ความคิดเห็นที่ 1 ข้อความข่างล่างนี้เป็นความคิดเห็นของเด็กๆของโรงเรียนแห่งนี้ค่ะ "บอกว่าย้ายห้องเพราะเวลาอ.สอนจะได้เตรียมสอนถูก เด็กเก่งๆก็จะได้ยัดเนื้อหาไปเยอะๆ แต่ว่านะ ถ้าต้องการอย่างนี้ เปลี่ยนจากคัดด้วยเกรดเฉลี่ยหรือคะแนนรวม มาเป็นคัดแบบเด็กห้องนี้เก่งวิทย์ อ่อนคณิต อังกฤษห้องนั้นเก่งวิทย์คณิต อ่อนอังกฤษ อะไรแบบนี้ไม่ดีกว่าหรอ... เคยได้ยินมาว่า “เกรดน่ะ มันเฉลี่ยกันไม่ได้” ก็จริงของเขานะ ของอย่างนี้เก่งใครเก่งมัน คนที่ได้ที่ 1 ของห้อง ได้เกรดเฉลี่ยสูงที่สุด ใช่ว่าจะได้ที่ 1 ทุกวิชาซะเมื่อไหร่ คนบางคนที่เกรดเฉลี่ยกลางๆ ได้ลำดับที่ของห้องกลางๆ  บางวิชาเขาอาจจะได้มากกว่าคนที่สอบได้ที่ 1 ก็ได้ เพราะว่าคนเรามันถนัดกันคนละด้าน สมมติว่ามีคนคนนึงได้เฉลี่ยแบบพอใช้ เพราะเขาไม่เก่งวิชาอะไรเลย ยกเว้นภาษาอังกฤษกับวิทยาศาสตร์ คะแนนรวมก็ได้ที่กลางๆหรือติดไปทางท้ายๆของห้องเสมอ แต่มันจำเป็นหรอ ว่าเขาจะต้องอยู่ห้องที่แย่เสมอไป ทั้งๆที่หากเป็นเรื่องคะแนนสอบของสองวิชานี้ เขามักจะได้สูงมาก อาจมากกว่าคนห้องคิงบางคนด้วยซ้ำ แล้วอย่างนี้จะสามารถพูดได้เต็มปากอยู่อีกไหม ว่าเขาห่วยมาก! พูดตามตรงเลยว่า “โลกนี้จะมีสักกี่คนกันเชียว ที่ถนัดทุกๆด้าน 100%” ที่ยกตัวอย่างมานี่ เพื่อจะสื่อว่า ต่อให้เป็นห้องคิง ห้องควีน หรือห้องธรรมดา มันก็ต้องมีคนที่เก่งปะปนอยู่ด้วยเสมอ แต่จะเก่งด้านอะไรมันก็แล้วแต่บุคคล จำเป็นหรอว่าคิงกับควีนจะได้ที่ 1 ทุกๆอย่างเสมอ  หากแยกดูแค่คะแนนรวม แล้วมีวิธีสอนแตกต่างกันออกไป ผลลัพธ์จะออกมาดีไหม? ตอบได้ว่าดี  แต่จะดีกับทุกคนรึเปล่า? ก็คงไม่ใช่  หากเป็นห้องระดับกลางๆจนถึงแย่ อาจมีวิธีการสอนที่ค่อยเป็นค่อยไป แต่คนที่เก่งภาษาอังกฤษอยู่แล้ว และมีศักยภาพในด้านนี้สูง สามารถรับได้เท่ากับคนห้องคิง เขาจะไม่เสียผลประโยชน์ในด้านนี้ไปหรือ? รวมถึงคนที่เก่งวิชาอื่นๆ แต่ไม่ได้มากมายหลากหลายวิชา และลองมองในมุมกลับกัน ห้องคิงมีวิธีการสอนที่รวดเร็ว เน้นย้ำเนื้อหาได้ดีครบถ้วน แต่ถ้ากับคนที่ไม่เก่งอังกฤษล่ะ? ก็ไม่ตึบไปเลยหรอ? บางคนที่เรียนแย่ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นคนที่หัวชาเสมอไป ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับความขยัน และเรื่องที่เรียนด้วย  บางคนอาจรับได้เท่าห้องควีน หรืออาจคิงด้วยซ้ำ เพียงแค่ขาดความขยันไปสักหน่อย  คนที่หัวไวแต่กลับต้องมารับเนื้อหาแบบคนหัวช้าก็ขาดทุนแย่เลยสิ(เรื่องความขยันมันยังพอฝึกกันได้นะ)  จบเรื่องที่ว่าทำไมไม่เห็นด้วยกับการจัดอย่างนี้.... งั้นจัดแบบเก่ามันดีตรงไหน? ห้องแบบเดิมคือห้องที่มีทั้งคนเก่งและอ่อนปะปนไป และก็เก่งกันในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ได้ที่ 1 ของห้อง เกรดเฉลี่ยสูง หรือคนที่ไม่ได้ที่ 1 แต่เก่งเป็นรายวิชาซะมากกว่า หากเป็นอย่างนี้มันก็เหมือนกับเป็นการเติมเต็มกัน เป็นการแชร์ความรู้ความเข้าใจของแต่ละฝ่าย มันไม่ใช่แค่คนเก่งช่วยคนอื่น แต่มันคือการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน(จากประสบการณ์จริง) คนที่อ่อนคณิตก็สามารถไปถามคนที่เก่งคณิตได้ หรือคนที่เก่งคณิตแต่อ่อนวิทย์ก็สามารถที่จะไปถามคนอื่นๆได้  ถามว่าการจะแบบใหม่มันทำไม่ได้หรอ? มันไม่เหมือนกันนะ ระหว่างคนที่รู้จักกันมานาน รู้นิสัยใจคอกัน กับคนที่เพิ่งเจอกันครั้งแรก  เพื่อนๆทุกคน แม้แต่คนที่ได้ย้ายไปอยู่ห้องคิงเอง ก็ได้พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ถ้าต้องแยกกันอย่างนี้ ขอไปอยู่ห้อง 5 ด้วยกันทุกคนยังดีกว่า   อย่างน้อยๆก็ไม่ควรจะย้ายตอนอยู่ม.3 การที่คนหลายๆคนต้องมาอยู่รวมกัน มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย กว่าจะเกิดคำว่า “รัก”  คำว่า “ผูกพันธ์” แทนที่ต้องเครียดแค่กับเรื่องการเรียน การสอบต่อม.4 กลับกลายเป็นว่าจะต้องมาเครียดเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน มาเผชิญกับสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย...." จากคุณ : จขกท (กองกำลังแอบซุ่ม) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 19:56:23

ความคิดเห็นที่ 2 อันนี้อีกเรื่องเล่าหนึ่งของเด็กๆค่ะ “ วันนี้หนูและเพื่อนๆตัดสินใจไปขอคุยกับผอ. หลังเลิกแถว หนูไปหาผอ.กับเพื่อนบอกเลขาผอ.”ว่าขอเข้าพบผอ.”ผอ.ให้เลขามาถามว่า  ”เรื่องอะไร” หนูตอบไปว่า  ”เรื่องการย้ายห้อง” ผอ.ไม่คุยให้เลขาบอกว่า” ย้ายแล้วย้ายเลย” หนูบอกไปว่า”ขอคุยนิดนึงได้ไหมคะ” ผอ.ออกมาเสียงดัง ไม่ฟังพวกเรา พูดกับเราอย่างแข็งว่า” มาจากห้องไร” หนูตอบว่า”มาจากห้องสี่” ผอ.ถามว่า”ตอนนี้อยู่ห้องไร” หนูตอบว่า”อยู่ห้องสาม”  ผอ.บอกกลับมาว่า “งั้นก็เรียนให้โง่ลง จะได้กลับไปอยู่ห้องสี่” หนูตอบกลับไปว่า”หนูอยู่ม.สามค่ะ” ผอ.ตอบกลับอย่างไม่มีเหตุผลว่า”ก็ม.สี่ซิ”แล้วก็ไม่ฟังพวกเรา หนูงงกับพฤติกรรมนี้มาก เหตุผลของพวกเราท่านไม่ฟังแถมยังใส่อารมณ์อีกด้วย หนูขอบอกได้เลยว่าก่อนหน้านี้ห้องสี่ไม่ใช่ห้องท้าย ก่อนหน้านี้ห้อง5 เป็นห้องคิง ห้อง1 เป็นห้องควีน ห้องสี่กลางๆ ห้องสองสามอาจดูท้ายๆหน่อย แต่แต่ละห้องก็มีคนเก่งปะปนอยู่ไม่ใช่อ่อนทั้งห้อง แต่ที่ผอ.พูดมันไร้เหตุผลเกินไปไหมที่จะให้เรียนโง่ลงแล้วอยู่ห้องสี่ทั้งๆที่ก่อนหน้าที่จะจัดห้อง ห้องสี่ไม่ได้ที่ท้ายๆซักหน่อย  เนื่องจากเหตุการณ์ที่นักเรียนไม่ร่าเริง และเศร้าทำให้อาจารย์ท่านนึงซึ่งเป็นอาจารย์ที่อยู่โรงเรียนนี้มาก่อนที่ผอ.จะเข้ามา ไปขอให้ผอ.ย้ายเด็กกลับ แต่ผอ.ก็ไม่ยอม หนูก็จนใจจะพยายามตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ โดยเฉพาะการกระทำที่ไม่ฟังเหตุผลนักเรียนของผอ.  " ปอลอ เด็กๆยังบอกอีกว่าตอนนี้ห้อง 5 ซึ่งเป็นห้องสุดท้ายแทบจะไม่ได้รับการดูแลเลย ทำให้เด็กๆรู้สึกว่าเป็นการแบ่งชนชั้นกัน แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 20:06:08 แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 20:03:23 จากคุณ : จขกท (กองกำลังแอบซุ่ม) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:02:47

ความคิดเห็นที่ 3 ถูกแล้วนี่ครับ แบ่งตามเกรดเฉลี่ย ส่วนห้องไหนจะคิง ควีน แจ็ค ฯลฯ เป็นแค่ชื่อเรียกครับ อย่างไรเสีย ประถม - ม.ต้น ไม่ได้แยกแผนการเรียนอยู่แล้ว จะเรียงห้อง 1 ไปถึงห้องสุดท้ายตามเกรดเฉลี่ยก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดีเสียอีก ถ้าอยากได้ห้องดีๆ ก็จะได้แข่งกันเรียน แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก เรียนๆ เล่นๆ รักษาระดับเฉยๆ ก็พอ ไม่เห็นแปลกนี่ครับ ส่วน ม.ปลาย แยกสาย ก็แบ่งกันแค่ในสาย เช่นวิทย์ - คณิตมี 3 ห้อง ก็แข่งกันไปมาใน 3 ห้อง เพราะทุกห้องต้องเรียนวิชาเดียวกัน อาจารย์จะได้แบ่งถูกว่าห้องไหนควรให้ใครสอน และสอนอย่างไรครับ จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:28:23

