ความคิดเห็นที่ 1 home schooling เป็นไปได้ดิ ความสำเร็จมันขึ้นอยู่กับ 1.เงิน 2.เวลาที่พ่อแม่มีอุทิศให้ลูก 3.ระดับสติปัญญาของพ่อแม่ แฟนเรามีเพื่อนร่วมงานเป็นชาว Czech ซึ่งเป็น computer programmer ที่ได้แต่ใฝ่ฝันจะแต่งงานมีลูกและสร้างลูกตัวเองให้เป็น super genius ในขณะที่แฟนเราแต่งงานกับเราหรือกับใครก็ไม่ได้เพราะแม่เธอเป็นประสาทต้องการให้ลูกสาวดูและรับใช้จนกว่าแม่จะตายจากโลกนี้ไป เรื่องตลกๆมันจึงเกิดขึ้น เช่น 1. แฟนเราบอกเพื่อนร่วมงานว่าเขากับเราคิดอะไรเหมือนๆกัน ในขณะที่ผู้ชายชาว Czechคนนั้นก็บอกว่าเขาชอบเราที่ไม่คิดอะไรเหมือนผู้ชายไทยทั่วๆไป และแฟนเราก็บอกเขาว่าก็เธอ 2 คนทำไม่ไม่แต่งานกันล่ะ (ฟ้าผ่าตายห่ะ)...555+++... 2. เราก็ได้แต่พูดกับแฟนว่าที่รักจ๋าเราไม่ได้อยู่ด้วยกัน (เพราะแม่เธอ) แต่เคยมีกรณีนี้เกิดขึ้นคือลูกสาวยอมให้แม่บังคับว่าแต่งงานไม่ได้จนกว่าแม่จะตาย พอแม่ตายลูกสาวก็อายุปาเข้าไปตั้ง 80 ซะแล้ว...555+++...ดังนั้นทุกครั้งที่ที่รักมาหาฉันนะ ที่รักต้องเรียนวรยุทธ์ของฉันเพื่อที่ว่าพอแม่ที่รักเท่งทึงไปแล้ว ที่รักก็ยังสาวปิ๊งตอนแต่งงานกับฉันตอนที่รักอายุได้ 80 กว่าๆ....555+++... 3. พ่อเราก็มีส่วนร่วมด้วย พ่ออยากได้ทายาทสืบสกุล พ่อบอกแม่แฟนลูกไม่ยอมให้แต่งงาน ลูกก็แอบทำลูกกับแฟนลับๆดิ แล้วไม่ต้องให้แฟนบอกแม่...แล้วก็แอบไปคลอดลูกซะ...อะโห พ่อคิดได้ไงเนี่ย แฟนผมจะอุ้มท้อง 9 เดือนได้ไงโดยแม่เธอไม่เห็นท้องป่องออกมา...555+++...มีอยู่วิธีหนึ่งคือไปจ้างใครให้เป็น surrogate mother อุ้มท้องให้ดิ โดยเอา sperm เรากับไข่แฟนเราผสมกันในหลอดแก้วแล้วฉีดเข้า surrogate mother (ผู้หญิงที่รับจ้างท้องให้คนอื่น) ลูกที่เกิดมาจะมีพันธุกรรมของตัวเรากับแฟนเรา แต่พ่อมีเงินจ่ายหรือเปล่า? แต่จริงๆแล้วนะเรื่องตลกก็คือว่าเพื่อนบ้านเราคนหนึ่งเพิ่งบอกว่าพี่สาวเธอท้องจนคลอดลูกไปแล้ว แต่ตอนอุ้มท้องจนครบ 9 เดือนไม่มีใครรู้เลยว่าท้อง...เพราะเธอตัวเล็ก (ซ่อนรูปมากๆ)...โหเข้าท่าอ้ะ...!!!?? ^ อันนี้แค่เล่าเรื่องตลกว่าหลายๆฝ่ายคุยกันเรื่องนี้ก็ยังไม่ลงตัว แต่ต่อไปนี้จะพูดว่าถ้ามันลงตัวมันจะเกิดอะไรขึ้น... แผนเราคงคล้ายๆแผนเจ้าหนุ่มชาว Czech คนนั้น นั่นก็คือ "สอนลูกตัวเอง" เหมือนๆที่แม่ Thomas Edison สอน Thomas Edison ประวัติความเป็นมาก็คือ Thomas Edison ไปเรียนโรงเรียนได้แค่ไม่กี่่วันครูบอก "เด็กคนนี้สมองสับสน" แม่เลยรับกลับมาบ้านมาสอนเอง จน Thomas Edison ไม่ได้เรียนโรงเรียนหรือมหาลัยแต่กลายเป็นอัฉริยะได้...!!! เราก็เลยคิดถึงอดีตที่เราเรียนหนังสือไม่เก่ง แล้วไปฝึก Zen Macrobiotics กินอาหารปลอดสารพิษและฝึกคัมภีร์โบราณของเต๋ามาหลายสิบปีเพื่อเปลี่ยน cells ร่างกายและสมองเราแบบผ่าเหล่าผ่ากอ (biological transmutation) เพื่อกลับมาสู้กับคนเรียนเก่งๆ ระดับ นักเรียนทุน King's scholarship ที่พวกเขาเคยได้คะแนนทุกวิชา 100% (เต็มหมด...