ชั่วฟ้าดินสลายในมุมมองข้าพเจ้า หลังจากได้มีโอกาสชมภาพยนตร์เรื่องชั่วฟ้าดินสลายแล้ว ก็อยากจะนำเสนออีกมุมมองหนึ่งของภาพยนต์นอกจากที่ส่วนใหญ่จะวิภาคกันในแนวอิโรติกอารต์ โดยในที่นี้ผมจะไม่ขอวิภาคในส่วนของภาพ ฉาก และรายละเอียดในเชิงภาพยนตร์ เพราะคิดว่าได้มีผู้ให้ความเห็นในแนวทางเหล่านั้นไว้อย่างหลากหลายแล้ว
เนื่องจากชั่วฟ้าดินสลายได้ถูกดัดแปลงมาจากนวนิยาย มิได้สร้างมาจากบทภาพยนตร์โดยตรง ดังนั้นแล้วการจะตีความความหมายเชิงสัญลักษณ์ต่างๆที่ผู้ประพันธ์ได้ซ่อนเอาไว้ในเรื่องราวนั้น จึงต้องอาศัยการตีความจากคำพูดต่างๆของตัวละคร(dialogue) และต้องรู้ถึงปูมหลังของผู้ประพันธ์รวมถึงช่วงเวลาที่ประพันธ์ด้วย
ชั่วฟ้าดินสลายเดิมเป็นนวนิยายขนาดสั้นสะท้อนสังคมแนวสัญลักษณ์ (symbolism) และวางโครงเรื่องในแบบโศกนาฎกรรมอรรถนิยม(tragic realism) ผู้เขียนคือ มาลัย ชูพินิจ เขียนเรื่องนี้ในนามปากกา “เรียมเอง”
ผลงานที่สร้างชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักของมาลัย ชูพินิจ คือเรื่องล่องไพร่ โดยเขียนในนามปากา “น้อย อินทนนท์” มาลัย ชูพินิจเป็นนักหนังสือพิมพ์และเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ประชาชาติ ในช่วงที่มาลัยเขียนเรื่องชั่วฟ้าดินสลายนั้น เป็นช่วงที่สื่อมวลชนโดนจำกัดสิทธิอย่างมากจากรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม จนทำให้มาลัยต้องเขียนวิภาคสังคมและรัฐบาลในสมัยนั้นผ่านทางงานเชิงสัญลักษณ์แนวนิยายอิโรติกได้อย่างแนบเนียน
จากฉากเปิดเรื่องที่สโมสรสังคมชั้นสูงแห่งหนึ่งโดยเริ่มจากเหตุการณ์ปฎิวัติของคณะราฎร(คะ-นะ-ราด-สะ-ดอน)ในปี2475ในฉากนี้จะนำเสนอบุคลิกของยุพดีว่าเป็นผู้หญิงหัวก้าวหน้า สังเกตุได้จากยุพดีดื่มเบียร์ สูบบุหรี่ พูดภาษาอังกฤษ จากนั้นพะโป้ก็เข้ามาจีบยุพดี ผู้เขียนใช้ยุพดีเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มคนชั้นกลางที่ทวีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในช่วงนั้น คนเหล่านั้นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับประเทศแต่ไม่มีสิทธิไม่มีเสียงทำอะไรไม่ได้ โดยจะสังเกตุได้จากบทพูดของยุพดี “น่าเบื่อจังเลยน่ะค่ะการบ้านการเมืองสมัยนี้” “คนอย่างดิชั้นน่ะเหรอค่ะ จะมีปัญญาหนีไปไหนพ้น ได้แต่หลอกตัวเองไปวันๆ” ประโยคหลังผู้เขียนใช้ยุพดีพูดแทนความคิดของคนชั้นกลางในช่วงเวลานั้น
