Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
บทความ มหาวิทยาลัยมีคุณค่าสำหรับการเรียนจริงหรือ ติดต่อทีมงาน

มหาวิทยาลัยมีคุณค่าสำหรับการเรียนจริงหรือ
ขณะนี้มีค่านิยมไม่เรียนมหาวิทยาลัยเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ที่มีคุณสมบัติดี ๆ เช่น มีสติปัญญาดี มีคะแนนผลการเรียนดี มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมดี มีชาติตระกูลดี โดยมีคำถามเกิดขึ้นว่าการไปเรียนมหาวิทยาลัยมีคุณค่าเพียงพอกับการจะลงทุน เรียนหรือไม่

รายงานผลการวิจัยจาก Harvard Graduate School of Education ให้ข้อเสนอแนะว่าควรให้ความสำคัญกับการเรียนมหาวิทยาลัยลดลง โดยหันไปให้ความสำคัญกับการให้นักเรียนมีทางเลือกอื่น ๆ ที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากนั้นจากการวิจัยของ Pew Research Center พบว่า มีคนอเมริกันที่เป็นกลุ่มตัวอย่างของการสำรวจเพียง 40 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเชื่อว่ามหาวิทยาลัยจะให้โอกาสที่ทำรายได้ที่ “ดี” หรือ “ดีมาก” ในขณะที่ผู้จบมหาวิทยาลัยจำนวน 86 เปอร์เซ็นต์รู้สึกว่าการเรียนมหาวิทยาลัยเป็นสิ่งที่ดีสำหรับพวกเขา

นอกจากนั้นเมื่อต้นเดือน พฤษภาคม 2554 นี้ New York Magazine ได้ให้พื้นที่สำหรับการพิมพ์ข้อความจำนวน 4,000 คำเพื่อการรวบรวมข้อมูลทางธุรกิจ โดยมี James Altucher และ Peter Thiel และทีมงานทำการเชิญชวนให้เยาวชนคนอเมริกันไม่เรียนมหาวิทยาลัยโดยมีทุนให้ สำหรับการทำธุรกิจ ถึง 100,000 เหรียญสหรัฐสำหรับผู้ที่ตกลงจะไม่เข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อหันมาทำกิจการ ประประกอบธุรกิจแทน

บุคคลตัวอย่างของผู้ที่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย ได้แก่ Bill Gates ผู้ก่อตั้ง Microsoft และ Mark Zuckerberg ผู้ก่อตั้ง Facebook’s รวมทั้ง Steve Jobs ผู้ก่อตั้ง Apple เป็นตัวอย่างของผู้ไม่เรียนในมหาวิทยาลัยจนจบการศึกษา แต่เป็นผู้ที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยมากอีกด้วย

ทำไมไม่เรียนมหาวิทยาลัย

ใน บริบทของสังคมอเมริกัน อาจวิเคราะห์ถึงเหตุผลที่ทำให้คนอเมริกันจำนวนหนึ่งไม่เห็นคุณค่าและความ จำเป็นในการเรียนมหาวิทยาลัยได้ดังนี้

1. มหาวิทยาลัยมีจำนวนมาก โอกาสทางการศึกษาจึงมีมาก จะเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อไรก็ได้เมื่อต้องการเรียน ปัจจุบันการเรียนมหาวิทยาลัยไม่ทำให้รู้สึกว่าเป็นบุคคลพิเศษที่ได้รับการ คัดเลือกอย่างมาแล้วอย่างดีอีกต่อไป

2. มหาวิทยาลัยบางแห่งมีปัญหาทางด้านคุณภาพ ถึงแม้มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมานาน เมื่อมีการแข่งขันกันมากขึ้นทำให้ต้องลดข้อกำหนดต่าง ๆ ลง เพื่อให้ได้มีผู้มาเรียนและมีรายได้ มหาวิทยาลัยเป็นธุรกิจอย่างหนึ่งเพราะถึงแม้จะเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อ เสียงมานาน แต่ถ้าไม่มีผู้เรียนก็ไม่สามารถผลิตบัณฑิตได้จึงต้องลดมาตรฐานลงเพื่อให้มี ผู้มาเรียน

3. การเรียนในมหาวิทยาลัยใช้เวลานานประมาณ4-5 ปี ทำให้ขาดโอกาสในการเริ่มต้นทำงานหรือทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ นอกจากนั้นในระหว่างการเรียนอาจจะถูกครอบงำทางความคิดตามสาขาวิชาที่ตนเอง เลือกเรียน กลายเป็นผู้คับแคบในการมองโลกและชีวิต

