|
เราว่าข้อ 7 จริงแค่บางส่วน ไม่ถึงกับ 100% หรอก เราหมายถึงบริษัทในสหรัฐที่เจ้าของไม่เรียนมหาลัยแต่ประสบความสำเร็จน่ะ ไม่ totally dependable on คนจบมหาลัยจนถึงกับนับเป็นจำนวนตัวเลขได้ตั้ง 100% หรอก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าพูดถึงธุรกิจคอมพิวเตอร์นะ อย่างเช่นงานระดับ engineering คนจบมหาลัยก็ได้เปรียบอยู่แล้ว แต่งานเขียน programs นี่ไม่แน่นะ เพราะมันเป็นทักษะการคิดพลิกแพลงเหมือนๆกับการเล่นหมากรุกฝรั่งที่คนจบคณิตศาตร์ระดับปริญญาเอกกับคนไม่จบปริญญาตรีเรียนเล่มหมากรุกฝรั่งแข่งกันก็ไม่มีหลักประกันอันใดว่าคนจบปริญญาเอกคณิตศาสตร์จะต้องชนะเสมอไป เพราะนักหมากรุกฝรั่งระดับ grandmaster ที่แข่งชนะได้เป็นแชมป์โลกก็มีคนจบปริญญาเอกคณิตศาสตร์หรือวิชาอะไรที่มันใช้สมองมากๆตอนเรียนมหาลัยกับคนไม่เรียนหนังสือผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะ คละกันไป อยู่เรื่อยๆ...
^ โดยงานเขียน programs ส่วนใหญ่ software สมัยใหม่ที่ซับซ้อนมากๆก็ใช้ programmers นับร้อยๆคนเขียน แต่ละคนก็รับงานมาเป็น module ของตัวเอง แล้วก็แข่งกันเขียน program ให้มัน run ได้รวดเร็วที่สุด ใครทำได้ดีที่สุดถึงจะได้งานไปเรื่อยๆ แล้วเขาก็เอา modules ทั้งหลายไปรวมกัน ซึ่งในบรรดา programmers ที่เป็นฟันเฟืองของโครงการออกแบบและผลิต software ขนาดใหญ่ รับประกันได้เลยว่าต้องมีคนเก่งๆที่ไม่จบมหาลัยมีส่วนร่วมด้วยเป็นจำนวนมาก เพราะเด็กอเมริกันหลายๆคนที่เติบโตมากับคอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่อายุแค่สิบกว่าขวบก็เขียน programs เก่งกว่าคนไทยที่เรียนจบคอมพิวเตอร์ระดับมหาลัยไปแล้ว ซึ่ง Bill Gates ก็น่าจะเป็นหนึ่งในเด็กอเมริกันเหล่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพแวดล้อมในสหรัฐ ที่มี textbooks, video clips การสอน และสื่อต่างๆอีกมากมายที่คนเรียนนอกมหาลัยสามารถหามาเรียนทาบรัศมีคนเรียนจบมหาลัยได้
คนเรียนมหาลัยจะได้เปรียบในวิชาที่ต้องใช้เครื่องมือแพงๆเช่น medical science, civil engineering, aeronautical engineering, nuclear physics หรืออะไรทำนองนี้
แต่วิชาที่ไม่ต้องใช้เครื่องมือแพงๆอย่างเช้น programming, mathematics, marketing, ภาษาต่างประเทศภาษาใดภาษาหนึ่ง, presentation (รวมถึงการเรียนรู้วิธีการเป็นติวเตอร์สอนวิชาอะไรต่างๆ)พวกเนื้อหาที่สอนในหลักสูตร mba ทั้งหลาย หรืออะไรทำนองนี้ คนเรียนด้วยตัวเองมีแหล่งทรัพยากรหาความรู้ได้ไม่แพ้คนเรียนในมหาลัย
เคยมีผู้หญิงอินเดียคนหนึ่งที่เรียน vedic mathematics ด้วยตัวเอง เธอสาธิตออกทีวี bbc เธอถอด root 13 เลขจำนวนเป็นล้าน โดยคิดในใจได้คำตอบเพียงแค่ไม่กี่นาทีเอง และพอโดนให้ลองทำโจทย์คณิตศาสตร์ระดับปริญญาตรีเธอก็ดันทำได้ซะด้วยสิ...
อีกรายที่เราเจอคือเพื่อนฝรั่งเราคนหนึ่ง เขาซื้อบ้านหรูหราราคาแพงอยู่ในหมู่บ้าน nichada thani ใกล้ๆหมู่บ้านเรา หมอนี่ขี่รถราคาคงประมาณ 10 ล้านบาท เล่นหุ้นเป็นอาชีพได้โดยไม่เคยเรียนเศรษฐศาสตร์หรือการเงินในมหาลัยมาก่อนเลย...
ในโลกนี้มันก็มีอะไรแปลกๆแบบนี้เยอะเหมือนกันนะ...!!!??
แต่ถ้าคิดให้ลึกๆ แล้วมองการไกลออกไปมากๆนะ เราเชื่อว่าวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่ใช้สร้าง digital media เพื่อการศึกษา ซึงกำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็วนี้ั และมีแพร่หลายจนคนธรรมดาทัี่วๆไปเข้าถึงได้ง่ายๆนี้ ยิ่งมีมากขึ้น อาจสร้างสื่อการสอนแนว simulation ที่ทำให้คนเรียนด้วยตัวเองนอกมหาลัยเรียนอะไรที่ต้องใข้เครื่องมือราคาแพงๆได้สำเร็จในอนาคต ก็เป็นไปได้
และคนที่เรียนศาสตร์นอกมหาลัยอาจเก่งระดับครองโลกแบบคาดไม่ถึง ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่นในนิยายเรื่อง The Second Foundation ของ Isaac Asimov ดาวนพเคราะห์ที่มีนักวิทยาศาตร์เก่งๆสร้างอาวุธนิวเคลียร์ได้กลายเป็นต้องมาพ่ายแพ้ต่อดาวนพเคราะห์ของผู้คนซึ่งมีพลังจิต เพราะคนที่มีพลังจิตสะกดจิตให้ฝ่ายที่มีอาวุธนิวเคลียร์ปลดอาวุธและยอมจำนน
การใช้สมองต่อสู้กันระหว่างคนเรียนมหาลัยกับคนเรียนด้วยตัวเองนอกมหาลัย ในอนาคตอันใกล้ๆนี้จะต้องมีความพลิกผันไปอย่างน่าพิศวง จนสุดที่จะคาดเดาได้ เพราะใดๆในโลกนี้มันไม่แน่ไม่นอน...
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
24 พ.ค. 54 13:59:05
|
|
|
|
|