|
^ ^ ^ ...555+++...เรื่องมันเป็นงี้ เรามีความฝันมาตั้งแต่ปี 1987 ว่าอยากแปลหนังสือภาษาอังกฤษจนมีชื่อเสียง
เราหัดแปลหนังสือโดยการลงมือแปลจริงๆเลย แล้วคำแปลภาษาไทยมันออกมาอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่อง เราเลยตอนนั้นทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษอยู่ประมาณ 5 ปี จากนั้นเราไปฝึกงานเป็นนักแปลอยู่ในบริษัทแปล แล้วเรียนแต่แปลเอกสารอยู่หลายปี (ส่วนใหญ่จะโดนจับแปลแต่ภาษากฎหมายกับหนังสือราชการ) จนคิดว่าอินทรีย์แก่กล้าพอที่จะกลับมาเรียนการแปลหนังสือใหม่อีกรอบหนึ่ง แล้วก้อเพิ่งมีโอกาสได้แปลหนังสือไป 2-3 เล่มเมื่อ 5-6 ปีที่แล้ว
แต่ไม่ว่าจะเรียนแปลเอกสารหรือเรียนแปลนิยายเราก้ออาศัยเทียบ source text (ภาษาต้นทาง) กับ target text (ภาษาปลายทาง) ของนักแปลหลายๆคนเพื่อการเรียนรู้ แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก้อคือว่า
ตอนเรียนแปลนิยาย ผลงานแปลที่เราเอามาเรียนรู้อย่างมากก้อมีแค่ปัญหาพวก slang terms, idiomatic expressions หรือความรู้รอบตัวที่จำเป็นต้องใช้ในการตีความภาษาอังกฤษ เราก้อเลยคิดว่า "เรียนครบจบหลักสูตรที่ตัวเองสร้างขึ้นมาสอนตัวเอง"
แต่มันมิใช่เช่นนั้น สิ่งที่พลิกความคาดหมายก้อคือนิยายที่เราฝึกแปล ถ้ารู้ slang terms, idiomatic expressions หรือความรู้รอบตัวที่จำเป็นต้องใช้ในการตีความภาษาอังกฤษ มันก้อแปลได้ แต่อนิจจานั่นมันนิยายสมัยเก่ากึ่งเกือบๆจะใหม่ แต่นิยายสมัยใหม่ที่ดังๆมากๆ มันไม่ใช่เช่นนั้นเลย
ปัญหาก้อคือนิยายสมัยใหม่มันมี similes and metaphors มากมายเกือบทุกหน้า ที่นักเขียนฝรั่งผูกเป็นประโยคแบบ "หลุดโลก" แบบไม่รู้ว่ามันเอา cells สมองส่วนไหนคิดสร้างประโยคบ้าๆพวกนี้ขึ้นมา ซึ่งกว่าจะแปลงเป็นภาษาไทยได้ก้อต้องออกแรงมาก แต่มันแก้เกมได้ด้วยการหัดโกหก tor laa ซะตอนเขียนภาษาไทยน่ะ (ให้มันสวยงามและความหมายพอกล้อมแกล้มใกล้เคียงภาษาอังกฤษไปได้) พอเราแปลตรงตัวภาษาไทยอ่านไม่รู้เรื่องเราโดนแฟนเราแก้ภาษาไทยมาสวยๆจนเราตกตะลึงมากๆว่าทำได้ไงเนี่ย...!!!?? นี่เป็นความแตกต่างระหว่างเราซึ่งเรียนวิทย์กับเธอซึ่งเรียนศิลป์ภาษาหรือเปล่า...!!!??