4.งานที่ดีและมี ค่าตอบแทนที่สูงนั้นไม่ได้กำหนดว่าต้องเป็นผู้ที่เรียนจบมหาวิทยาลัย นอกจากนั้นในสภาพปัจจุบันพบว่า มีจำนวนผู้จบมหาวิทยาลัยมากกว่าจำนวนตำแหน่งงานทำให้ผู้จบมหาวิทยาลัยหางาน ทำยาก

5. ค่าใช้จ่ายสำหรับการเรียนมหาวิทยาลัยควบคุมไม่ได้ เพราะนอกจากค่าเล่าเรียนแล้วยังมีค่าใช้จ่ายของการใช้ชีวิตเป็นนักศึกษา มหาวิทยาลัยอีกด้วย

6. เป้าหมายการเรียนมหาวิทยาลัยในปัจจุบันเพื่อให้มีงานทำมากกว่าเพื่อหาความ รู้ ถ้าพวกเขามีทรัพย์สินมากพอเลี้ยงชีวิตได้แล้ว มีงานทำอยู่แล้ว หรือมีธุรกิจของตนเองแล้ว การเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อการทำงานหรือการหางานทำจึงไม่มีความจำเป็น

7. ผู้ที่จบมหาวิทยาลัยทำงานตรงกับสาขาวิชาเอกที่ตนเองเรียนมาไม่ถึงครึ่งหนึ่ง (ทั้งนี้ไม่รวมวิชาชีพเฉพาะตามกฎหมายกำหนด) ทำให้คุณค่าของการเรียนมหาวิทยาลัยลดลงเพราะไม่ได้นำไปใช้ในการทำงานโดยตรง นอกจากนั้นผู้ที่ประสบความสำเร็จในด้านต่าง ๆ และเป็นที่รู้จักกันแพร่หลายส่วนมากเป็นผู้ที่ไม่ได้มีการศึกษามาโดยตรงกับ ความสำเร็จนั้น

ทางเลือกของการเรียน

อิทธิพล ความคิดของ Mark Twain นักเขียนชื่อดังที่ปลูกฝังว่า อย่าให้โรงเรียนเป็นสิ่งขัดขวางการเรียนรู้ การไม่เรียนมหาวิทยาลัยไม่ใช่หมายความว่าจะไม่สนใจการศึกษาหรือการแสวงหา ความรู้ ยังมีแหล่งความรู้ต่าง ๆ อีกมากสำหรับการเรียนรู้นอกจากในมหาวิทยาลัย เช่น ศูนย์การศึกษา ศูนย์ฝึกอบรม และระบบสนับสนุนการศึกษาด้วยตนเองหรือการเรียนตามอัธยาศัย รวมทั้งการเดินทางท่องเที่ยวเป็นการเรียนรู้หรือแสวงหาความรู้ทั้งสิ้น

ใน ปัจจุบันมีเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีโทรคมนาคม และเทคโนโลยีฐานข้อมูลที่ทำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูล สามารถหาและใช้ข้อมูลหรือความรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้การแสวงหาความรู้และใช้ความรู้ด้วยตนเองทำได้ง่ายและสะดวกขึ้น ดังนั้น การเป็นผู้มีการศึกษาไม่จำเป็นต้องเป็นผู้มีปริญญาจากมหาวิทยาลัยเท่านั้น

ถ้า มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ทำหน้าที่เป็นเพียงแหล่งผลิตคนผู้ต้องการมีงานทำ และมีรายได้เลี้ยงชีพ ผู้ที่ต้องการมีงานทำและมีรายได้เลี้ยงชีพเหล่านั้นสามารถเข้าศึกษาในสถาบัน การศึกษาเพื่อการมีงานทำ หรือ ศูนย์ฝึกอาชีพจะทำให้ได้ประโยชน์ตามความประสงค์ได้มากกว่า เช่น วิทยาลัยอาชีวศึกษา วิทยาลัยเทคนิค วิทยาลัยการอาชีพ และ วิทยาลัยชุมชนชุมชน รวมทั้งศูนย์ฝึกอาชีพต่าง ๆ เป็นต้น

คุณค่าของมหาวิทยาลัยที่เป็นจริง

ผล การศึกษาดังกล่าวข้างต้นในบริบทของคนอเมริกันทำให้เกิดความตื่นตัวและ ตระหนักในเจตคติที่มีต่อการเรียนมหาวิทยาลัยของคนอเมริกันอย่างมาก ปรากฏการณ์แบบนี้เป็นเพียงความรู้สึกของประชาชนที่อยู่ในประเทศที่มี สวัสดิการทางสังคม และการดูแลจากรัฐค่อนข้างดี และเป็นปรากฏการณ์ของคนรุ่นใหม่ที่มีความหลากหลายในความคิด ความเชื่อ เชื้อชาติ เป็นประชาชนที่ได้รับผลของความสุขความสบายจากบรรพชนในอดีตที่ทุ่มเท ทำงานหนักเพื่อสร้างความเข้มเข็งให้กับเศรษฐกิจของประเทศ ข้อเท็จจริงที่เป็นที่ประจักษ์ในคุณค่าของการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนั้นมี ดังนี้

