด็นที่น่าสนใจสองเรื่อง เรื่องแรกคือการพูดถึงพวกที่มาอาศัยในที่ดินของคนอื่นเป็นเวลานานๆ จนสามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น มีคนบางพวกพยายามบอกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้คนนั้นหน้าด้านมากขึ้น กับอีกเรื่องหนึ่งคือปัญหาระบบการศึกษาไทย ที่ทุกวันนี้ดูเหมือนจะพยายามยัดความเป็นวิชาการมากขึ้น แต่ผลที่ได้กลับเป็นตรงกันข้าม นอกจากวิชาการชั้นสูงจะไม่ได้แล้ว ความรู้พื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนควรทำได้อย่างอ่านออก เขียนได้ คิดเลขง่ายๆ เป็นก็กลับตกต่ำลงเสียอีก จากที่หลายๆ คนได้สังเกตว่านับวันจำนวนเด็กที่ผ่านมาเรียนชั้นสูงๆ แต่อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับยุคสมัยที่เพียบพร้อมไปด้วยเทคโนโลยีที่ทำให้การศึกษาน่าจะเป็นเรื่องง่ายแสนง่ายกว่าแต่ก่อน

เดี๋ยวจะงงกับหัวข้อบทความของผมวันนี้นะครับ โซมาเลีย ริโอฯ และประเทศไทยเกี่ยวข้องกันอย่างไร ก่อนอื่นต้องขออธิบายสั้นๆ กันก่อน ผมเชื่อว่าหลายๆ ท่านคงจะคุ้นหูกับประเทศโซมาเลีย “ ดินแดนแห่งโจร ” กันมากขึ้นเพราะคนที่นี่นิยมเป็นโจรสลัด ปล้นเอามันได้เงินเยอะกว่า ไม่ปล้นสิจะอดตายเอา ขณะที่ริโอ เดอ จาเนโร เมืองที่มีชื่อเสียงที่สุดของบราซิล ภาพที่เราพบเห็นจากหนังฮอลลีวู้ดก็ดี จากคำบอกเล่าของคนที่สนใจอเมริกาใต้ก็ดี เรื่องของมิจฉาชีพ ชุมชนแออัดและยาเสพติดคือเรื่องปกติของที่นี่ ( ไม่ใช่แค่บราซิล แต่หมายความรวมถึงอเมริกากลางและใต้ทั้งทวีป ไล่ตั้งแต่เม็กซิโกลงมา ) ขณะที่ประเทศไทยเรา เชื่อว่าไม่ต้องอธิบายกันมาก ดูผิวเผินสังคมเราดีกว่าเขา เราไม่ต้องถือปืนตั้งกองกำลังปล้นฆ่ากันแบบเขา แต่เนื้อในแล้ว เราอาจจะไม่ได้แตกต่างจากเขาเลยก็ได้

นักปฏิรูปการศึกษาบนโลกออนไลน์หลายๆ ท่านได้ตั้งคำถามย้อนกลับไปยัง “ ครอบครัว ” หน่วยย่อยที่เล็กที่สุดของสังคม แต่สำคัญที่สุดในแง่ของการสร้างชาติและสร้างบุคคลที่มีคุณภาพ พวกเขาได้ยกตัวอย่างครอบครัวสมัยก่อนที่ไม่ต้องเร่งรีบกันทำงาน และวัตถุที่ให้วิ่งไล่ตามไขว่คว้าก็มีไม่มากนัก ทำให้พ่อแม่ ญาติพี่น้องมีเวลาว่างร่วมกัน พ่อแม่บางคนยังพอหาเวลาสอนการบ้าน อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เล่นเป็นเพื่อนลูก แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป วัตถุมีให้ตามไขว่คว้ามากขึ้น พ่อแม่ก็ต้องทำงานหนักขึ้น เมื่อประกอบกับการอพยพย้ายถิ่นแล้ว ความห่างเหินก็ยิ่งมีมากขึ้นเช่นกัน