ความคิดเห็นที่ 4 สมัยเราเด็กๆโรงเรียนเราก้อแบ่งห้องเรียนตามสาย และในแต่ละสายก้อแบ่งห้องตามเกรด ตามตัวอักษร ตัวอักษรต้นๆเรียนเก่งสอบได้คะแนนทุกวิชาเต็ม 100% หมด พวกอยู่ห้องท้ายๆสอบได้คะแนนแต่ละวิชาบางที 15% เราเรียนที่นั่นถึง มศ.3 เที่ยบสมัยนี้ ม.4 แล้วสิ้นปีพวกเราทุกคนไปสอบเข้าโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษากันหมด ผลปรากฎว่านักเรียนพวกห้อง ก ข ค ไม่มีใครสอบได้เลย คนสอบติดโรงเรียนเตรียมอุดมกลายเป็นนักเรียนห้อง ญ (ตัวอักษรไกลๆแบบนี้) แล้วผลแบบนี้มันบอกอะไรได้บ้างล่ะ คิดๆไปก้องงเหมือนกันนะ...!!!?? จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:36:11

ความคิดเห็นที่ 5 ผมไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นะ น่าจะแบ่งตามลักษณะนิสัยของเด็กให้คละๆกันมากกว่า เคยได้ยินหรือเปล่าครับว่าเป็นหัวหมาดีกว่าหางราชสีห์ จิตวิทยาของมนุษย์มันเป็นอย่างนั้นจริงๆนะ ถ้าเอาเด็กที่มีนิสัยเหมือนๆกันมาเรียนรวมกันโดยไม่ดุลให้ดีๆผมว่าผลเสียเกิดกับเด็กมากกว่าผลดี (ผลดีแน่นอนคือการจัดการเรียนการสอนทำได้ง่ายสบายครู) ในห้องควรจะมีกลุ่มผู้นำ กลุ่มผู้ตามในจำนวนที่เหมาะสม ที่แน่ๆถ้าเด็กรู้สึกว่าถูกอาจารย์ทอดทิ้ง ก็น่ากังวลแล้วล่ะว่าอาจจะเป็นปัญหา ต้องติดตามดูอย่างใกล้ชิดว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:37:07

ความคิดเห็นที่ 6 ตามความเห็นจากประสบการณ์นะคะ.... โรงเรียนมัธยมในกรุงเทพฯ ค่ะ   ตอนมัธยมต้น 1- 3  เขาแบ่งห้องตามเกรดเฉลี่ย มานานแล้วค่ะ  (แต่ปัจจุบันไม่แน่ใจ)   เพราะตอนนั้นใช้วิธีการรับนักเรียนจากการสอบเข้าอย่างเดียว   เขาก็จะจัดนักเรียนตามคะแนนที่สอบเข้าเลยตั้งแต่ ม.1   และก็ดูผลการสอบ ม.2 แบ่งห้องอีกขึ้น ม.3 แต่ไม่ค่อยมีใครถูกย้ายห้อง เพราะเด็กจะมีผลการเรียนค่อนข้างสม่ำเสมอ มีไม่ถึง 2% ที่อาจจะถูกปรับลด หรือเพิ่มให้ไปอยู่ห้องอื่น แต่น้อยค่ะ พอขึ้น ม.4  ก็จะจัดตามเกรดอีกครั้งหนึ่ง และมีการให้เลือกสาย ก็จะมีห้องคิง ควีน ... ไล่เรียงของแต่ละสาย การที่ผอ. ตัดสินใจอย่างนี้อาจจะเพื่อความสะดวกในการจัดการเรียนการสอน (อย่าง ที่ จขกท เองก็บอกไว้)   แต่การที่เปลี่ยนแปลงอะไรโดยไม่ได้ถามความคิดเห็น หรือ ดูผลกระทบให้รอบด้าน มันก็อาจจะมีผลเสียมากกว่าผลดี โดยเฉพาะกับเด็กนักเรียน ที่ต้องรับผลนี้โดยตรง อ่านความคิดเห็นของเด็ก ๆ ที่ไม่อยากแยกจากกันเพราะผูกพันกันก็เข้าใจนะคะ เพราะ เคยมีภาวะอย่างนี้เหมือนกัน แต่อยากจะบอกว่าชีวิตจริง ๆ ไม่มีใครผูกติดอยู่กับใครได้ ถึงจะแยกจากกัน ความเป็นเพื่อนและมิตรภาพก็ยังคงอยู่เสมอ.... ผอ. อาจอยากให้เด็ก ๆ รู้จักปรับตัวปรับใจเพื่ออนาคตข้างหน้ารึเปล่าคะ (มองในแง่ดี) ยังไงก็เป็นกำลังใจให้ค่ะ  เข้ามาแชร์ประสบการณ์และความคิดเห็นค่ะ ^ ^ แก้ไขเมื่อ 20 พ.ค. 54 21:54:49 จากคุณ : แอบดูอยู่ขี้เกียจพิมพ์ เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:40:54

ความคิดเห็นที่ 7 อันนี้ก็อีกหนึ่งความคิดของเด็กๆ (ดิฉันเรียนอยู่ม.2ขึ้นม3 ตอนนี้ม.3 เต็มตัวแล้ว เหตุการณ์ก่อนเปิดเทอมหนึ่งวันคือเราเพิ่งรู้ว่าต้องย้ายห้อง ทั้งๆที่เราอยู่ด้วยกันมาสองปี เพื่อนทุกคนต้องกระจายไปหมด ห้อง1 2 3 4 5 เรียงตามเกรดเลย วันนี้เปิดเทอมวันที่สามแล้วแต่ยังทำใจกันไม่ได้ ไม่ใช่แค่เพราะคิดถึงเพื่อนอย่างเดียว แต่เพราะการคัดเกรดแบบนี้ทำให้ห้อง5 ซึ่งเป็นห้องที่รวมเด็กเกรดต่ำอยู่ด้วยกันนั้น ดิฉันไม่ได้อยู่ห้อง5 แต่เพื่อนผู้ชายของดิฉันอยู่ห้อง5 จำนวน15คน ดิฉันขอบอกเลยว่าพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้เป็นเด็กเกเร เด็กเที่ยวเลย ตอนม.1 พวกเค้าติด ร. ได้คะแนนน้อย แต่ม.2พวกเค้าพยายาม อะไรที่ไม่ได้ก็มาถามดิฉัน และเพื่อนๆคนอื่นๆที่เก่ง พวกเราช่วยเหลือกันและกัน ด้วยความรักที่เป็นเพื่อนกันมา2ปีพวกเค้าไม่ติด ร. ติด0 ได้เกรดดีขึ้นมาก อาจไม่มากจนขั้นเก่ง แต่ก็พัฒนา แต่กระนั้นพวกเค้าต้องย้ายมาห้อง5 ต้องถูกคนดูถูกเหยียดหยาม คนอื่นจะมองห้องนี้อย่างไร ดิฉันรับรองได้ว่า เด็กผู้ชายกลุ่มนี้ไม่ใช่คนเกเรเลย แล้วสมควรแล้วหรอคะ โรงเรียนของเรารับเด็กน้อย ทำให้รู้จักกันทั่วถึง ห้อง1 ห้อง5 จะไม่แบ่งชนชั้นกันหรอคะ อีกทั้งดิฉันที่เกรดม.1 3.34 ม.2 3.66 ดิฉันตั้งใจจนขึ้นมาขนาดนี้สอบได้ที่ห้าของห้องเก่า แต่ดิฉันได้อยู่ห้อง3 เพื่อนบางคนที่ได้เกรดม.2น้อยกว่าฉันแต่เกรดเฉลี่ยมากกว่าได้ไปห้องสอง กรณีแบบนี้อาจเกิดขึ้นกับใครหลายคน ซึ้งมันยุติธรรมแล้วหรอ อาจารย์ได้อ้างว่าจัดแบบนี้จะได้ใส่ความรู้ให้ห้องคิงไปเต็มๆ ห้องอ่อนจะได้ค่อยๆไปแต่เด็กแต่ละคนมีความสามารถไม่เท่ากัน บางคนอาจเก่งคณิตศาสตร์ แต่อ่อนภาษาไทย เก่งแต่ละด้านไม่เหมือนกัน เด็กห้องอ่อนบางคนอาจเก่งคณิตศาสตร์มากกว่าห้องคิงบางคนก็ได้ มันยุติธรรมแล้วหรอ อาจารย์บอกว่าอยากให้เด็กเก่งเหมือนโรงเรียนเตรียมอุดมฯ แต่อย่าลืมว่า ม.ต้นไม่มีการแบ่งสายวิทย์หรือศิลป์นะคะ อีกอย่างเด็กที่อยู่ด้วยกันมาสองปี ต้องมาแยกกันโดยไม่ทันตั้งตัว มันคนละความรู้สึกกับการย้ายโรงเรียนโดยสิ้นเชิง ขอบอกก่อนว่าโรงเรียนเรามีการจัดห้องคิงควีนมาตั้งแต่ม.1แล้วแต่ไม่รู้ทำไมถึงได้เรียงใหม่อีก ซึ่งแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ว หากผอ.อ้างว่าเด็กจะได้พยามทำเกรดให้ดีขึ้นดิฉันเห็นสำหรับย้ายม.1 ขึ้นม.2 เด็กห้องท้ายๆจะได้พยามเพื่อม.3 จะได้ห้องดีขึ้น แต่ดิฉันอยู่ม.3แล้วจะพยามไปเพื่ออะไร แค่เรื่องสอบต่อม.4ก็เครียดอยู่แล้วต้องมาเครียดเรื่องนี้อีก เรื่องทั้งหมดไม่มีการสอบถามความรู้สึกนักเรียนมีเพียงการตัดสินใจของคนไม่กี่คนเท่านั้นเหตุการณ์นี้ขนาดครูหลายๆท่านยังรู้พร้อมนักเรียน เด็กๆหลายคนเสียน้ำตา หลายคนบอกว่าตอนนี้เหมือนไม่มีกำลังใจจะเรียน ทั้งคิดถึงเพื่อนทั้งเครียด ) จากคุณ : จขกท (กองกำลังแอบซุ่ม) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:49:19

