ความคิดเห็นที่ 1 พัฒนาทักษะที่ใช้ทำงานแบบ self employment หรือ freelance ได้ รับรองไม่ตกงาน เช่นมีฝีมือตัดหนังเป็นเข็มขัดหรือทำเครื่องประดับวางขายข้างทางวันหนึ่งได้หลายพันบาท เพื่อนเราจบ mba จากอเมริกามาก้อขายหมูหยองกับหมูแผ่นเพราะไปทำงานรับเงินเดือนแล้วได้เงินน้อย เพื่อนอีกคนจบ aeronautical engineering จากอังกฤษเผอิญเล่นดนตรีเก่งก้อตั้งวงดนตรีกับพวกเพื่อนๆเพราะไปสมัครงานช่างเครื่องบินกับสายการบินแล้วไม่มีเส้นเลยไม่ได้งาน เขาบอกว่าชีวิตนักร้องนักดนตรีนี่สนุกมากๆมีสาวๆสวยๆรวยๆไม่หึงไม่หึงมาชวนไปกินข้าวทุกวันเลยหละ ตัวเราเองเรียน computer science มาแต่สมองทื่อเขียนโปรแกรมไม่เก่ง ก้อเลยทำงานเป็น freelance translator ซึ่งส่วนใหญ่เราจะแปลเอกสารราชการจากไทยเป็นอังกฤษ ช่วงหลังๆเราเริ่มอ่านภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่องเพราะเดาใจคนเขียนไม่ถูกว่าพูดว่าอะไรเราเลยต้องเริ่มเรียนศาสตร์แห่งการดูดวงเพื่อเอามาใช้ในการทำงานแปล (วิชาการแปลแบบนี้ไม่มีสอนในหลักสูตรปริญญาโทการแปล)เรียนๆไปพบลู่ทางว่าถ้าเปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดู full time ซะก้อน่าจะหาเงินได้มากกว่าเป็นนักแปลแถมยังมีสาวๆสวยๆรวยๆไม่หึงไม่หึงมาให้จับไม้จับมือดูดวงอยู่เรื่อยๆทำให้ชีวิตแสนสุขมากๆ แต่เผอิญแฟนเราขี้หึงเราเลยต้องกลับไปทำงานแปลเอกสารเหมือนเดิม...ตอนนี้เรากำลังฝันเฟื่องจะทำ website หรือ blog ให้คน click โฆษณาแล้วรับทรัพย์ทีละมากๆ ถ้าทำได้สำเร็จวันๆหนึ่งเราจะไม่ทำงานให้เมื่อย แต่เราจะไปเที่ยวรอบโลก แล้วเรียนภาษาอื่นๆอีกหลายๆภาษา...หาหนังสือพวกศาสตร์เร้นลับแปลกๆมาอ่านศึกษาหาความรู้... แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 00:03:44 แก้ไขเมื่อ 18 พ.ค. 54 00:00:45 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 23:57:43

ความคิดเห็นที่ 2 สองเทอมแรกขยันมาก ๆ ตุนเกรดเฉลี่ยสะสม คำว่าขยันมาก ๆ คือลงทุนซื้อ text book ทุกวิชา อ่านหมดทุกบรรทัด เข้าเรียนทุกชั้นเรียน  หมั่นออกกำลังกาย คบเพื่อนฝูงที่ดี เที่ยวกับเพื่อนบ้าง ไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือโดยไม่สนใจอะไรในโลก วิชาพื้นฐานทางการบริหารคือเล่มแรกของวิชา management, accounting, corporate finance, marketing ก็ให้ความสนใจมากหน่อย เพราะเป็นจุดเริ่มต้นว่าเราน่าจะมีทักษะหรือความชอบด้านใดมากที่สุด ตอนเลือกสาขาเอกจะได้ตัดสินใจได้โดยถูกต้อง ปีถัด ๆ ไป ขยันเหมือนเดิม ถ้าปรับตัวกับการเรียนได้ดีมากแล้ว แต่ละวิชาแทนที่จะอ่านแต่หนังสือหลัก ก็อ่านเพิ่มอีกวิชาละเล่ม (วิชาเดียวกันแต่ผู้เขียนคนละคนจะให้มุมมองของแนวความคิดที่ต่างกัน  หนังสือสามารถยืมจากห้องสมุด หรือไปเดินหาซื้อจากศูนย์หนังสือจุฬา ฯ เป็นต้น) ปีสามปีสี่เมื่อเลือกสาขาแล้ว ใช้ประโยชน์จากห้องสมุดอ่านวารสารทางวิชาการของต่างประเทศในสาขาที่ตัวเองเลือกแล้วเพิ่มเติมจากตำราเรียน เมื่อใดมีโอกาสก็พยายามพูดภาษาอังกฤษให้มากเท่าที่โอกาสอำนวย  การคบหาเพื่อนฝูงเป็นเรื่องจำเป็นเพราะเป็นการฝึกฝนตนเองให้มีทักษะด้านสังคม  การออกกำลังเป็นความจำเป็นเพราะร่างกายที่แข็งแรงย่อมส่งเสริมกำลังสมอง และการเล่นกีฬาเป็นทีม สอนให้รู้จักกฏ กติกา เรียนรู้ที่จะชนะเป็นแพ้เป็น จากคุณ : elenote เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 01:26:36