ในโลกของทุนนิยม ประเทศกำลังพัฒนามักจะเสียเปรียบทั้งขึ้นทั้งล่อง เพราะถ้านโยบายรัฐจะดองให้เป็นเพียงประเทศผู้รับเทคโนโลยีอย่างเดียว คุณภาพชีวิตของประชาชนก็จะไม่ดีขึ้นเพราะเป็นได้แค่แรงงานราคาถูก แต่หากรัฐคิดจะปฏิรูปประเทศขนานใหญ่ ผลคือนักลงทุนก็จะไม่ยอมมาลงทุนในประเทศ เพราะไปหาฐานแรงงานราคาถูกดีกว่า หากท่านนึกภาพไม่ออก ก็ให้ดูตามโรงงานที่ทุกวันนี้ต่างด้าวเข้ามาทำงานมากมาย เพราะระดับการศึกษาของคนไทยดีขึ้น ( ขั้นต่ำคือ ม.3 ) รวมไปถึงทักษะอื่นๆ เช่นบางคนอาจจะทำงานช่างได้แต่ไม่มีวุฒิ บางคนขับรถเป็น ก็ทำให้สามารถเรียกค่าแรงได้สูงขึ้นอีก ไหนจะความรู้เรื่องกฎหมายแรงงาน การจัดตั้งสหภาพแรงงานที่เข้มแข็งทำให้ต่อรองกับนายจ้างได้ สิ่งเหล่านี้คนเป็นนายทุนทั้งหลายไม่ชอบ เพราะตัวเองต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ท้ายที่สุดหากเป็นนายทุนในประเทศ ก็จะหันไปจ้างแรงงานต่างด้าวเพื่อกดค่าแรงได้ ( แรงงานถูกกฎหมายมีระดับหลักแสนคน แต่ก็มีการคาดการณ์ว่าหากรวมแบบผิดกฎหมายไปด้วยแล้วจะมีนับล้านคน ) ขณะที่ถ้าเป็นนายทุนข้ามชาติ ก็จะย้ายไปลงทุนในต่างประเทศที่ค่าแรงถูกกว่าแทน เช่นจีนหรือเวียดนามที่ค่าแรงต่อหัวน้อยกว่าไทย และทำงานต่อวันมากกว่าไทย ที่สำคัญประเทศเหล่านี้ไม่ยอมให้มีการชุมนุมเป็นเรื่องเป็นราว ( คอมมิวนิสต์แท้ๆ แต่กลับไม่ยอมให้แรงงานมีการต่อรองกับนายทุน? )

หรือถ้าจะเลวร้ายกว่านั้นอีก คือการออกไปล่าอาณานิคมทางเศรษฐกิจ ทุกวันนี้อเมริกันเอย ยุโรปเอย ญี่ปุ่นเอยที่อยู่ดีกินดี เพราะมีฐานรองรับการระบายสินค้า และสามารถดูดเงินทุนต่างประเทศไปบำรุงประเทศตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ขณะที่จีนนั้นใช้วิธีขายตัดราคา นักวิเคราะห์กลยุทธ์บางคนบอกว่าจีนนั้นรู้ดีว่าคนในประเทศกำลังพัฒนานั้นเห่อของหรูๆ เห่อเทคโนโลยีอินเทรนด์ แต่ก็อยากได้ของถูกจนเหมือนได้เปล่า จึงผลิตสินค้าไฮเทคแต่ราคาถูก ( คุณภาพช่างมัน ) เข้ามาขาย และคนในประเทศกำลังพัฒนาเหล่านั้นก็ยินดีที่จะซื้อ อย่างน้อยๆ ก็อวดคนอื่นได้ละนะว่าเราไม่ตกยุค ยิ่งถ้าร่วมกับพวกนายทุน ข้าราชการ นักการเมืองท้องถิ่นฉ้อฉลได้ละก็ จะชาติไหนๆ ไม่ว่าตะวันออกหรือตะวันตก ก็สามารถระบายสินค้ากับประเทศกำลังพัฒนาเหล่านี้ได้ไม่ยาก ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “ ค่าคอมมิชชั่น ”