ต่อมาพะโป้ก็พายุพดีไปอยู่ด้วย ซึ่งความจริงแล้วพะโป้ตั้งใจจะมาหาเมียให้ซ่างหม่องแต่เกิดถูกใจจึงเอาไว้เอง ฉากต่อมาที่พะโป้แนะนำยุพดีให้ซ่างหม่องรู้จักจะเห็นว่าส่างหม่องยกมือไห้วยุพดีแต่จะไม่พูดว่าสวัสดีครับ แต่ส่างหม่องจะใช้คำว่า “กราบ” จากนั้นยุพดีก็ถามส่างหม่องว่าเรียนอะไรจบมาจากที่ไหน ซึ่งบทสนทนาตรงนี้ดูเผินๆเหมือนจะไม่มีอะไรแต่ทั้ง “ต้นไม้” “ป่าไม้” “ไม้สักไม้แดง” รวมถึง “กล้วยไม้กับกุหลาบป่า” ที่กล่าวมาทั้งหมดในคำพูดของยุพดีล้วนมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ทั้งสิ้น
ซ่างหม่องจะก้มหน้าก้มตาคุยกับยุพดีซึ่งก็ไม่แปลกถ้าตีความตามท้องเรื่อง ซ่างหม่องคงเขินอายยุพดีตามประสาชายหนุ่มซึ่งไม่ประสากับผู้หญิง แต่จากบทพูดของยุพดีที่ว่า “ดิชั้นว่าเธอคงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเรียนหนังสือ เหมือนกับที่เธอกำลังก้มหน้าพูดกับดิชั้น จนทำให้เห็นแต่ต้นไม้ เลยไม่มีสายตามองป่าไม้” ประโยคนี้ผู้เขียนสร้างบุคลิกของส่างหม่องให้เป็นตัวแทนของกลุ่มคนที่ยอมอยู่ใต้อำนาจทั้งที่ก็มีการศึกษาจบจากเมืองนอกเมืองนา(อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมันนี) ซึ่งคนกลุ่มนี้มองเห็นแต่ผู้ที่มีอำนาจในสายตาเพราะยังยึดติดอยู่กับระบบและความเชื่อแบบดั่งเดิมแต่กลับไม่มองประเทศชาติบ้านเมืองในองค์รวม และฉากนี้จบที่พะโป้ชวนส่างหม่องไปเล่นหุ่นกระบอก ซึ่งพะโป้กำลังยืนชักหุ่นอยู่อย่างสนุกสนานโดยมีส่างหม่องนั่งดูอย่างชื่นชม
พะโป้คือสัญลักษณ์ของกลุ่มคนผู้มีอำนาจบริหารจัดการประเทศในสมัยนั้น ฉากต่อมาส่างหม่องต้องพายุพดีไปเดินเล่น ทั้นที่ที่เจอกันส่างหม่องก็ “กราบ คุณอาครับ” อีกครั้ง จุดนี้อาจตีความได้สองประเด็น ประเด็นแรกผู้เขียนต้องการส่อเสียดจอมพล ป. เพราะช่วงเวลานั้นจอมพล ป.เพิ่งออกกฎให้ข้าราชการทุกคนเมื่อเจอกันต้องยกมือไห้วพร้อมกล่าวคำว่า “สวัสดี” ซึ่งก่อนหน้านั้นเราไม่มีกาทักทายกันแบบนี้ ประเด็นต่อมาผู้เขียนอาจต้องการแสดงให้เห็นถึงบุคคิกภาพที่ชันเจนของส่างหม่องว่าเป็นคนที่ยังยึดติดอยู่กับระบบความคิดแบบเจ้า ขุน มูล นาย
ตลอดเรื่องนี้จะสังเกตได้ว่ายุพดีจะมีหนังสือติดตัวไปตลอดทุกที่ หนังสือเป็นสัญลักษณ์ของความรู้และการเปิดกว้างทางความคิด ยิ่งไปกว่านั้นในนิยายเรื่องนี้ หนังสือที่ยุพดีเอาติดตัวไปตลอดยังแสดงถึงแนวคิดของตัวละครได้แบบเจาะจงอีกด้วยซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป
“มนุษย์ทุกคนที่มีหัวใจอิสระน่ะ ย่อมรักธรรมชาติเสมอ” ประโยคนี้ของยุพดีสามารถตีความได้อีกย่างหนึ่งว่า ตามธรรมชาติของมุนษย์ทุกคนย่อมต้องการอิสระ(ไม่ว่าจะทางกายหรือทางความคิด) ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยมีการต่อสู้ทั้งทางกายภาพและทางความคิดกันอย่างมาก ประชาชน ขุนนางอำมาตย์ ทหาร ต่างแบ่งเป็นสองฝ่าย ยังเป็นช่วงตั้งไข่ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย และผู้นำทางความคิดยังคงโต้เถียงกันอย่างไม่มีทีท่าจะตกผลึกว่าจะพาประเทศไทยหันซ้ายหรือหันขวามันจะดีกว่ากัน