สมัยก่อนนับเป็น 100%) ศาสตร์สำคัญที่เราต้องเรียนก็คือ The Secrets of Eternal Youth โดยมีจุดมุ่งหมายคือ รอให้ไอ้พวกคนเรียนเก่งๆมันแก่แล้วสมองเสื่อมก่อนในขณะที่เราอายุยิ่งมากยิ่งวิ่งเร็ว เตะต่อยว่องไว ร่างกายแข็งแรงยืดหยุ่น สมองดีขึ้นเรื่อยๆ เรียนรู้อะไรใหม่ๆรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็เพราะว่า "ตลอดชีวิตเรา เราเรียนแต่ศาสตร์เร้นลับนอกมหาลัย" ที่นี้ผลมันออกมายังไงล่ะ...เรื่องมันยาว เอาไว้ไปกินเบียร์ก่อน แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟัง...555+++... แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 22:16:29 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 18:51:50 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 18:47:23

ความคิดเห็นที่ 2 เรียนได้ถึง ม 6 เลยครับ หลานเรียนอักษรจุฬา บอกว่ามีเพื่อนอยู่ 1 คน เรียนแบบ home school เป็นเพื่อนร่วมชั้นปี จากคุณ : หมาป่าดำ เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 19:22:38

ความคิดเห็นที่ 3 ลองไปอ่านกระทู้นี้ดิ ค่าเรียนเด็กประถมมัธยม แพงน่าดูเลยหละ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10586986/K10586986.html แต่ก็อีกนั่นแหละถ้าพ่อแม่ต้องออกไปทำงาน home schooling มันจะทำได้ไงกัน ............................................................................ ตอนนี้เราทำงานแบบ freelance หรือ self employment มีเวลาสอนลูก ส่วนแฟนเรายังทำงานบริษัทเป็นงาน full time เราพยายามแช่งให้เธอหมดสัญญาที่ต่อทีละแค่ไม่กี่เดือน แล้วโดนเชิญออก จะได้มาช่วยกันทำงาน freelance หรือ self employment แล้วมาช่วยกันผลิตลูกและสอนลูกแบบ home schooling ได้ เพราะเซ็งกับกระทู้การศึกษาไทยที่ครูส่วนใหญ่ไม่มีความรู้พอที่จะสอนเด็ก  แต่แฟนเราก็ยังไม่ตกงานซักที เราก็เลยสงสัยจะต้องหาบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง และสร้างเจ้าเด็กน้อยให้เป็น super genius ด้วยตัวเองซะแล้ว วิธีการก็ง่ายๆ คือทุกวันนี้เราเรียนอะไรหลายๆอย่างด้วยตัวเองนอกมหาลัยเกือบหมด โดยอาศัยความรู้ภาษาอังกฤษ + google + precise logic + creative imaginations เท่านั้น ทำให้บางวิชาที่เราไม่ีเคยเรียน แต่เรากลายเป็นรู้มากพอที่จะเขียน research papers เป็นภาษาอังกฤษให้คนเรียนวิชาเหล่านั้นในมหาลัยต่างประเทศรับปริญญาเอกไปแล้วตั้งหลายคน ซึ่งพ่อเราที่ไม่รู้ว่าเราทำอะไรอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ก็ได้แต่บ่นๆๆๆว่าเราทำไมไม่ไปเรียนต่อเอาวุฒิสูงๆกับเขาบ้าง เราก็ไม่รู้จะตอบพ่อเราว่ายังไงกัน...