ย้ำว่าผมไม่ได้โจมตีจีนเพียงประเทศเดียว ผมหมายถึงการกดขี่ของประเทศพัฒนาแล้วทั้งหลายไม่ว่าจากตะวันตกหรือตะวันออกด้วยกันที่กระทำต่อประเทศกำลังพัฒนา ถามว่าประชาชนได้อะไร? ไม่ได้หรอกครับ ได้แต่การถูกบีบบังคับให้ต้องทำในสิ่งที่ผิด เพราะไม่มีทางเลือก ในประเทศโซมาเลีย มีคนตั้งข้อสังเกตว่าหากชาติที่พัฒนาแล้วมีใจเป็นธรรมจริง การเข้าไปยุติความขัดแย้งของกลุ่มต่างๆ ในโซมาเลียไม่ใช่เรื่องยาก แต่เพราะ “ ชาติเหล่านี้ต้องการขายอาวุธ และโซมาเลียไม่มีน้ำมันมหาศาล ” ทำให้ไม่มีใครเข้าไปจัดการอะไร น่านน้ำแถวนั้นแทนที่จะเป็นของคนพื้นที่ กลับกลายเป็นของชนต่างชาติมาทำประมง แล้วพอนานๆ ไป ประชาชนก็ชินชากับการปล้น ถ้ารอดก็แล้วไป ถ้าไม่รอดก็ถูกยิงทิ้งหรือถูกจับ ขณะที่อเมริกากลางและใต้ ยาเสพติดและการค้าอาวุธเป็นเรื่องปกติ เพราะรายได้สูงกว่าทำงานสุจริตทั่วไป และที่ต้องอยู่กันแบบชุมชนแออัด เพราะที่ดินส่วนใหญ่เป็นของนายทุนทั้งในประเทศและนายทุนข้ามชาติ

หันกลับมาดูบ้านเรา เราต่างจากพวกเขาตรงไหน? นายทุนทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ ข้าราชการใหญ่ๆ นักการเมือง มีที่ดินมหาศาลในต่างจังหวัด บางคนก็ยังไม่หยุด ยังบุกรุกกระทั่งพื้นที่ป่าสงวน ( พวกนี้บุกรุกได้ แต่ชาวบ้านทำบ้างโดนจับทันที ) ขณะที่สังคมไทยต้องการเปลี่ยนเป็นสังคมอุตสาหกรรมซึ่งใครจะว่าอย่างไร มันก็ต้องเปลี่ยนไปแน่ๆ ( เพราะทุกวันนี้เด็กรุ่นใหม่ๆ ไม่ทำนาแล้ว เลือกเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมเป็นหนุ่มสาวโรงงานกันแทบทั้งนั้นเพราะได้ค่าตอบแทนแน่นอนกว่า ) แต่รัฐบาลก็ไม่สร้างแรงจูงใจให้มีการ “ บุกเบิก ” แหล่งทุนในพื้นที่ต่างๆ ด้วยเหตุนี้ค่าแรงใน จว. อื่นๆ ที่ไม่ใช่ กทม. ปริมณฑลหรือเมืองท่องเที่ยวจึงถูก และเมื่อถูก มันก็ไม่มีใครอยากทำ ท้ายที่สุดก็ต้องเข้ามาแออัดใน กทม. และเมืองท่องเที่ยวต่างๆ แบบที่เราเห็นกันชินตา ประชาชนรอกันมาไม่รู้กี่รัฐบาล แต่ไม่มีใครกล้าผลักดันนโยบาย “ ภาษีอัตราก้าวหน้า , ภาษีที่ดิน , ภาษีมรดก ” ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมเพราะกลัวว่านักลงทุนจะหนีไปลงทุนที่อื่นกันหมด แสดงว่าชนชั้นนำทั้งหลายนั้นฮั้วกันเพื่อกดประชาชนตาดำๆ อย่างเราๆ ท่านๆ ให้เป็นแค่ “ เครื่องจักรพูดได้ ” .ใช่หรือไม่?