“ส่างหม่อง บอกดิชั้นหน่อยได้มั้ยค่ะว่าอะไรคืออุดมคติในชีวิตของเธอ” ยุพดีถามส่างหม่อง “ผมจะทำแต่ความดี ทำประโยชน์ต่อสังคมที่เราใช้ชีวิตอยู่โดยรวม” ส่างหม่อพูดจบยุพดีขำเสียงดัง พร้อมค่อนขอดว่านั่นมันโลกความฝัน แต่สุดท้ายยุพดีก็พ้อว่าบางทีหล่อนก็อยากหนีไปอยู่ในโลกความฝันเหมือนกัน นี่แสดงให้เห็นว่าในความคิดของกลุ่มคนที่ไม่อยากอยู่ใต้อำนาจเชื่อว่าสังคมแบบที่ผู้มีอำนาจโปรยยาหอมไว้ มันทำไม่ได้จริงและคนเหล่านั้นก็หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งใคร ในทางกลับกัน สำหรับกลุ่มคนที่ยอมอยู่ใต้อำนาจแล้ว เขาเหล่านั้นเชื่อโดยบริสุทธิใจเลยว่าสังคมแบบนั้นมันเกิดขึ้นได้จริงๆ
ต่อมาจะกล่าวถึงหนังสือสองเล่มที่จะแสดงให้เห็นถึงทัศนคติของยุพดี เล่มแรก A Doll’s House ของ Henrik Ibsen บ้านตุ๊กตาของอิบเซ่นเป็นนิยายที่พูดถึงสิทธิสตรีและยังเป็นนิยายที่ช็อกผู้คนในสมัยนั้นอย่างมากเพราะตอนจบของเรื่องนางเอกคือนอร่าได้ทิ้งสามีและลูกไป ในเนื้อเรื่องนอร่าถูกสามีดูแลแบบลูก คือนอร่าจะต้องทำตัวแบบเด็กที่ทำอะไรไม่เป็นเลย ต้องให้สามีดูแลทุกอย่าง แรกๆนอร่าก็ชอบ มันสบายดี แต่ผ่านไปเรื่อยๆนอร่าก็ทนไม่ได้ ที่สามีคอยกำกับดูแลชีวิตหล่อนทุกสิ่งแม้แต่จะกินขนมหวานก็ยังไม่ได้ มันไม่ใช่ตัวหล่อน มนุษย์ต้องการอิสระ
เล่มต่อมา The Prophet ของ Khaili Gibran ปรัชญาชีวิตของยิบรานเป็นบทกวีที่ทรงพลังที่สุดในศตวรตที่19 บทกวีกล่าวถึงความสัมพันธ์ของมนุษย์และสภาพความเป็นมนุษย์(human condition) ในบทกวีประกอบด้วย 28บท ความรัก การแต่งงาน ลูก การให้ การดื่มกิน การทำงาน ความสนุกและความเศร้า ที่อยู่อาศัย การซื้อขาย อาชการกรรมและการลงโทษ กฎหมาย อิสรภาพ เหตุผลและความปารถนา ความเจ็บปวด ความรู้ การถ่ายทอดความรู้ มิตรภาพ การสนทนา เวลา ความดีและความชั่ว การสวด ความพึงพอใจ ความงาม ศาสนา ความตาย สิ่งเหล่านี้เป็นที่ยอมรับกันในศตวรรตที่19ว่าครอบคลุมสภาพพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ หลังจากได้อ่านหนังสือสองเล่มนี้แล้ว ยุพดีก็เข้ามามีอิธิพลทางความคิดต่อส่างหม่องเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