ความคิดเห็นที่ 8 ขอมองในมุมมองของนักเรียนคนนึงนะคะ สำหรับเราบรรยากาศในห้องเรียนสำคัญมากๆค่ะ การเรียนอย่างมีความสุขทำให้เราเรียนได้ดีกว่าการเรียนแบบไม่มีความสุขค่ะ ถ้าเรียนมาด้วยกันกับเพื่อนจนสนิทกันแล้ว อยู่ๆมาจับแยก ต่อให้มีเหตุผลที่ดีมารองรับยังไง ความสุขในการเรียนก็น้อยลงแน่นอนค่ะ แต่การแบ่งห้องตามเกรดก็มีข้อดีค่ะ คือ อาจารย์จะสอนได้ง่ายขึ้น เพราะนักเรียนมีพื้นความรู้พอๆกัน นักเรียนก็น่าจะพอใจกับการสอนมากขึ้น เพราะไม่เร็วหรือช้าเกินไป จริงอยู่ที่ไม่มีใครเก่งไปหมดทุกวิชา แต่อย่างน้อยที่สุดความแตกต่างระหว่างนักเรียนในห้องก็จะน้อยลง แต่เราไม่เห็นด้วยที่แบ่งแล้วโรงเรียนและอาจารย์ให้ความสนใจกับห้องคิงมากเป็นพิเศษ แล้วไม่สนใจกับห้องสุดท้ายเลย การแบ่งห้อง ถ้าจะมีขึ้นก็ควรมีเพื่อให้นักเรียนทุกคนได้รับประโยชน์มากขึ้น ห้องคิงได้เรียนมากขึ้นหรือเร็วขึ้นทำให้นักเรียนไม่รู้สึกเบื่อ และห้องที่ไม่เก่ง อาจารย์ก็จะได้อธิบายให้ช้าลงหรือลงรายละเอียดมากขึ้น เพื่อให้นักเรียนเข้าใจได้ง่ายขึ้น สมัยที่เราเรียน เจอมาแล้วทั้งโรงเรียนที่มีการแบ่งห้องตามเกรดและไม่มีการแบ่ง และก็อยู่มาแล้วทั้งห้องเด็กเก่งและไม่เก่ง เราไม่เคยรู้สึกว่าการแบ่งห้องมีข้อเสียอะไรนะคะ แต่ก็อาจจะเป็นเพราะรับรู้อยู่แล้วว่าจะมีการแบ่งแบบนี้ เลยไม่ได้รู้สึกเครียดหรือกดดันอะไร เราเลยว่าการแบ่งห้องแบบนี้น่าจะดีสำหรับนักเรียนที่เข้าใหม่ แต่ไม่ดีสำหรับนักเรียนเก่า ดูจากที่ จขกท เล่าถึง ผอ แล้ว เราว่าน่าจะให้มีการเปลี่ยนกลับไปเหมือนเดิมได้ยาก จขกท น่าจะพยายามอธิบายให้นักเรียนเข้าใจถึงข้อดีที่เค้าจะได้รับมากกว่านะคะ เราเข้าใจว่าการต้องแยกจากเพื่อนมันรู้สึกยังไง เราเองก็ไม่ชอบเหมือนกัน แต่ในเมื่อถ้าเราทำดีที่สุดแล้วไม่สามารถจะแก้ไขอะไรได้ ก็ต้องพยายามมองโลกในแง่ดีค่ะ สำหรับเพื่อนเก่าที่โดนแยกห้องก็คิดซะว่ายังไงก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน เวลาพักก็ต้องเจอกันได้อยู่แล้ว ดีซะอีกที่ในห้องจะได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ๆเพิ่มขึ้น จากคุณ : . (fawnMM) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 20:56:00

ความคิดเห็นที่ 9 ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์นะคะ คือมีประสบการณ์ตรงเลยกับเรื่องนี้น่ะค่ะ สมัยสอบขึ้น ม.4 โรงเรียนต่างจังหวัด เดิมทีเดียวโรงเรียนนี้เค้าสอนแบบเรียงลำดับผลการสอบเข้า ถ้าสอบได้ที่ 1-50 จะอยู่ห้องคิง 51-100 ห้องควีน อะไรอย่างนี้น่ะค่ะ แต่ ในปีนั้น ผอ.โรงเรียนเปลี่ยนนโยบายใหม่ ให้ยกเลิกห้องคิง ควีน ให้คละ นร. มีทั้งเด็กผลสอบดี ไม่ดีคละๆ กันไปในแต่ละห้อง ซึ่งบังเอิญได้เจอรุ่นแรกเลยค่ะ (ฮา) ก็โอเค เรียนไปได้เทอมแรก ลำบากเหมือนกัน เพราะในวิชายากๆ อาจารย์สอนลำบากมาก พวกเก่งจะเข้าใจเร็ว พวกไม่เก่งหน่อย จะช้า อาจารย์ก็จะอธิบายซ้ำ การบ้านก็จะมีง่ายมากกว่ายาก พวกที่ไม่เก่งเค้าก็ลำบากเหมือนกันนะ เค้าว่าเรียนยาก กดดันเมื่อเจอเพื่อนเก่งๆ ในห้องไปเร็วเกินไป เรียนมาจนใกล้จบ ม.4 พวกเก่งๆ จากหลายๆ ห้องก็เริ่มคุยกันเอง แล้วก็รวมกลุ่มเข้าพบ ผอ. จำได้ใช้เวลาภาคเช้าหลังเคารพธงชาติ คุยกับ ผอ. ขอมารวมกันเป็นคิง ควีน อะไรอย่างนี้ ก็คุยกัน ให้เหตุผลกัน ส่วนพวกไม่เก่งเค้าก็ยอมรับความเห็นนี้นะคะ ปรากฏสุดท้าย ก็มีการย้ายห้องกันใหม่ คราวนี้จัดลำดับคิงควีน แล้วทุกอย่างก็โอเค คหสต. ยอมรับว่าเป็นกลุ่มคนที่อยากให้จัดตามลำดับคิงควีนค่ะ เพราะ การสอนของอาจารย์จะได้เหมาะสมกับศักยภาพของเด็ก เด็กก็ไม่เบื่อ ไม่เห็นความเหลื่อมล้ำกันเกินไป จนเกิดเป็นความกดดัน และอาจารย์ก็ช่วยกระตุ้นทั้งห้องให้เดินไปพร้อมๆ กันได้ ไม่ใช่คนหนึ่งเดิน อีกคนวิ่งได้แล้ว จากคุณ : IyinG_555 เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 21:04:33

ความคิดเห็นที่ 10 คห.5 จะเอาเด็กเก่งกับเด็กไม่เก่งมารวมกัน เด็กเก่งก็จะรำคาญเพราะหัวสมองตัวเองไปไกลกว่าที่สอนแล้ว ส่วนเด็กไม่เก่งก็จะกลายเป็นปมด้อยเพราะเรียนสู้เพื่อนไม่ได้ ท้ายที่สุดก็เบื่อการเรียน ไม่อยากไปเรียน กลายเป็นปัญหาสังคมอีก อีกอย่างโดยทั่วไป เด็กปกติๆ ( ถ้าไม่ใช่พวกเข้ากับคนยากแบบผม ) มักจะคบเพื่อนมากกว่าแค่ห้องเดียวกันอยู่แล้วครับ เพราะในโรงเรียนนั้นจำนวนคนยังไม่มาก สถานที่ก็ไม่กว้างนัก แม้ว่าจะอยู่คนละแผนการเรียน โอกาสที่จะเจอกัน ทำความรู้จักกันก็ยังเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายกว่ามหา'ลัยอยู่แล้ว ( อย่างน้อยๆ มันต้องมีมั่งละ พวกท้าแข่งกีฬาระหว่างห้อง ถ้าไม่ใช่พวก Nerd เกินไปมันก็ต้องมีกันบ้างละครับ สังเกตไหมมัธยมไม่ต้องมีรับน้อง แต่ก็รู้จักกันข้ามห้องเป็นเรื่องปกติ ) สมัยนี้พ่อแม่ไม่น้อยนะครับพยายามยัดลูกเข้าห้องคิง ควีน แจ็ค โดยที่ไม่ดูศักยภาพและความชอบของลูกตัวเอง ทำให้เด็กเกลียดการเรียน เสียโอกาสที่จะพัฒนาตัวเองในด้านอื่นๆ อย่างสร้างสรรค์ได้นะครับ ( เด็กห้องกลางๆ อาจจะไม่เน้นวิชาการ แต่อาจจะเก่งเรื่องกีฬา ดนตรีก็ได้ใครจะรู้? ) จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 21:22:28