จากนั้นเราพยายามเรียนศาสตร์การเขียนภาษาไทยโกหก tor laa แบบเฉียดๆภาษาอังกฤษ ให้ดูสวยๆ แต่เราก้อไปตกม้าตายอีกนั่นแหละ คือนิยายบางเล่มเราเจอประโยคที่ senses ของเรา "ยืนยันว่า" มันไม่มีทางตีความได้เพราะมัน ambiguous และเราเดาว่าฝรั่งเจ้าของภาษาก้อคงอ่านสนุกๆผ่านๆไป ไม่ได้ตีความเอาเป็นเอาตายว่านักเขียนๆบ้าๆมาแบบนี้มันหมายความว่าอะไรกันแน่ แบบที่นักแปลชาวไทยต้องทำ พอเราแปลๆไปก้อคิดว่า
"บรรณาธิการต้นฉบับของสำนักพิมพ์ส่วนใหญ่ก้อคงไม่มีทางตีความภาษาอังกฤษบ้าๆแบบนี้ได้ เพราะมันยากเกินกว่าคนไทยทั่วๆไปจะอ่านรู้เรื่อง"
ที่คิดงี้ก้อเพราะว่าครั้งหนึ่งฝรั่งที่เรียนวิชาภาษาอังกฤษจบมาระดับปริญญาเอกคนหนึ่งซึ่งเก่งศาสนาพุทธมากๆ แกเคยสอนที่มหาลัยพระ แกคุยกับเราว่าจากประสบการณ์อยู่เมืองไทยมานาน แกพบคนไทยที่ดูเหมือนเก่งภาษาอังกฤษระดับเทพๆๆๆ มากๆ แต่พอเอาเข้าจริงๆ คือไปเจอภาษาอังกฤษระดับโหดๆเข้าจริงๆแล้ว ก้อ "อ่านไม่รู้เรื่อง"
และแล้วหนังสือเล่มที่เรากำลังพยายามตีความน่ะ เราส่งหนังสือทั้งเล่มเป็น ebook ไปกับ mail ไปหาเพื่อนที่พำนักอาศัยในประเทศอังกฤษนานถึง 30 กว่าปี และอ่านเขียนภาษาอังกฤษเก่งระดับเทพๆมากๆให้ตีความ เขาตอบเรามาว่า
"ไอ้ประโยคที่เรางงอ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่องน่ะ เขาก้ออ่านแทบไม่รู้เรื่องเหมือนกัน...555+++..."
ทีนี้เรื่องสนุกๆระหว่างนักแปลเอกสารตัวจริง(คือตัวเรา) กับนักแปลนิยายตัวจริง (คือแฟนเรา) ที่มาถกกันก้อคือ เราเล่าเรื่องนี้ให้แฟนเราที่แปลนิยายเก่งกว่าเราให้ฟังว่าเรากับเพื่อนเราก้อตีความประโยคพวกนี้ไม่ได้หลายๆประโยค ถ้าเราแปลไปเราคงแปลผิดหรือแปลถูกก้อต้องไปงัดข้อกับบรรณาธิการต้นฉบับของสำนักพิมพ์อย่างแน่นอน ซึ่งมันไม่ทำให้อนาคตเราดีขึ้นเลย...ดังนั้นเราจะพิสูจน์ให้แฟนเราเห็นประจักษ์โดยการเอาประโยคพวกนั้นไปแปะถามฝรั่งเจ้าของภาษาตามกระดานสนทนาเวปต่างประเทศดูดิว่าสมมุติฐานเราถูกหรือเปล่าที่เราคิดว่า
"ฝรั่งเจ้าของภาษาก้อยังฟันธงไม่ได้ว่าประโยคพวกนั้นมันแปลว่าอะไรกันแน่ เว้นเสียแต่ว่าจะส่ง mail ไปถามคนเขียนมันให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย"
แฟนเราซึ่งเป็นนักแปลนิยายมือฉมังฟังเราแล้วย้อนกลับมาว่า
"โถตาเฒ่า 2 คนๆ หนึ่งเคยอยู่อังกฤษมา 20 ปี อีกคนหนึ่งเคยอยู่อังกฤษมา 30 กว่าปี บวกกับฝรั่งเจ้าของภาษาอีกตั้งหลายคนบอกว่าตีความประโยคหลายๆประโยคในนิยายระดับ (ง่ายๆ) นี้ ก้อยังตีความไม่ได้ มันก้อไม่ได้หมายวความว่าคนไทยที่เป็นนักแปล (เธอคงหมายถึงเก่งๆระดับเทวดา) จะตีความไม่ได้ด้วยนินา"
^ แต่เราก้อไม่กล้าเถียงกับแฟนเราต่อไปว่าเธอหรือเพื่อนๆเธอที่เป็นนักแปลนิยายมือฉมังจะตีความภาษาอังกฤษได้เก่งกว่าหรือไม่เก่งกว่าฝรั่งเจ้าของภาษา (ที่แค่อ่านๆนิยายผ่านๆไปโดยไม่พยายามตีความลึกๆ) เพราะกลัวทะเลาะกับแฟนเราใหญ่โต เราเลยต้องคิดว่า ladies first แล้วยอมให้เธอชนะการโต้วาทีในประเด็นนี้ไป...555+++...
^ ด้วยเหตุดั่งนี้ไซร้ เราจึงหวาดกลัวการแปลนิยายสมัยใหม่มากๆ จนถึงกับเลิกแปลมันไปเลยหละ...555+++...
แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 23:57:57
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
20 พ.ค. 54 23:45:27
|
|
|
|
|