1. รายได้เฉลี่ยของผู้เรียนจบมหาวิทยาลัยสูงกว่าผู้ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย

2. ผู้จบมหาวิทยาลัยได้งานที่ดีกว่า ทั้งลักษณะงาน บรรยากาศการทำงาน และสวัสดิการต่าง ๆ ที่ได้รับ

3. อัตราผู้ว่างงานที่ไม่จบมหาวิทยาลัยสูงกว่าผู้เรียนจบมหาวิทยาลัย

4. ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมรวมทั้งรายได้ระหว่างผู้ที่จบมหาวิทยาลัยกับผู้ไม่ จบมหาวิทยาลัยแตกต่างกันมากในระยะยาว ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งมีช่องว่างมากขึ้น

5. ผู้ที่มาจากครอบครัวมีรายได้น้อยเมื่อเรียนจบมหาวิทยาลัยสามารถยกระดับฐานะ ทางเศรษฐกิจได้มากกว่าผู้ที่มาจากครอบครัวมีรายได้มากแต่ไม่เรียนจบ มหาวิทยาลัย

6. การทำงานในระดับสูงจำเป็นต้องมีความรู้ระดับสูง และความรู้นั้นมีอยู่เฉพาะในมหาวิทยาลัยเท่านั้น การจะเป็นผู้นำหรือเอาชนะผู้อื่นได้ต้องมีความรู้ที่สูงกว่า หรือมากกว่า

7. การติดกับดักในเรื่องราวของ "ผู้ประกอบการรุ่นใหม่" ที่ประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วโดยไม่เรียนมหาวิทยาลัยเช่น Bill Gates, Mark Zuckerberg และ Steve Jobs นั้น อาจเป็นความเข้าใจเรื่องราวแบบ “ตัดตอนมาเล่า” โดยไม่วิเคราะห์ให้ครบถ้วน ซึ่งถ้าพิจารณาให้ดีแล้วบริษัทของบุคคลเหล่านั้นล้วนประกอบไปด้วยพนักงานที่ จบมหาวิทยาลัยจำนวนมากและเป็นผู้ผลักดันขับเคลื่อนกิจการของบริษัท ถ้าไม่มีคนจบมหาวิทยาลัยในบริษัทเหล่านั้นจะทำให้บริษัทเหล่านั้นประสบความ สำเร็จได้หรือไม่ และท้ายที่สุดพวกเขาเหล่านั้นก็กลับไปเรียนจนได้รับปริญญาจากมหาวิทยาลัย

ข้อ เท็จจริงดังกล่าวเป็นผลการศึกษาอย่างเป็นระบบจากหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ โดยตรง และข้อเท็จจริงดังกล่าวบางด้านกำลังสร้างปัญหาที่ต้องแก้ไข เช่น ช่องว่างของรายได้ระหว่างผู้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกับผู้ไม่จบการศึกษา จากมหาวิทยาลัยนับวันจะมากขึ้น ๆ ทำให้สังคมโดยรวมอาจมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาอีกมากอันเป็นผลมาจากการกระจายรายได้แตกต่างกันมากของผู้มีระดับการ ศึกษาต่างกัน

ข้อสังเกตผลการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีความ เป็นประชาธิปไตย ถึงแม้คนส่วนใหญ่ (60 %) จะเห็นคุณค่าของการศึกษาในมหาวิทยาลัยน้อย และอีก 14% ของผู้จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยไม่รู้สึกว่าการเรียนมหาวิทยาลัยเป็นการ ลงทุนที่คุ้มค่า แต่บทสรุปที่ใช้เป็นนโยบายของประเทศคือ การศึกษาระดับมหาวิทยาลัยเป็นความจำเป็นและมีคุณค่าสำหรับประเทศ สหรัฐอเมริกา และน่าจะเป็นจริงสำหรับประเทศไทยด้วย

รองศาสตราจารย์ ดร.กฤษมันต์ วัฒนาณรงค์

http://www.thairath.co.th/content/edu/173363

จากคุณ : หมาป่าดำ
เขียนเมื่อ : 24 พ.ค. 54 10:34:54




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com