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่รู้ว่าประสบการณ์ผมเป็นประโยชน์หรือเปล่านะครับ ม.ต้น ผมเรียนโรงเรียนใหญ่แถวย่านลาดพร้าว ส่วนตัวเรียนห้องคิงมาตลอดตั้งแต่ประถมครับ เว้นก็แต่ตอนม.1 ที่ผมอยู่ห้องแจ๊ค เพราะว่าคิดว่าสอบไม่ติดเลยไม่ได้อ่านหนังสือสอบคัดห้อง โรงเรียนผมจะใช้เกรดเฉลี่ยคัดแค่ 4 ห้องจาก 14 ห้องครับ นอกนั้นที่เหลือจะคละกัน แต่ว่าจะขึ้นกับวิชาเลือกด้วย อย่างเช่น กลุ่มห้องวิทย์เสริม ห้องอังกฤษเสริม ห้องเกษตร เป็นต้น ส่วนตัวแล้วผมชอบให้คัดห้องส่วนนึงนะครับ เพราะว่าเวลาเรียนมันรู้สึกว่าไปได้เร็วกว่า แล้วก็ไม่ต้องรอด้วยครับ ส่วนใหญ่แล้วถ้าใครเรียนตามไม่ทัน เพื่อนๆก็จะช่วยกันอยู่แล้วครับ แต่ถามว่าชอบบรรยากาศในห้องมั้ย อันนี้ผมไม่ค่อยชอบครับ เพราะห้องคิงค่อนข้างเครียดนะผมว่า (เพื่อนๆในห้องคิงรุ่นผม มีทั้งที่หนึ่งทุนคิง ที่หนึ่งเอนทรานซ์ เหรียญทองโอลิมปิกวิชาการอย่างนี้ -_-") ส่วนม.ปลาย ผมย้ายไปเรียนแถวศาลายา มีทั้งหมด 10 ห้อง อันนี้เป็นคละของจริงครับ แต่เด็กทุกคนเก่งกันหมด แต่ละห้องจะมีคนเก่งหลายๆวิชาคละกันอยู่ แต่รุ่นผมพิเศษหน่อยเป็นรุ่นเดียวที่มีแยกห้องคิงคณิต ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ อังกฤษ ออกชัดเจนตอนจะขึ้นม.5 ครับ ส่วนคนที่ไม่ได้ตามที่เลือกจะไปอยู่ห้อง MI ที่มาจาก multiple intelligence (จริงๆมันก็คือห้องจับฉ่ายนี่เอง ซึ่งผมก็อยู่) แต่เชื่อเหอะครับ ระบบนี้ไม่เวิร์คแน่นอนครับ เพราะว่าเอาเข้าจริงแล้ว เด็กทุกคนในห้องก็ยังเก่งไม่เท่ากันเลย ขนาดอยู่ห้องคิงในวิชานั้นๆ แล้วแต่ละคนยังสนใจที่จะเรียนรู้ไม่เท่ากันอีก อย่างเพิ่มผมอยู่ห้องคิงฟิสิกส์ พี่แกจะสนใจแต่ฟิสิกส์ (ถึงขั้น crazy จน เป็นตัวแทนประเทศไปแข่งฟิสิกส์โอลิมปิก แต่ถ้าเป็นเคมีกับชีวะ โดยเฉพาะชีวะนี่พี่แกทิ้งเลยไม่จับ) ขณะที่คนอื่นไม่ได้ถึงขั้นนั้นแค่ชอบเรียนฟิสิกส์เฉยๆ แต่ไม่ได้อยากจะไปรู้เยอะอะไรมากมายขนาดนั้น มันก็เกิดปัญหากับทั้งเด็กและคนสอนอยู่ดีครับ เพราะว่าพวกที่เก่งมากๆ ถ้ามาเรียนอะไรที่ตัวเองรู้แล้วก็พาลเบื่อ ไม่ตั้งใจเรียน (แต่โรงเรียนผมอาศัยนั่งหลับในคาบกัน อาจารย์บางคนก็ไม่ว่าไรครับตราบใดที่ไม่รบกวนเพื่อน) =================== ตอบจขกท นะครับ เรื่องเพื่อนถ้าอยู่ไปด้วยกัน 3 ปียังไงเด๋วก็สนิทกันครับ ไม่ต้องกังวลอะไร ขณะที่กลุ่มเพื่อนเก่าเอง ถ้าไม่ย้ายโรงเรียน อย่างไรก็ต้องเจอกันอยู่แล้วครับ ถ้าจะเอาเรื่องนี้มาอ้างผมออกจะไม่ค่อยเห็นด้วยครับ ยิ่งห้องเรียนมีอยู่แค่ 5 ห้องมันจะไม่รู้จักเพื่อนข้ามห้องกันเลยหรือครับ ปกติแล้วม.ต้นส่วนใหญ่ก็ย้ายห้องกันตลอดนะครับ จะมีก็แค่ม.ปลายที่ส่วนใหญ่แล้วจะอยู่ห้องเดียวกันตลอดสามปี แต่ผมเข้าใจนะ สมัยผมยังเด็กก็ค่อนข้างติดเพื่อนเหมือนกัน แม้ตัวจะอยู่ห้องคิง แต่ก็ไปหากลุ่มเพื่อนสนิทสมัยที่เรียนห้องแจ๊คด้วยกันตลอด แต่ในส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับร.ร. เนื่องจากมีแค่ 5 ห้องซึ่งถ้าจะคัดเด็กก็ควรคัดแค่ห้องคิงกับควีนพอ   ส่วนสามห้องที่เหลือควรจะคละกันไปเพราะว่า อย่างที่จขกท. บอกเองว่าเด็กแต่ละคนเก่งไม่เหมือนกัน ซึ่งใจจุดตรงนี้ผมเห็นด้วย ซึ่งตรงนี้จะได้มีคนคอยช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ครับ ส่วนที่ผ.อ. พูดมา จุดนี้ไม่สามารถพูดอะไรได้ครับ เพราะไม่ทราบข้อเท็จจริง แต่ฟังจากที่เล่ามา ผ.อ.ตอบคำถามได้ไม่เหมาะสมกับวัยวุฒิและคุณวุฒิที่มีอยู่ครับ จากคุณ : เฉาก๊วยกะบ๊วยเค็ม - -" เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 21:29:33

ความคิดเห็นที่ 12 เกรดก็เป็นส่วนหนึ่งในการตัดสินใจแต่ไม่ควรจะเป็นทั้งหมดครับ อย่างเช่นถ้ามีสัก 5 ห้อง อาจจะให้ห้อง 1-3 เฉลี่ยกันระหว่างเด็กเก่งกับปานกลาง กระจายกันไปให้สมดุล ส่วนเด็กที่เรียนตามไม่ทันกับเด็กกลางๆบางส่วนก็แบ่งๆกันไประหว่างห้องสี่กับห้า ผมไม่สนับสนุนการแบ่งเด็กตามเกรดแบบตายตัว (เพราะมันน่าจะมีผลเสียต่อเด็กมากกว่าผลดี) แต่การแบ่งเด็กตามเกรดแบบอ่อนๆเนี่ยเป็นผลดีต่อการจัดการเรียนการสอนครับ แต่เรื่องแยกเด็กที่สนิทกันนี่ผมเห็นด้วยนะ มันต้องก็ต้องแยกกันบ้างเพื่อเพิ่มทักษะทางสังคม จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 21:39:35

ความคิดเห็นที่ 13 คห.12 การจัดแบบนั้น มันทำได้เฉพาะเมื่อแยกแผนการเรียนแล้วสิครับ เพราะจำนวนเด็กต่อแผนจะน้อยลงหากเทียบกับการแบ่งก่อนจัดแผนการเรียน ถ้าสมมติว่าช่วง ม.ต้นมี 15 ห้อง เอาผลการสอบจัดลำดับห้องมาดู ก็คงจะพบช่วงชั้นคะแนนที่สูงสุดไปจนต่ำสุดที่ห่างกันมากๆ หรือจะแบ่งเป็น League แบบฟุตบอลดีครับ แต่แบบนั้นก็ต้องทำให้ห้องเป็นจำนวนที่ช่วงชั้นต้องไม่ห่างเกินไป เพราะไม่งั้นครูจะปวดหัวเรื่องเด็กเก่งกับเด็กอ่อนมารวมกันอีก แล้วก็จะเกิดปัญหาแบบที่ผมยก ตย. มาแล้ว แบ่งช่วงละ 3 ห้องนี่กำลังดีครับเพราะช่วงชั้นคงไม่ต่างกันมาก  แต่ถ้าเกิดว่ารุ่นไหนไม่สามารถแบ่งที่ 3 ได้ลงตััวละ? จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 21:50:14

ความคิดเห็นที่ 14 น่าจะเป็น รร สาธิตที่ลพบุรี ลุกชายแค่พูดว่าแน่จริงให้สอบคัดเลือกห้องไม่ใช่ เอาคะแนนพิศวาส คะแนนรวมจากเกรด มาตัด แค่นั้นเอง แล้วก็ไม่บ่นอะไร อยู่ห้องไหน ถ้าเราตั้งใจเรียน ก็จะผ่านไปได้ แต่คุณครูล่ะ ใครอยากสอนเด็กห้องสุดท้ายบ้าง จากคุณ : naporn เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 21:51:47

ความคิดเห็นที่ 15 อ้างอิง คห.10 อันนี้ความคิดของเด็กนะคะ น้องเขาให้ จขกท ช่วยโพสเนื่องจากไม่มี account ("แต่มันก็ยากสำหรับนักเรียนชั้นม.3 ในเรื่องการปรับตัวและเรื่องเรียนนะคะ อย่างที่คุณพูดก็ถูก แต่ ณ ขณะนี้คือม.3 ไงคะ ทั้งห้องเริ่มปรับตัวกันตั้งแต่ ม.1 และ ม.2 แล้ว ได้รู้จักกันมากขึ้น รู้ว่าใครเก่งอะไร ไม่เก่งอะไร ซึ่งนั่นแหล่ะค่ะ มันเหมือนเป็นจุดเติมเต็มซึ่งกันและกัน โดยส่วยตัวเป็นคนที่ค่อนข้างถนัดวิชาอังกฤษ และอื่นๆที่ค่อนข้างไปทางสายศิลป์ แต่พอพูดถึงวิทย์หรือคณิตก็ต้องพึ่งเพื่อน") จากคุณ : กองกำลังแอบซุ่ม เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 22:01:12

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าแบ่งไม่ลงตัวก็พยายามให้ใกล้เคียงที่สุด อาจารย์คงไม่ถึงกับจนตรอกหรอกครับ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 22:07:30

ความคิดเห็นที่ 18 โรงเรียนดัง ๆ ในกทม.เช่นฌรงเรียนเตรียมอุมดมศึกษาเค้าก็ทำกันแบบนี้นะครับไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรกันเลย จริง ๆ การจัดลำดับห้องเป็นเรื่องสำคัญอยู่แล้ว มองในแง่ดีเพื่อนให้ห้องที่เฉลี่ยต่ำกว่ามีความกระตือรือร้นที่จะเลื่อนห้องเรียน มันมีการแข่งขันสูงแล้วคนไม่ถามตัวเองหน่อยหรอว่า ในชั้นเรียนเก่าของคุณก็มีการแข่งขันอยู่เช่นกัน (?) อีกอย่างเราเข้าใจความรู้สึกคุณนะ เพราะว่าคุณยังไม่เคยชินกับการจัดการเรียนการสอนแบบนี้ ถ้าคุณเพิ่งเข้ามาศึกษาใหม่คุณจะมีความเคยชินไปเอง แต่ถ้าไม่เริ่มกับรุ่นพวกคุณแล้วจะเริ่มกับรุ่นใคร ? ถือว่าได้ทำบุญให้กับรุ่นน้องรุ่นอื่น ๆ ด้วยก็ดีนะครับ ^________^ จากคุณ : สู้เสมอ! (o o k u !) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 22:18:46