ก็แล้วเมื่อสภาพสังคมมันเป็นเช่นนี้ จะทำให้อะไรๆ มันดีขึ้นได้อย่างไร ท่านนักการศึกษาทั้งหลายลองไปประกาศหลักการเชิญชวนให้พ่อแม่อยู่กับลูกมากขึ้นสิครับ รับรองท่านโดนด่ากลับมาแน่นอน “ ก็ไม่มีเวลา ต้องทำงานหาเงิน อะไรๆ มันก็แพง ” ซึ่งก็เป็นจริงตามที่เขากล่าวนั่นละครับ มันจะไม่แพงได้ไง? เพราะอุตสาหกรรมมีจำกัด จำนวนคนก็มากกว่าจำนวนงาน ครั้นจะกลับไปทำนาทำสวน ที่ดินก็แพง และตกอยู่ในมือคนส่วนน้อยอีก ดังนั้นเลิกคิดได้เลย เราทำตัวของเราเองทั้งนั้น เราปล่อยให้ชนชั้นนำไม่ว่ากลุ่มไหนฮั้วกัน ไม่กล้าผลักดันภาษีทั้ง 3 ประเภทออกมา รวมไปถึงไม่กล้าให้มีการกระจายอำนาจ ทำไมน่ะหรือ? คนที่มีโอกาสไปเมืองนอกมันน้อย ดังนั้นไม่น่ากลัว แต่ถ้าปล่อยให้มีการกระจายอำนาจ ท้องถิ่นต่างๆ ก็จะแข่งกันพัฒนา ภาพความแตกต่างก็จะเห็นได้ชัดเจน ผลคือเสียงประชาชนในรูปของประชาคมก็จะดังขึ้นจนกดดันชนชั้นนำทั้งในท้องถิ่นและในระดับชาติได้ ท้ายที่สุดภูมิภาคต่างๆ ก็จะพัฒนาได้เอง คนก็จะไม่ต้องจากบ้านมาไกลถึงเมืองหลวง หรือจากใต้ไปเหนือ เหนือไปใต้แบบที่เป็นอยู่ เมื่อนั้นความสัมพันธ์ในครอบครัวก็จะกลับมาเอง


คนส่วนใหญ่ไม่มีใครอยากเป็น Robinhood ที่เป็นศัพท์ Slang ของพวกฝรั่ง หมายถึงคนที่ทำประกอบอาชีพสีเทาบางประเภท ที่ว่าสีเทาคือไม่ผิดศีลธรรมแต่ผิดกฎหมาย เช่นคนหลบหนีเข้าเมืองมาขายแรงงาน มาทำธุรกิจค้าขายเล็กๆ น้อยๆ หรือพวกหาบเร่ แผงลอย รวมไปถึงคนที่เข้ามาอาศัยในที่ของคนอื่นที่ปล่อยทิ้งร้างเป็นเวลานานๆ จนเป็นชุมชนย่อมๆ ( แล้วอ้างสิทธิ์ในการครอบครองปรปักษ์ หากอยู่รอดได้จนครบ 10 ปี ) สิ่งเหล่านี้ผิดกฎหมายทั้งสิ้น แต่หากเจตนารมณ์ของกฎหมายเป็นไปเพื่อผดุงความเป็นธรรมแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่น่าจะทำอะไรที่เป็นการผิดคุณธรรมเลยด้วยซ้ำไป ทั้งนี้เพราะพวกนายทุนได้เข้าครอบครองที่ดิน ฮั้วกันในระดับชนชั้นนำไว้ทั้งหมดขณะที่ประชาชนส่วนใหญ่แม้บ้านเล็กๆ สักหลังกว่าจะได้มาก็เลือดตาแทบกระเด็น เมื่อคนถูกกดขี่เข้าตาจน พวกเขาย่อมมีสิทธิ์ต่อสู้ เพราะไม่ว่าชนชั้นไหน ก็เป็นมนุษย์เหมือนกันทั้งสิ้นไม่ใช่หรือ? ถ้าศีลธรรม คุณธรรมนั้นมีจุดประสงค์ให้คนมีเมตตาต่อกัน และกฎหมายต้องการผดุงไว้ซึ่งหลักการดังกล่าว การเข้าครอบครองปรปักษ์ก็ดี การที่ผู้ให้เช่าไม่สามารถขับไล่ผู้เช่าได้ด้วยตัวเองก็ดี ( ต้องไปร้องขอต่อศาลให้บังคับคดีหรือเป็นตัวกลางในการเจรจาประนีประนอม ) ล้วนเป็นไปเพื่อให้คนที่มีอำนาจมาก ลดความทะยานอยากทั้งสิ้น แล้วมันจะผิดอะไร? หรือต้องทำแบบรัสเซีย วันที่ประชาชนรากหญ้าลุกฮือกันลากคนรวยออกมาฆ่าทิ้งกลางเมืองเพราะโกรธแค้นที่พวกตนอดอยากมาตลอด จะเอาแบบนั้นหรือ?