เราได้แต่ยิ่งฮึกเหิมเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆนอกมหาลัยเพื่อแข่งกับคนเรียนจบวุฒิสูงๆ ซึ่งมันเป็นงานอดิเรกที่ทำให้เราสนุกมากๆ... เรื่อง home schooling เราคิดว่าใครก็ตามที่คิดและพูดเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างเป็นธรรมชาติอย่างเราน่าจะได้เปรียบ เนื่องจากการเรียนรู้จาก Internet ภาษาอังกฤษเป็นอาวุธอันสำคัญ เราจะพูดภาษาอังกฤษกับลูกเราเป็นภาษาแรก และสอนคอมพิวเตอร์ให้ลูกเราประกอบและรื้อถอนระบบคอมพิวเตอร์และnetwork ได้ทั้งที่เป็น hardware และ software ตั้งแต่อายุน้อยๆ สอน syntaxes ลับๆของ google ที่ใช้ค้นข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ได้อย่างไม่มีขอบเขต ที่ต้องสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาแรกให้ลูกก็เพราะต้องการให้ลูกได้ ม.6 โดยการสอบ gcse 5 วิชา แล้วไปเทียบ ม.6 ที่กระทรวงศึกษา ซึ่งวิธีการนี้จะเป็นการทำให้ลูกหลุดพ้นจากการที่ต้องไปเรียนกับคนที่ไม่เก่งเรียนวิชาอะไรไม่ได้ถึงต้องไปเรียนครูแล้วเข้ามาสู้่ระบบการศึกษาไทยมาสอนเด็กประถมกับมัธยมให้ไม่เก่งตามพวกเขา วิชาที่เราน่าจะสอนเองให้ลูกสอบผ่าน gcse ได้ก็คือ 1. ict 2. ภาษาอังกฤษ 3. คณิตศาสตร์ ถ้าลูกชอบภาษาอาจให้แฟนเราสอนภาษาฝรั่งเศสให้และหาติวเตอร์ช่วยสอนภาษาจีนให้ แต่ถ้าลูกชอบวิทย์เราเดินหน้าสอนฟิสิกส์กับวิชาวิทย์อื่นให้ได้ ซึงอาจจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างอื่นเล็กน้อยเพื่อความยืดหยุ่น แผนแบบนี้ทำให้เด็กได้วุฒิ ม.6 ไปเรียนต่อได้โดยไม่ต้องแบกหนังสือจนหลังโก่ง และวิชาที่เรียนรู้ก็แน่นสุดๆ เพราะขนาดเราเรียนนอกมหาลัยด้วยตัวเองไม่มีวุฒิสูงๆ เรายังรับจ้างเขียน research papers ให้คนอื่นเรียนผ่านระดับปริญญาเอกมหาลัยต่างประเทศได้  ดังนั้นลูกเราอายุยังไม่ถึง 20 ต้องเก่งกว่าคนจบปริญญาเอกจากมหาลัยจ่ายเงินครบจบแน่ๆ... นี่เป็นความทะเยอทะยานของเรา เราเคยพูดกับแฟนเราว่า "ลูกเราตอนอายุแค่ 16-17 จะต้องแปลนิยายตีพิมพ์ได้ดีเท่าแฟนเราทำ และเก่งคอมพิวเตอร์แปลหนังสือราชการกับภาษากฎหมายได้ดีเท่าเรา ถ้าเราก้บแฟนเราช่วยกันสอน" แต่แฟนเราย้อนกลับมาว่า "สงสารลูกน้อยของฉันต้องเรียนจนเป็นบ้าเพราะพ่อมันบ้า เอ่อ...แล้วถ้าลูกแปลนิยายได้ดีเท่าพ่อ แต่รู้คอมพิวเตอร์กับแปลหนังสือราชการกับภาษากฎหมายเท่าๆแม่ล่ะจะว่าไง?" เพราะนั่นมันกลายเป็นว่าลูกได้ทักษะที่เฮงซวยของทั้งคู่ไป...555+++...คงเหมือนๆกับ joke อันนี้นะ ที่ว่า Marilyn Monroe suggests to Einstein: What do you say, professor, shouldn't we marry and have a little baby together: what a baby it would be - my looks and your intelligence! Einstein: I'm afraid, dear lady, it might be the other way around... แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 22:25:37 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 20:39:41 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 20:35:19