ความคิดเห็นที่ 3 เพิ่มเติมในเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ จากประสบการณ์การเรียนภาษาอังกฤษในเรื่องไวยากรณ์ก็สอนกันตามแบบฉบับคือเรียน part of speech เรียนกันไปเป็นเรื่อง ๆ จะทำสอบให้ได้ดีก็ทำการบ้านมาก ๆ ในที่เรียนอย่างเดียวคงไม่พอ ก็ซื้อหนังสือพวกที่เป็นข้อสอบมาทำเพิ่มเติม อาทิเช่น Grammar Errors และ ทดสอบหลักไวยากรณ์ผู้จบปริญาตรี English Structure Tests ของ สนพ. TGRE เป็นต้น เรียนไวยากรณ์ต้องรู้เพิ่มเติมว่า part of speech ที่เรียนมา คำ (วลี/อนุประโยค) นั้นทำหน้าที่อะไร ตำแหน่งโดยทั่วไปอยู่ตรงไหนของประโยค จะทำให้การแต่งประโยคไม่สับสน เมื่อรู้คำ (วลี/อนุประโยค) ก็ควรรู้ว่าในการเขียนเราจะเขียนตาม sentence pattern ดูบทความ เรียงความไหน ๆ ก็ได้ ถ้าไปดูดี ๆ พื้นฐานรูปแบบประโยค แค่ 6 หรือ 7 แบบเท่านั้น ลองใช้กูเกิ้ลค้นดู ประโยคที่นำมาเขียนก็มี 3.1 simple sentence (ก็คือ sentence pattern ที่ว่ามาในข้อ 2), compound sentence (สองประโยค simple sentence เชื่อมด้วย coordinating conjunction (fanboys หรือ boyfans - for, and, nor, but, or, yet, so) มีเครื่องหมาย , กั้นระหว่างประโยค)) หรือเชื่อมประโยคด้วยเครื่องหมาย ; 3.3 complex sentence ก็คือ simple sentence + that/wh clause ทั้งหลาย 3.4 compound complex ไม่ต้องพูดถึงในระดับการเขียนสอบหรือทั่วไป แค่ 3.1-3.3 ก็เพียงพอมากมาย เรื่องการเขียนทั่วไป รวมถึง form ของเรียงความแนะนำหนังสือ Writing Technique ของเศรษฐวิทย์ หาซื้อได้ที่ซีเอ็ด ไม่มีก็สั่งซื้อที่พนักงานของร้าน ปัญหาอีกเรื่องคือ "คำ"ที่เอามาใช้ในการเขียน อันนี้เป็นปัญหาใหญ่กว่าเพราะไวยากรณ์ทวนเองได้ ถ้าขยันมากก็อาจทบทวนได้เร็ว แต่เรื่องของการเลือกคำที่จะมาใช้ต้อง "อ่าน" มาก ๆ เลยต้องใช้เวลา ต้องอ่านอย่างเดียวจริง ๆ เพราะท่องศัพท์มาถ้าไม่รู้ว่าศัพท์นั้นมี part of speech อย่างไร และจะเอาไปใช้อย่างไร เขียนไปก็ทำให้คนอ่านงง ต้องอ่านภาษาอังกฤษมาก ๆ อาศัยอินเตอร์เน็ตก็ได้เช่น แวะเว็บ http://www.bangkokpost.com/learning, bbc.co.uk หมวด lerning english, เว็บของ national geographic เป็นต้น ลองซื้อหนังสือของธนพล จาดใจดี ชื่อหนังสือ Essays on Thailand มาลองอ่านเพิ่มเติมก็ได้ ราคาก็ไม่ได้แพงมาก อ่านมาก ๆ (จขกท. จะได้เปรียบเพราะเรียนหลักสูตรภาษาอังกฤษ ตำราเรียนเป็นภาษาอังกฤษอยู่แล้ว) จะช่วยพัฒนาทั้งด้านคำศัพท์และการเขียน ถ้าอยากได้แบบฝึกหัดฝึกทักษะเรื่องการอ่านก็ซื้อหนังสือประเภทข้อสอบ reading comprehension ของ CU-Tep, TU GET เช่น Exfpanding Reading Skills (Level 5 หรือ 6) ของ มาลินี จันทวิมล สนพ. จุฬาลงกรร์มหาวิทยาลัย, CU-TEP Reading ของ TGRE ทีเด็ดพิชิต Reading ของ PostGradTeam เป็นต้น เรื่องพูดก็กล่าวไปแล้วว่ามีโอกาสเมื่อไรก็พูดเมื่อนั้น  ฟังก็มีหลายช่องทางที่จะช่วยพัฒนาทั้งภาพยนต์ sound track, series ของทรูวิชั่น หรือฟังจากเว็บสำนักข่าวต่างประเทศต่าง ๆ เช่น BBC, CNN, VOA (voice of america) จากคุณ : elenote เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 15:29:37