ฝากไว้นะครับ ปัญหาการศึกษามันก็เชื่อมต่ออย่างแยกไม่ออกจากความเหลื่อมล้ำในสังคม ทุกวันนี้แม้เราจะเลิกทาสในทางนิตินัยมานานแล้ว แต่เรากลับเป็นทาสในทางพฤตินัยมากขึ้น ความเหินห่างในครอบครัวทำให้เด็กทุกวันนี้ต้องฝากไว้กับโรงเรียน ( ซึ่งเป็นภาระที่หนักเกินไปถ้าครอบครัวไม่ช่วยแบ่งเบา ) แถมกระทรวงยังให้ครูเขียนๆโครงการสารพัด แล้วจะเอาเวลาที่ไหนไปสอนหนังสือ? ท้ายที่สุด มันก็กลับเข้าวงจรเดิม คือแข่งกันเอาเป็นเอาตาย ผู้แพ้ก็หันไปหากลุ่มใต้ดินของตน ( เด็กแวนซ์ เด็กติดเกม ฯลฯ ) เป็นโลกคู่ขนานให้ผู้ชนะ ( ในสังคมหลัก เช่นผู้จบ ม.ดังๆ ) ดูถุกเหยียดหยามต่อไป ขณะที่ชนชั้นนำก็กินรวบตามเดิม เพราะเราถูกแบ่งให้แข่งขันกันในทางทำลาย มากกว่าสร้างสรรค์ เราถูกทำให้จับผิดซึ่งกันและกัน เพื่อให้ทำงานให้กับชนชั้นนำ ภาพที่เห็นง่ายๆ คือชนชั้นนำใช้พวกผู้ชนะในสังคมกระแสหลักทำงานบนดิน ( เป็นทนายความ เป็นนักบริหาร เป็นกระบอกเสียง ฯลฯ โดยให้เงินและการยอมรับจากบนดิน ) และใช้พวกผู้แพ้ในสังคมกระแสหลักทำงานใต้ดิน ( หัวคะแนน การ์ด มือปืน นักเลงอันธพาล ฯลฯ โดยได้รับเงินและการยอมรับจากคนใต้ดินเช่นกัน ) โดยทั้งสองกลุ่มจะมีเส้นแบ่งด้วย “ อคติระหว่างกัน ” อย่างที่ยากจะลบหรือทำให้เบาบางลงไปได้

แล้วพบกันใหม่ครับ

………………………………….

จากคุณ : TonyMao_NK51
เขียนเมื่อ : 14 พ.ค. 54 14:49:20




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com