ความคิดเห็นที่ 4 แค่สอบผ่าน 5 วิชาก็เอาไปที่กระทรวงศึกษาไทยเพื่อเทียบเป็น ม.6 ได้แล้ว แต่ปัญหามันก็คือว่า "เด็กต้องทำข้อสอบเป็นภาษาอังกฤษ" ดังนั้น home schooling ที่น่าจะประสบความสำเร็จได้ง่าย และหนีพ้นจากระบบการศึกษาประถมมัธยมแบบไทยๆที่กำลังมีปัญหาตอนนี้ ก็คือพ่อแม่ต้องพูดอังกฤษคล่องพอๆกับภาษาตัวเอง มันเป็นข้อได้เปรียบอย่างมาก เพราะการค้นข้อมูลเพื่อการเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ส่วนใหญ่ต้องค้นเป็นภาษาอังกฤษ ไปดูดิว่า gcse มีตั้งมากมายหลายวิชาให้เด็กเลือกสอบ ซึ่งมันยืดหยุ่นมากๆสำหรับ home schooling http://en.wikipedia.org/wiki/General_Certificate_of_Secondary_Education จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 20:45:51

ความคิดเห็นที่ 5 หมายเหตุ จุดประสงค์ของ home schooling (ในแนวที่เราคิด) ไม่ใช่บังคับให้เด็กเรียนทุกวิชาภายใต้ดวงอาทิตย์ แต่ในทางกลับกันมันเป็นการสอนให้เด็กเรียนน้อยวิชาที่สุดแต่เชึ่ยวชาญมากที่สุดในสาขาวิชาที่เรียน แล้วก็มีวุฒิพอที่จะเรียนต่อได้ ยกตัวอย่างเช่นมีสถาบันการศึกษาหลายๆแห่งในต่างประเทศ ยอมให้เด็กเข้าเรียนคณิตศาตร์และหรือ computer science จนจบปริญญาตรีได้ โดยที่ตอนสมัครทางสถาบันการศึกษาบังคับจะให้เด็กสอบผ่านระดัมมัธยมแค่วิชาภาษาอังกฤษกับคณิตศาตร์เท่านั้นเอง ในขณะที่มหาลัยไทยบังคับจะให้เด็กรู้วิชาต่างๆมากกว่านั้นตั้งหลายเท่า แต่พอเอาเข้าจริงๆ พอจบออกมาก็ไม่ใช่ว่าบัณฑิตไทยที่รู้หลายวิชาจะเก่งกว่าบัณฑิตฝรั่งที่รู้น้อยวิชาเสมอไป แต่ในกระบวนการที่พ่อแม่สอนเด็กจะเป็นการสอนให้เด็กคิดเองเป็น เรียนรู้เองเป็น โดยอาศัย precise logic + creative imaginations ซึ่งมันไปต่อยอดได้โดยไม่มีขอบเขตจำกัด เพราะมันก็หมายความว่าในอนาคตเด็กจะเรียนวิชาอื่นๆได้ด้วยตัวเองทั้งๆที่เขาไม่เคยเรียนมันมาก่อนตอนวัยเด็กกับตอนเรียนปริญญาตรีเลย ก็ยังทำได้สบายๆ หรือถึงจะไม่เรียนจบปริญญาใดๆก็ตาม แต่ Thomas Edison ก็ยังทำอะไรระดับอัฉริยะได้ นั่นก็เพราะว่าเขาคิดเองเป็น และค้นคว้าเองเป็น (น่าจะเป็นเพราะเขามีแม่ที่เก่ง home schooling มากๆ) ^ เพื่อเป็นการสาธิตในเรื่องนี้ เราจะกล่าวว่า แม้กระทั้งวิชาหมากรุกฝรั่งหรือวรยุทธ์จีน เราก็เอาไปดัดแปลงใช้สร้างทฤษฎีการเรียนการสอนการแปล จนทำให้คนที่ไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษเป็นวิชาเอก ก็กลายเป็นนักแปลระดับมืออาชีพได้ ลองไปดูกระบวนความคิดดังกล่าวของเราได้ที่กระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/06/K7934208/K7934208.html แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 22:28:41 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 21:15:22 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 21:13:20 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 21:05:39 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 21:03:15

ความคิดเห็นที่ 6 ...ลบออก เอาไปรวมกับ คคห บน... แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 21:11:41 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 พ.ค. 54 21:09:02

ความคิดเห็นที่ 7 หลานคุณหมาป่าดำเป็นเพื่อนรุ่นน้องเราแน่เลย :) จากคุณ : dattilografia เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 16:32:23