ความคิดเห็นที่ 19 ^ ^ เตรียมทำได้เพราะว่าเด็กที่เข้าไปแต่ละคน ฐานไม่ต่างกันมากเกินไปครับ อีกอย่างเตรียมก็ไม่ได้ใช้เกรดคัดหมดทุกห้องนิครับ มีแต่ห้องหลักๆ แล้วก็อีกอย่างห้องของเตรียมมันไปขึ้นกับวิชาเลือกอีกทีนึง นอกเหนือจากแผนการเรียน แต่สำหรับโรงเรียนที่ห้องเรียนแค่ 5 ห้องแบบของน้องเค้า ผมว่าคัดแค่ห้องคิงกับควีนพอครับ ที่เหลือคือคละจะดีกว่า "มองในแง่ดีเพื่อนให้ห้องที่เฉลี่ยต่ำกว่ามีความกระตือรือร้นที่จะเลื่อนห้องเรียน" เป็นไปได้ยากครับ ส่วนใหญ่คนที่จะแข่งก็คือ พื้นฐานต้องดีในระดับนึงอยู่แล้ว ผมยังไม่เคยเจอเด็กห้องท้ายแข่งเลื่อนห้องนะ อีกอย่างนึงจากการอยู่ห้องคิงมาเกือบตลอดตั้งแต่ประถมยันม.ต้น (ม.ปลายไม่มีคัดห้อง) ยืนยันได้เลยครับว่ายากที่นักเรียนห้องอื่นจะแทรกเข้ามาได้ ถ้าเด็กห้องคิงไม่หลุดไปเอง เพราะอาจารย์จะค่อนข้างสอนอัดให้ห้องคิงเป็นพิเศษเลยครับ จากคุณ : เฉาก๊วยกะบ๊วยเค็ม - -" เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 22:39:26

ความคิดเห็นที่ 20 ^ ^ งั้นก็หนักใจสำหรับเด็กนักเรียนโรงเรียนนี้แล้วละครับ ถ้าคนจำนวนมากอยากเปลี่ยนเป็นระบบเดิม แนะนำให้แสดงความคิดเห็นต่อคณะผู้บริหาร เชื่อว่าถ้ามีเด็กนักเรียนเห็นด้วยจำนวนมาก คงเป็นการบ้นของผู้บริหารแล้วล่ะครับ ^________________^ จากคุณ : สู้เสมอ! (o o k u !) เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 22:43:03

ความคิดเห็นที่ 21 อันนี้แชร์จากประสบการณ์ส่วนตัวนะคะ ตอนเรียนมัธยมก็มีการแบ่งห้องตามเกรดเช่นกันค่ะ แต่จะคัดแค่ห้องคิงกับห้องควีน ที่เหลือคละกันหมด ถามว่าอาจารย์สอนต่างกันมั้ย มันก็มีบ้างค่ะ แต่ความใส่ใจน่าจะต่างกันพอสมควร ห้องคิงกับควีน ครูจะป้อนเนื้อหาเยอะมากกว่าห้องอื่นๆ ส่วนห้องรองไป ครูจะไม่ค่อยสนใจมาก จะเรียนหรือไม่เรียนก็แล้วแต่ตัวคุณเอง จึงเห็นเด็กหนีเรียนค่อนข้างบ่อย ต่อมาจึงมีการคละห้องใหม่โดยเอาเด็กทั้งหมดมาจับคละเลยโดยไม่ได้เอาเกรดมาตัดสิน กลายเป็นว่า ครูสอนยากมาก เด็กที่หัวไปได้เร็วจะเข้าใจง่าย แต่เด็กที่ยังไม่เข้าใจต้องสอนแบบจี้เป็นรายๆไป กลายเป็นว่าสอนช้ามาก เหมือนดึงกันไปดึงกันมา สุดท้ายมีผลต่อการเอนท์เข้ามหาวิทยาลัยค่ะ ปีนั้นเอ็นท์ติดที่ดีๆค่อนข้างน้อย จึงปรับมาเป็นแบบเดิมอีก การเรียนการสอนดีขึ้น แต่เด็กที่เคยอยู่ห้องอ่อนแต่เรียนเก่งในห้องถูกดึงขึ้นมา เด็กกลุ่มนี้จะพยายามลดเกรดลงเพื่อกลับไปหาเพื่อนค่ะ เลยไม่รู้ว่าการจัดห้องใหม่ทุกปีมีผลดีหรือเปล่า หรือจัดตั้งแต่ก่อนเข้าม.1และม.4แล้วต่อไปจนจบเลยมีผลดีมากกว่ากัน ตอบจขกท.นะคะ พี่คิดว่าการจัดห้องตามเกรดจะมีผลต่อการเรียนการสอนค่ะ น่าจะเป็นไปในทางที่ดีมากกว่าไม่ดี แต่เท่าที่อ่านเหมือนน้องถูกกระจายกลุ่มเพื่อนออกไปห้องอื่นหรือเปล่า อันนี้ต้องทำใจนะคะ พี่เข้าใจว่าถ้าเพื่อนในห้องเป็นเพื่อนที่เราสนิท บรรยากาศการเรียนมันจะดีขึ้นมาก แต่ถ้าจัดแบบนี้ จะช่วยให้เด็กตั้งใจเรียนมากขึ้น เพื่อเกาะกับเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดิมให้ได้ ถ้ามองในแง่ดี อาจจะทำให้เราได้เพื่อนเพิ่มขึ้นนะคะ แต่ที่พี่ไม่ชอบเลยคือ คำพูดจากผอ.โรงเรียนค่ะ ไม่ว่าคุณจะใหญ่ขนาดไหน คุณก็ควรรับฟังสิ่งที่เด็กอยากจะบอกบ้าง แล้วชี้แจงเหตุผลเป็นข้อๆไป ถ้าไม่มีเด็กกลุ่มนี้ในโรงเรียน คุณอาจจะไม่มีงานทำก็ได้นะคะ อยู่ด้วยกันแบบครอบครัวน่าจะดีกว่าค่ะ จากคุณ : แก้วเดือนเก้า เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 22:46:40

ความคิดเห็นที่ 22 โรงเรียนที่เราอยู่นี่เปลี่ยนห้องกันทุกปีเลยค่ะ นัยว่าอยากให้นักเรียนรู้จักกันทั่วๆ เราก็เลยไม่เห็นปัญหาของการต้องแยกจากเพื่อน -_-" ส่วนเรื่องจัดเกรดก็มีแค่ห้องคิง ที่เหลือก็คละๆ กันไป จากคุณ : ทินา เขียนเมื่อ : 20 พ.ค. 54 23:29:19

ความคิดเห็นที่ 23 ไม่เห็นด้วยอย่างแรง ในการแบ่งเกรดเด็กเป็นห้องๆ เพราะเป็นการแบ่งแยก เด็กนักเรียนไม่ใช่สินค้า ไม่ใช่ผักปลา จะได้มาคัดเกรดขายกัน เด็กควรจะอยู่ในสภาพสังคมจริง คละเคล้ากันไปเหมือนคนรวยอยู่ปนเปกับคนจน ไม่ใช่แบ่งแยก สังคมจะได้อยู่แบบกลมเกลียว ช่วยเหลือกัน เด็กเก่งควรอยู่รวมๆคละไปกับเด็กอ่อนจะได้ช่วยเหลือกัน สังคมจะมีเยื่อใยจากน้ำใจของสมาชิก เรื่องหอคอยงาช้าง เรื่องแบ่งสีจะได้ไม่เกิดขึ้น แม้ว่าเราจะไม่ใช่เด็กอันดับหนึ่งของห้อง แต่พอพวกเก่งๆเขาสอบเทียบไปได้ เราก็รู้สึกภูมิใจที่มีส่วนช่วยเพื่อนๆที่อ่อนกว่าเรา เรารู้สึกอบอุ่นและมีความสุขในการได้เป็นส่วนหนึ่งในสังคมที่ไม่ใช่อุดมด้วยคนหัวกะทิ มันเป็นไปตามสภาพสังคมที่เป็นจริง อย่างที่ควรจะเป็น จากคุณ : คนใจร้ายหมายดี เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 00:03:22 A:49.49.110.195 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 24 การแบ่งนักเรียนตามเกรดตามคะแนนสอบเป็นความล้มเหลวอย่างมหันต์ของระบบการศึกษา เป็นการปลูกฝังการให้คุณค่าแก่ชนชั้นนำ (elite) มากกว่าคนอื่น ทำลายศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ที่ทุกคนควรจะมีอย่างเสมอกันและไม่เลือกปฏิบัติ และทำให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นฝังรากลึกอย่างที่ยากจะจินตนาการได้ จากประสบการณ์ส่วนตัว ผมเป็นนักเรียนห้องหนึ่ง (ห้องที่คะแนนสอบเข้ามากสุด) ตอนมัธยมฯต้น ห้องผมจะได้สิทธิพิเศษในกิจกรรมและกิจการทุกๆอย่างของโรงเรียน เช่น เวลาโรงเรียนสร้างห้องคอมพิวเตอร์ใหม่ เอาคอมพิวเตอร์ใหม่ๆมาลง ห้องผมจะได้ใช้ก่อนห้องอื่น เวลาโรงเรียนสร้างห้องเรียนสีเขียว (ห้องเรียนอนุรักษ์พลังงาน) ที่เปิดแอร์ตลอดเวลา ห้องผมก็จะได้สิทธิพิเศษทำกิจกรรมที่ห้องนี้เสมอๆ เวลาโรงเรียนมีทัศนศึกษาตากอากาศ ห้องผมรวมถึงอีกสองห้อง (รวมสามห้องแรก) เท่านั้น ที่มีสิทธิเข้าร่วม เวลานักเรียนห้องผมทำผิดกฎโรงเรียน ก็จะได้รับยกเว้นโทษเสมอๆ ขณะที่ห้องอื่นต้องโดนลงโทษเต็มที่ ฯลฯ ตอนนั้นผมไม่ได้สะกิดใจแม้แต่น้อยว่าเพื่อนห้องอื่นเขาคิดกันอย่างไร เพียงแต่รู้สึกได้ว่า นักเรียนในห้องผมมักจะคบค้ากันเองเท่านั้น (ผมด้วย) อย่างมากก็คบกับห้องสองและสาม ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า สิ่งที่พวกเราเป็นตอนนั้นคือ "ที่น่ารังเกียจ" ของคนอื่น เหมือนกับเราเองตอนนี้ที่รังเกียจพวกที่ได้สิทธิพิเศษเหนือชาวบ้านในสังคม จากคุณ : เว็บโลกสวย เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 00:25:26 A:140.119.202.18 X: TicketID:317875

ความคิดเห็นที่ 25 <img src จากคุณ : Pin (Pinkspu) เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 02:34:38