หนังสือเล่มแรกในทางเทคนิกของการเขียนเป็นการปูทางไปสู่การตัดสินใจฆ่าตัวตายของยุพดี หล่อนยอมทิ้งลูกและสามีตามแนวทางของนอร่า ส่วนเล่มต่อมาส่างหม่องยกให้กับนิพนธ์ผู้มาเยือนเพราะว่าส่างหม่องยอมละทิ้งความเป็นมนุษย์ไปแล้วนั่นเอง ต่อมาเนื้อเรื่องก็ดำเนินไปในทางที่ส่างหม่องเริ่มสนิทและชอบยุพดีมากขึ้นเรื่อยๆ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มคนที่ยอมอยู่ในอำนาจของผู้ปกครองเริ่มมีใจโน้มเอียงไปทางผู้ที่ไม่ยอมอยู่ใต้การปกครอง ซึ่งผู้ปกครองเองก็เริ่มรู้สึกระแคะระคายดังจะเห็นได้จากที่พะโป้พูดกับซ่างหม่อว่า “รักยุพดีให้เท่ากับที่รักอาน่ะ” ประโยคนี้อีกนัยตีความได้ว่า อย่ารักยุพดีมากกว่าอาน่ะ
ต่อมาทั้งคู่ไปเดินเล่นด้วยกันอีกครั้ง มีการทักกันเรื่องการแต่งกายนั่นก็ส่อเสียดนโยบายของจอมพล ป.อีกเช่นกัน ยุพดีแปลกใจว่าที่ปางไม้มีวันหยุดด้วยเหรอ ส่างหม่องตอบว่ามี คือวัน เสาร์ วันอาทิตย์ และวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งพะโป้จะไปนำสวดด้วยตัวเอง ทำไมยุพดีต้องแปลกใจที่ปางไม้มีวันหยุดในเมื่อปางไม้ก็อยู่ในเมืองไทย และทำไมพะโป้ถึงได้เป็นผู้นำสวดในวันสำคัญทางศาสนา วันหยุดที่ส่างหม่องพูดมาขาดไปบางวันหรือไม่
แต่ในทางเทคนิกการเขียน การที่พะโป้ยังให้ความสำคัญกับศาสนาอยู่บ้างทั้งที่เป็นคนที่ไม่ค่อยจะมีศีลธรรมเท่าใดนักเป็นการปูทางไปสู่เหตุผลที่ทำไมพะโป้ถึงไม่ยิงส่างหม่องกับยุพดีทิ้งทั้งที่สามารถทำได้ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลในเชิงสัญลักษณ์
“ชั้นไม่ชอบความหมายที่มันซ้อนความหมาย” ประโยคนี้ของยุพดีผู้เขียนตัองการจะบอกผู้อ่านว่าให้ตีความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของยุพดีนั่นเอง และเมื่อส่างหม่องตัดสิ้นใจก้าวลงเล่นน้ำกับยุพดีนั่นหมายถึงเค้าไม่เห็นผู้ปกครองอยู่ในสายตาอีกต่อไป ทั้งผู้ที่ยอมอยู่ใต้ปกครองและไม่ยอมอยู่ใต้ปกครองได้ร่วมมือกันหักหลังผู้ปกครองในที่สุด ด้วยความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ ที่จริงเรื่องปูมาตั้งแต่ส่างหม่องเด็ดกล้วยไม้ที่ตอนเด็กๆพะโป้เคยห้ามเค้าไว้ไม่ให้เด็ด
กล่าวโดยรวมแล้วชั่วฟ้าดินสลายเป็นงานสัญลักษณ์ชั้นครู จะดูเอาความก็ได้หรือจะดูเอาสนุกก็ดี ทั้งนี้หากพอรู้สภาพทางสังคมและการเมืองในช่วงปี2475 อยู่บ้างก็จะทำให้ดูเรื่องนี้ได้สนุกยิ่งขึ้น โซ่ตรวนคือสัญลักษณ์ของอะไร ทำไมทั้งคู่ถึงอยากหลุดออกจากพันธนาการทั้งที่ตอนแรกก็ไม่เดือดร้อนอะไร ทำไมกุญแจ(ปืน) คือวิธีแก้ปัญหาที่ผู้มีอำนาจหยิบยื่นให้ ผู้มีอำนาจกำลังเล่นเกมอะไร(หมากรุก)กับพวกเขาทั้งสอง............หรืออาจหมายรวมถึงพวกเราทั้งประเทศด้วยก็ได้
จากคุณ |
:
Angsarano
|
เขียนเมื่อ |
:
22 พ.ค. 54 20:20:57
|
|
|
|