ความคิดเห็นที่ 26 สมัยผมเรียน ประถม มี 5 ห้องครับ ป. 5 เริ่มจัดห้องเรียงตามเกรด ป.4 พอ ป.6 ก็จัดห้องใหม่อีกที ตามเกรด ป.5 ก็ไม่มีปัญหานะ แต่เด็กห้อง 1 ก็สอบเข้า ม.1 รร.ดังของรัฐได้มากกว่าห้อง 5 อยู่แล้ว แต่ก้ใช่ว่าเด็ก ห้อง 5 จะสอบเข้าไม่ได้เลย ความเข้มข้นในการสอนต่างกัน แต่ก็ขึ้นอยู่กับตัวเด็กเองที่รักดี ตั้งใจเรียนแค่ไหนมากกว่า จากคุณ : หอบหืด เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 11:45:49

ความคิดเห็นที่ 27 จัดเกรดก็มีแค่ห้องคิง ที่เหลือก็คละๆ กันไป ของคุณทินา ก็น่าสนใจนะคะ จากคุณ : ปุยปุย เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 11:54:58

ความคิดเห็นที่ 28 รร.เก่าเรา จัดตามสายที่เรียน อย่าง คณิต วิทย์. คณิต สังคม . คณิต อังกฤษ มันจะมีทั้งเด็กเก่ง เด็กอ่อนคละกันไป พวกที่รู้ตัวว่าไม่เก่งบางวิชา เช่น คณิต ก้ไปเรียนสายที่ไม่ต้องเรียนคณิตศาสตร์ ลองคิดสิ ถ้าจัดห้อง ตามเกรด แต่บทเรียนคล้ายๆ กัน เด็กเกรดต่ำมันก็สอบตกกันยกห้อง เพราะไม่มีเด็กเรียนเก่งคอยช่วย หรือกระตุ้นให้ขยันเรียนมากขึ้น ตอนเราเรียน ม.สาม ชอบย้ายที่นั่นบ่อย ตอนย้ายไปนั่งกับคนขยัน เรียนดี เราก็สอบได้เกรดดีขึ้น เมื่อไรย้ายไปนั่งกับเด็กอ่อน สอบตกประจำ เราตกตามเขาไปด้วย เพราะมันโง่เหมือนกัน ไม่ได้ช่วยกันฉุดขึ้นเลย จากคุณ : tormay เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 14:19:46

ความคิดเห็นที่ 29 คห 25 What does that code mean? img src? I wish to know. จากคุณ : คนใจร้ายหมายดี เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 14:40:54 A:49.49.110.195 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 30 สำหรับผมรู้สึกเฉยๆ กับการแบ่งห้องตามเกรดอะไรพวกนี้นะ อาจจะเพราะผมเรียนมัธยมมาในสายที่ไม่ใช่วิทย์(หรือเปล่า) ขอเล่าประสบการณ์ (นานมาก) พ่อรับราชการ ตอนประถมก็ย้าย3โรงเรียน แต่ไม่ค่อยสนใจให้อยู่ห้องไหนก็อยู่ครับ ผมเริ่มเรียนม.1 ในโรงเรียนA (ซึ่งเป็นโรงเรียนในจังหวัดเดียวกับที่จบป.6) เท่าที่จำได้โรงเรียนนี้แบ่งห้องตามคะแนนสอบเข้า ผมอยู่ห้อง ม.1/1 พอม.1 เทอม2 ผมย้ายตามพ่อไปอีกจังหวัด ที่โรงเรียนใหม่ (โรงเรียนB) มีการแบ่งห้องตามสาขาวิชาเลือก เช่น ห้อง1 เกษตร ห้อง2ดนตรี ห้อง3พละศึกษา ห้อง 4ศิลปะ ห้อง5วิทยาศาสตร์ ห้อง6 ฯลฯ ประมาณนี้นะครับ เล่นเอาผมงงเลย เพราะต้องเลือกว่าเราสนใจจะเข้าวิชาเลือกไหน ผมอยู่ม.1นะครับ เพิ่งจบประถมมาไม่กี่เดือนเอง ยังไม่รู้หรอกว่าตัวเองชอบอะไร หรือไม่ชอบอะไร ก็รู้ว่าถ้าถึงม.ปลาย คงเลือกสายศิลป์ภาษาหรือคณิต คงไม่ไปทางวิทย์แน่ๆ ดนตรีก็พอเล่นได้ กีฬาก็สนใจ(แต่คงไม่ขนาดเลือกพลแน่ๆ) ก็เลยเลือกศิลปะ ไปอย่างงงๆ เลยได้อยู่ม.1/4 ก็มีวิชาวาดเส้นวาดรูป สานกระเป๋า ทำงานไม้ มาเป็นการบ้านค่อนข้างเยอะ 555 (ไม่ช่าย มันไม่ช่าย) เรียนไปได้ปีกว่าๆ พ่อผมย้ายอีกแล้วไปจังหวัดที่3 ผมเข้ามัธยม2 กลางเทอมปลาย (ชีวิตวัยเด็กครอบครัวผมช่างสนุกสนาน ดีที่พ่อแม่ส่งพี่สาวไปอยู่รร.ประจำตั้งแต่ม.1) ที่โรงเรียนC นี้ เขามีแบ่งห้องสายวิทย์แบบที่เรียกว่าห้องคิงอยู่3 ห้อง / สายศิลป์คณิตเป็นห้อง4-5 / ธุรกิจห้อง 6 / ส่วนห้อง 7 8 9 10 เป็นห้องรวมมิตรวิชาชีพ มีทั้งเกษตร พละ ศิลปะ === ครับ จากโรงเรียนเดิมที่เลือกมาแบบนั้น ผมเลยถูกส่งไปอยู่ห้อง ม.2/10 ซึ่งเป็นห้องรวมดาว มีนักเรียน30 กว่าคน เป็นหญิงเพียง 3 คน แรกๆผมถึงกับเครียดเลย ขนาดผมย้ายโรงเรียนบ่อยเรื่องการปรับตัวกับเพื่อนใหม่ผมชิวๆมาก แต่มาเจอการเรียนการสอนให้เด็กห้อง10 แบบนี้ - วิชาเลขยากเกินไป เพื่อนๆในห้องมีหนังสือเลขรวมกันไม่ถึง 5 เล่มมั๊ง - วิชาที่เป็นครูผู้หญิง ถ้าเลี่ยงได้เขาไม่เข้ามาสอน หรือมาก็แค่สั่งงาน เพราะพวกลิงจะแซวๆๆ จนร้องไห้ก็มี - นักเรียนหลายคนเป็นเด็กโข่ง อาจจบป.6 มาหลายปีแต่เพิ่งต่อมัธยม อายุ14 15 มีคนนึงอายุ 17! ผมจำได้ เรียกว่าเป็นห้องชายขอบอย่างแท้จริง ผมอาจจะโชคดีหน่อยที่ชอบอ่านหนังสือและมีทุนเดิมมาบ้าง พอสอบในเทอมนั้นผมได้เกรด 4 ทุกวิชา ยกเว้นวิชาพลศึกษา555 ผลก็คือ ผอ.และอาจารย์ เรียกให้ไปพบ บอกว่าขึ้นม.3 จะย้ายให้ไปอยู่ห้อง 4 ศิลป์คณิต เหตุผลคือผลการเรียนของผมไม่เหมาะกับห้องนั้น -??? - อ้าวก็ตอนแรกที่มาเข้าเรียน ผอ.นั่งยันว่า ผมมาทางวิชาเลือกศิลปะ ต้องไปห้องรวมมิตร ตามกฏกระทรวงศึกษา แล้วจะให้ไปอยู่ห้อง4ตอนนี้ได้ไง ผมเลยไม่ย้าย อยู่ห้อง10ก็สนุกดี มีเวลาเตะบอลเยอะ เล่นตะกร้อ หมากฮอส หมากรุก(ผมได้ทักษะกีฬามาจากห้อง10จนวันนี้) ไม่มีครูมาเคี่ยวเข็ญมากๆ 555 มีความสุขดีแท้ แต่พอมองดูเพื่อนในห้อง พวกเขาถูกปล่อยปละไปหรือเปล่า พอสนิทกันขึ้น ผมรู้ว่ามีบางคนก็ชอบวิชาเลข แต่ไม่รู้ไม่เข้าใจ บางคนสนใจภาษาอังกฤษเพราะที่บ้านทำรถมอไซค์ให้ฝรั่งเช่า(โรงเรียนนี้อยู่ในจังหวัดท่องเที่ยว) บางคนแอบๆมาถามการบ้านสังคมศึกษา มายืมหนังสือบ้านผมไปอ่าน ที่ต้องแอบเพราะกลัวเพื่อนๆจะว่าเป็นเด็กเรียน อาย ต้องแอ๊บเถื่อนทะโมนถึงจะสมกับอยู่ห้อง10 แต่ผมเป็นเด็กใหม่ไม่ต้องแอ๊บ หลายๆครั้งก็ช่วยสอนการบ้านให้ บอกตามตรงว่าเพื่อนๆโอเคกับผมมาก เวลาไปตลาด บางคนช่วยครอบครัวขนผัก ขายของ ผมไปกับแม่ ได้ของจากร้านเพื่อนจนเกรงใจ เขาบอกพ่อแม่เขาว่า คนนี้สอนการบ้านให้ หลายคนไม่ได้เรียนหนังสืออย่างเดียวเหมือนผม เด็กม.2 นะครับ บางคนถีบสามล้อ ทำไร่ ออกเรือหาปลา กลางคืนไปชกมวย (ผมยังเคยไปเชียร์ตอนค่ำด้วย) จนม.3เทอม2 พ่อผมกลัวว่าจะเข้า.4ลำบาก เพราะวางแผนจะส่งผมเข้าเรียนประจำในกรุงเทพแล้ว(กระแตงลูกย้ายกันไปจนม.ปลายคงไม่ไหว555) เลยขอร้องให้ผมไปอยู่ห้อง4 ตามที่ผอ.เสนอมา ผมเลยต้องจากเพื่อนๆห้อง10 ที่น่ารักของผม (ดราม่าจริงๆ) ไปอยู่ห้อง4 แค่เทอมเดียวผมก็ตั้งใจเรียนเต็มที่ แต่ก็ยังไปมาหาสู่เตะบอลกับเพื่อนห้อง10 อีกอย่างคือ ผมค่อนข้างจะเป็นคนดังในโรงเรียนนี้ ก็ย่อมมีคนหมั่นไส้พอสมควร เช่นพวกม.4 แต่ถ้าใครมาแหยมผม เพื่อนห้อง10 ที่มี30 คนก็พร้อมจะมาเคลียร์ทันที (555 ดราม่าสุดๆ) นี่แหล่ะครับประสบการณ์เรื่องการแบ่งห้องเรียน แชร์จากเรื่องจริง สุข เศร้า เคล้าน้ำตา ผู้ใหญ่ทั้งนั้น ที่ทำ ที่คิดแทนเด็ก หวังว่าคงมีประโยชน์กับ จขกท. นะครับ จากคุณ : The River เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 15:04:58 A:124.120.16.32 X: TicketID:289290

ความคิดเห็นที่ 31 อิจฉาความเห็นที่ ๓๐ หุหุ เรามีแต่เพื่อนเด็กเรียน เป็นพวกคนในเมืองที่พ่อแม่ทะนุถนอม ไม่เคยทำงานลำบาก เดี๋ยวนี้กลายเป็นพวกอนุรักษนิยมจ๋ากันหมด ชอบดูถูกคนจน ไม่ไหวจะเคลียร์ จากคุณ : เว็บโลกสวย เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 18:03:50 A:140.119.202.18 X: TicketID:317875

ความคิดเห็นที่ 32 พวกอนุรักษนิยม หรือนิยมอนุรักษ์ หุหุ ล้อเล่นแก้เครียดนะครับ อันที่จริงพวกอนุรักษยิยมนี่ไม่จำเป็นต้องดูถูกคนจนเสมอไปหรอกนะครับ ในแต่ตัวเราเป็นทั้งหัวแหวกแหกกฏ และเป็นทั้งอนุรักษ์นิยมอยู่ในตัว ผสมผเสปนเปกันไป ขึ้นอยู่กับเรื่อง ขึ้นอยู่กับประเด็น และเราไม่เคยดูถุกคนจน เพราะเราก็เคยจนมาก่อน และต้องขอบคุณความจนที่ทำให้เราเป็นคนติดดิน ไม่สุรุ่ยสุ่ร่าย ใช้จ่ายแต่ละทีต้องระมัดระวัง จากคุณ : คนใจร้ายหมายดี เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 19:29:53 A:49.49.110.195 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 33 ไม่ได้อ่านความคิดบนๆ  แต่เอาความเห็นตัวเอง มันขึ้นกับบริบทของโรงเรียนด้วยว่า จัดครูไปดูแลเด็กแต่ละห้องอย่างไร อย่างผมเอง เรียนในโรงเรียนที่มีการจัดห้องเด็กตามผลการเรียนมาตลอด ผมเองก็มีผลการเรียนขึ้นๆลงๆ ตามประสาเด็กๆทั่วๆไป ตัวผมเห็นด้วย กับระบบการจัดห้องเด็กตามผลการเรียนครับ ด้วยเหตุผลว่า เด็กห้องเรียนดี ก็จะได้รับการดูแลในแบบที่เด็กเรียนดีสมควรได้รับคือ ทำให้เขาเก่งขึ้นเรื่อยๆ คือ ไม่ช้าไป ไม่ง่ายไป ส่วนห้องเด็กที่เรียนอ่อน อาจารย์ที่ได้รับการจัดมาสอนห้องนี้ ก็จะเป็นอาจารย์ที่ ให้เวลากับนักเรียนเยอะมาก คือ ค่อยๆสอนให้เด็กเข้าใจ อธิบายง่ายๆ ให้การบ้านง่ายๆ ไม่สอนเร็วเกินไป แล้วก็คอยให้กำลังใจ ทำให้ผลการเรียนนักเรียนโดยรวมดีขึ้น ในความเห็นผม  ถ้าสามารถจัดอาจารย์หรือครูให้เหมาะสมกับนักเรียนได้จริงๆ เห็นด้วยกับวิธีนี้ครับ  เพราะขนาดผมเรียนห้องท้ายๆ มาเป็นส่วนใหญ่ของชีวิตการเรียน ผมยังสอบเอนท์ติดในคณะและสถาบันที่ใช้ได้ครับ ทุกวันนี้ก็ทำงานเป็นอาจารย์ในมหาลัย ก็เอาสไตล์ครูที่สอนสมัยเด็กๆ มาใช้ในมหาลัย จากคุณ : Fred_Flintstone เขียนเมื่อ : 21 พ.ค. 54 22:14:46

ความคิดเห็นที่ 34 ขนาดเรียนกวดวิชายังมีการแบ่งคอร์สเรียนเลยค่ะ มีโรงเรียนนึง ห้องเก่งสุดคือห้อง 5 จากคุณ : ม่านบาหลี เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 54 08:42:27

ความคิดเห็นที่ 35 หนูเป็นนักเรียนคนหนึ่งในโรงเรียนที่ จขกท. เอ่ยมา ถ้าอ่านจากเนื้อหาในกระทู้นี้แล้ว หนูคิดว่ากล่าวมาได้ไม่ครบเลยค่ะ.. โรงเรียนแห่งนี้ก่อตั้งมาค่อนข้างนาน ปัจจุบันเป็นนักเรียนรุ่นที่ 33 แล้ว ซึ่งแต่ก่อนที่นี่จะมีแต่เด็กที่ค่อนข้างหัวกะทิ เพราะเป็นโรงเรียนประจำจังหวัดอีกด้วย ภายหลังเริ่มมีการมีเส้นสาย ขยับขยายมากขึ้นเรื่อยๆ เด็กที่เกณฑ์การเรียนค่อนข้างต่ำแต่ฐานะดีก็ยัดเงินเข้ามาแบบสบายๆ ซึ่งแน่นอนว่าเบียดเก้าอี้เด็กที่สอบเข้ามาค่อนข้างมากทีเดียวค่ะ ทำให้ผอ.โรงเรียนที่พึ่งเปลี่ยนใหม่มาหมาดๆ เริ่มออกมาพูดถึงสภาพโรงเรียนที่ค่อนข้างต่ำลง เพราะเริ่มมีผู้คนส่วนใหญ่ในภายนอกนำไปพูดถึงในทางเสียๆ หายๆค่อนข้างมากทีเดียว ตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้วโรงเรียนแห่งนี้มีการสอบเข้าและแข่งขันอย่างสูงมาก และเมื่อสอบเข้ามาแล้ว ก็มีการเรียนปรับพื้นฐานเพื่อให้เด็กแต่ละคนมีฐานความรู้แน่นและเท่ากัน หลังจากปรับพื้นฐานได้ประมาณ 2 อาทิตย์ก็มีการสอบ ซึ่งเป็นที่ยอมรับและเข้าใจตรงกันมารุ่นสู่รุ่นว่า เป็นการ "คัดห้อง" ซึ่งทุกคนทำเต็มที่และทุ่มเทกับการสอบครั้งนี้มาก เมื่อเปิดเทอมก็จะได้รู้ว่าได้ห้องไหน ก็มีคิง ควีน แจ็ค และ 2 ห้องสุดท้ายที่ค่อนข้างแย่ แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายสะทีเดียว เพราะก็มีเด็กปะปนกันไปตามความสามารถในการสอบคัดห้องครั้งนั้น แน่นอนว่าเราอาจต้องแยกกับเพื่อนที่ปรับพื้นฐานมาแล้วสนิทกัน หรือเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเดียวกัน แต่ทุกคนต่างพบเพื่อนใหม่และเริ่มจับกลุ่มใหม่ๆ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับอะไรใหม่ๆมากขึ้น ในการสอบนี้ หนูสอบได้ในห้องแจ็ค ซึ่งเป็นห้องระดับกลางๆ ไม่ได้โดดเด่น แต่ก็ไม่ได้แย่สะทีเดียว บางคนในห้องเก่งกว่าเด็กห้องควีนก็มี เด็กห้องควีนบางคนเก่งกว่าห้องคิงก็มี แต่คะแนนเฉลี่ยรวมของแต่ละห้องก็เรียงกันไปแบบไม่เคยสลับตำแหน่งเลยสักครั้ง ซึ่งมาปีนี้ เป็นปีแรกที่มีการจัดห้องใหม่ หลังจากไม่เคยทำมาตลอดตั้งแต่รุ่นก่อนๆ ทำให้เกิดความขัดใจของนักเรียนเป็นอย่างมาก เพราะภายในห้องจะมีการเก็บเงินห้องไว้ใช้ภายใน 3 ปี มีชื่อคลับ มีการทำเสื้อห้อง กิจกรรมเยอะแยะมากมายแบบไม่ขาดสาย ความผูกพันธ์ ความรัก สิ่งต่างๆ ที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาต่างช่วยกันสร้าง ช่วยกันเยียวยา กว่าจะผ่านกันมาถึงตอนนี้ เป็นอะไรที่ลำบากพอตัว การเรียนว่าเหนื่อยแล้ว การสู้รบปรบมือกับเพื่อนในห้องเป็นอะไรที่เหนื่อยกว่า เรื่องต่างๆ เข้ามาทำให้เรารักกันมากขึ้น ต้องยอมรับเลยว่ามันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษ พอมาถึงเวลาย้ายห้อง หนูโดนจับรายชื่อมายัดในห้องคิง ซึ่งตอนแรกที่มีการปล่อยข่าวมาว่าจะย้ายห้อง หนูคิดว่าเป็นการนำเกรดเฉลี่ยมารีมิกซ์นักเรียนทั้งสายชั้น แล้วจัดใหม่ทั้งหมด แต่ป่าวเลย.. เขาใช้วิธีที่ว่า นักเรียนคนไหนคะแนนเด่น ชื่อก็จะโดดมาห้องคิง คนไหนคะแนนไม่ถึงตามที่เค้ากำหนด ก็ถูกนำชื่อยัดไว้ห้องท้ายๆ ซึ่งไม่มีการเรียงลำดับชื่อใหม่ตามตัวอักษร ตามชาย-หญิงอะไรทั้งนั้น เด็กห้องคิงอยู่แล้ว ถ้าเพื่อนเลขที่หน้าๆ หายไป ตัวเองก็จะร่นขึ้นมา เด็กห้องอื่นก็จะโดนจับชื่อมายัดเลขที่หลังๆ แบบนี้เรียกว่าทำแบบ "ชุ่ยๆ" ได้หรือเปล่าคะ ? พอมาอยู่ห้องใหม่ ยอมรับว่าหนูมีเพื่อนเยอะแทบทั้งสายชั้น แต่ในกลุ่มที่ค่อนข้างสนิทกัน ก็หายกันไปหมด แยกกันไปหมด เวลาจับกลุ่มทำงานในห้องใหม่ก็ไม่ค่อยลงตัว เพราะเด็กห้องคิงเก่าเค้ามีวิธีจับกลุ่มในแบบของเค้า เราก็เหมือนตัวเศษตลอด กิจกรรมยามว่างไม่เหมือนกัน ทรรศนคติ ทรรศนวิสัย ทุกอย่างแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง หนูอึดอัดมากที่ต้องนั่งเรียนในห้องเงียบๆ เพราะห้องเดิมมีการถามอาจารย์บ้างเล่นกับอาจารย์บ้างตลอดเวลา บอกตรงๆ ว่าไม่ชินเลยสักนิดเดียว อีกอย่างเด็กห้องคิงเรียนไปไวมาก พูดได้ว่าถึงแม้หนูจะหัวดีจริง แต่ไม่ชินกับการเรียนแบบนี้ของพวกเขา อาจเพราะเรียนกับห้องเดิมมาตลอดหลายปี ทำให้รู้สึกว่าเค้าไปเร็วกว่าเราก็เป็นได้ คนกลุ่มน้อยอย่างพวกหนูที่มาจากห้องอื่น สิทธิในการออกเสียงทำอะไรก็น้อย หลายๆ อย่างต้องบอกเลยว่ามันไม่ลงตัว กว่าจะสนิทกับอาจารย์ประจำชั้น หรือเพื่อนในห้องแต่ละคนทั้งชายหญิง เล่นหัวได้แบบไม่อายกัน กว่าจะสนิทขนาดนี้ผ่านอะไรด้วยกันมาก็มาก พอแยกกันก็รู้สึกเหงาแบบบอกไม่ถูกจริงๆ ค่ะ คงบอกได้แค่นี้ ทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนบุคคลล้วนๆ จากคุณ : popo เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 54 14:33:25 A:125.26.40.172 X: TicketID:318029

ความคิดเห็นที่ 36 การแบ่งห้องตามเกรด ในระยะยาวเป็นเรื่องที่เด็กมีแต่ได้กับได้ เพราะโรงเรียนจะได้จัดอาจารย์ที่มีสไตล์การสอนให้เหมาะกับเด็ก อาจารย์บางคนสอนตามหนังสือของกระทรวงศึกษา ซึ่งก็เหมาะกับเด็กอ่อน แต่เด็กเก่งจะมีสักกี่คนที่อ่านหนังสือของกระทรวงฯ เห็นใช้แต่คู่มือของสำนักพิมพ์ต่างๆที่วางขายกันอยู่ ซึ่งพวกนี้ โจทย์จะ apply มากกว่า คำอธิบายก็ไม่สั้นๆก็เข้าใจแล้ว ส่วนเรื่องเด็กห้องคิงจะต้องกดดันแข่งกันเรียน ไม่จริงหรอกครับ เด็กห้องคิง ปกติไม่ต้องแข่งขัน เขาก็ตั้งใจอ่านหนังสืออยู่แล้ว มีแต่ช่วยกันติว ช่วยกันเรียนมากกว่า เด็กห้องท้ายๆ ผมก็ไม่เคยเห็นว่า เขาจะรู้สึกว่าเสียใจอะไร เขาเรียนเท่าที่เขาทำได้ เขาก็จะไปถนัดในวิชาอื่นๆที่ห้องอื่นทำไม่ได้ เช่น งานช่าง ฯลฯ จริงๆการจัดห้องของม.ต้นกับม.ปลายจะต่างกัน เพราะม.ปลาย จะมีเรื่องของวิชาเลือกมาตัดสิน ไม่ใช่เกรดเพียงอย่างเดียว เช่น เด็กเก่งๆสุดๆอาจจะไม่ได้อยู่ห้องคิง ถ้าเขาเลือกวิชาเลือกเป็นวิชาฝรั่งเศส เพราะห้องคิงเขาจะเลือกวิชาเลือกเป็นวิชาคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเตรียมอุดมฯจะเห็นได้ชัด คนที่บอกว่า สอบติดเตรียม แต่สอบติดห้องสาธารณสุข อาจจะเก่งสู้คนสอบไม่ติดเตรียมฯ แต่เลือกห้องวิทย์-คณิตเลยก็ได้ เนื่องจากการแข่งขังสูงกว่าเยอะ ดังนั้น ม.ปลายห้องคิง ไม่สามารถวัดอะไรได้ทั้งหมด ส่วนม.ต้น ห้องคิงนั้น เกรดเฉลี่ยจะมีผลอย่างมาก เพราะวิชาเรียนแทบไม่ต่างกัน วิทยาศาสตร์ก็ยังไม่แบ่งเป็นฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ยังเรียนรวมๆกันอยู่ และคนที่เก่งวิทย์ก็มักจะทำคะแนนได้ดีในทุกวิชา (แต่คะแนนอาจจะไม่สูงสุด) จะไปแบ่งห้องตามวิชาถนัด ก็ไม่ถูกซะทีเดียว จากคุณ : บัตรผ่านด้อยสิทธิ์ เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 54 14:55:02 A:202.12.74.161 X: TicketID:282622

ความคิดเห็นที่ 37 ความเห็นที่ 35 ครับ ทุกอย่างมันจะเป็นแค่ช่วงเริ่มต้น มันเป็นช่วงของการปรับตัว พออยู่ไปสักสองเดือน คุณจะเคยชินและคุ้นเคยกับเพื่อนแล้วทุกอย่างก็จะเป็นปกติเอง มันจะเหมือนกับคนย้ายโรงเรียนนั่นแหละครับ จากคุณ : บัตรผ่านด้อยสิทธิ์ เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 54 14:59:39 A:202.12.74.161 X: TicketID:282622

ความคิดเห็นที่ 38 ค่อนข้างเห็นด้วยนะคับ  เพราะต้องยอมรับความจริงว่าเด็กแต่ละคนมีความสามารถในการเรียนไม่เท่ากัน  การแบ่งกลุมเด็กออกตามเกรดจะพัฒนาความสามารถของเด็กได้มากกว่า จากคุณ : fg (Flying Guy) เขียนเมื่อ : 22 พ.ค. 54 22:34:56

ความคิดเห็นที่ 39 ผลดีมากกว่าผลเสีย   เด็กที่ไม่มีสมาธิเดินเข้าเดินออก มันทำให้เด็กที่จะเรียนหมดสมาธิไปด้วย จากคุณ : akebi1 เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 08:21:02

ความคิดเห็นที่ 40 การแบ่งกลุ่มเด็กตามผลการเรียนก็อาจจะช่วยในการเรียนการสอนให้ง่ายขึ้น แต่ในแง่ทางสังคมมันไม่มีพัฒนาการ  เด็กจะรู้จักกัน มีกิจกรรมร่วมกันแค่ในห้องใครห้องมัน   เกิดแบ่งพวกแบ่งฝ่าย  เก่ง ไม่เก่ง พอหนูๆโตขึ้นแล้วจะรู้ว่า การที่ได้เปลี่ยนย้ายห้องทุกปี รู้จักเพื่อนทุกๆคนในรุ่น ความเก่งไม่เก่งตอนนี้ไม่แน่ไม่นอน บางคนเก่งตอนเด็ก แต่ตอนโตอาจไม่ถึงดวงดาว พวกไม่เก่งบางคน พอโตขึ้นกลับเรียนดีมีอนาคต ความเป็นเพื่อนสำคัญที่สุด ยิ่งอายุมากยิ่งชัดเจน พวกที่สอบตกสมัยก่อนๆได้ดีไปก็เยอะ ไม่เห็นมีปมด้อยตรงไหน พอแก่ตัวเราจะคบกันด้วยอัธยาศัยไมตรี ช่วยเหลือกัน พอคุยกันถึงชีวิตตอนเด็กว่าใครเรียนเก่ง ใครเฮี้ยวครู กลับเป็นเรื่องตลกมากกว่า จากคุณ : กากชา เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 08:37:07

ความคิดเห็นที่ 41 ผมมีลูกคนเล็ก ตอนนี้ขึ้นม.3 เหมือนกัน รร.สาธิต..ชื่อดังของกทม. มีคติพจน์ของรร. ว่า ความสามารถในการปรับตัว คือความสำเร็จของชีวิต       รร.นี้ตอนม.1 จะสอบเข้าประมาณ 100 คน                       จากสาธิตเดิม          80 คน                       จาก.............        150 คน     ทั้งหมดเรียนคละห้องกันหมดทุกคน  พอขึ้น ม.2 คละกันใหม่  ตอนนี้ขึ้นม.3 คละใหม่อีกแล้ว  สรุปคือ คละทุกปี ตามสูตรของรร.     ลูกผมไม่เห็นบ่นอะไร(ลูกผมสอบเข้า) เพื่อนฝูงก็ยังสนิทกันดี แถมมีเพื่อนใหม่เพิ่ม ถ้าการเรียนแบบแบ่งเกรดก็ดี คละห้องก็ดี ถ้ารร.ประกาศเป็นระเบียบการของรร.โดยถือปฏิบัติเป็นประจำ จะทำให้ทุกคนยอมรับได้โดยไม่มีปัญหา แต่ต้องชื้แจงให้ทุกฝ่ายเข้าใจ  ไม่ใช่แบบที่ผอ.ตอบแบบนั้น มันก็ทำร้ายจิตใจเด็กเกินไป จากคุณ : ศรีวรลักษณ์ เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 00:45:48

ความคิดเห็นที่ 42 เห็นด้วยกับ คห 41 อย่างแรงส์ ถ้าทุกอย่างเคลียร์คัตชัดเจน ไม่มีอะไรหมกเม็ดหรือเป็นการส่วนตัว จะแจ้งในตัวเองแล้ว ข้อกังขาใดๆมันคงจะไม่เกิด จากคุณ : คนใจร้ายหมายดี เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 16:55:06 A:49.49.110.195 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 43 #36  เข้าใจคลาดเคลื่อน << โดยเฉพาะเตรียมอุดมฯจะเห็นได้ชัด คนที่บอกว่า สอบติดเตรียม แต่สอบติดห้องสาธารณสุข อาจจะเก่งสู้คนสอบไม่ติดเตรียมฯ แต่เลือกห้องวิทย์-คณิตเลยก็ได้ เนื่องจากการแข่งขังสูงกว่าเยอะ >> เตรียมอุดมฯ  ไม่มีห้องสาธารณสุข สายวิทย์คณิตของเตรียม แบ่งเป็น วิทย์คอมพ์ วิทย์ประยุกต์ วิทย์คุณภาพชีวิต วิทย์บริหาร วิทย์เยอรมัน  วิทย์ญี่ปุ่น ทุกคนต้องสอบเข้ามาในสายวิทย์คณิตได้ก่อน จึงจะเลือกสายย่อยได้ครับ http://www.dektriam.net/ ห้องคิง ม.ปลาย เตรียมฯ มี 3 ห้อง  เก่งหรือเปล่าไม่รู้ ลองหาสถิติสอบติด กสพท  ดูเองครับ จากคุณ : 447 เขียนเมื่อ : 25 พ.ค. 54 18:42:28