จะลองตอบเท่าที่ทราบนะครับ
1.นอกจากที่ คห.1 บอกก็มีอยู่ในคำให้การชาวกรุงเก่าซึ่งแปลจากภาษาพม่าครับ ว่าในการจัดทัพช่วงสงครามเสียกรุงครั้งที่ 2 มีการให้ช้างคลุมเกราะเหล็กไปในแต่ละทัพด้วย (แต่คำให้การขุนหลวงหาวัดซึ่งแปลจากภาษามอญไม่ได้กล่าวถึง)
2.พระเจ้าแปรพระองค์นี้เดิมมีชื่อว่า เชงนีทา เป็นหนึ่งในพระพี่เลี้ยงของพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้ (อาจเป็นเพื่อนก็ได้ เพราะมหาราชวงษ์พงษาวดารพม่าก็นับบุเรงนองซึ่งอายุแทบไม่ต่างพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้เป็นพระพี่เลี้ยงเหมือนกัน) เข้าใจว่าน่าจะสิ้นพระชนม์ไปก่อนพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้สวรรคต เพราะตอนพระเจ้าตะเบ็งชเวตี้สวรรคต เจ้าเมืองแปรคือนันทโยธา น้องชายอีกคนของบุเรงนอง
3.อันนี้เข้าใจว่าเมื่อเวลามีศึกสงครามก็คงมาเบิกไปใช้เป็นคราวๆไป สำหรับดาบคิดว่าต่างคนอาจจะมีเองก็ได้ แต่อย่างอื่นคิดว่าไม่น่าจะมี
4.อาจจะดูแลลำบากมั้งครับ เพราะก็เป็นอาณาจักรที่ใหญ่เหมือนกัน อาจจะคุมยากพอสมควร เชียงใหม่ถูกพม่าชิงไปในสมัยต้นพระเจ้าปราสาททอง ระหว่างนั้นพม่าที่มีพระเจ้าทาลุนเป็นกษัตริย์ค่อนข้างเข้มแข็ง ประกอบกับหัวเมืองปักษ์ใต้ของอยุทธยาเป็นกบฎ คงทำให้ไม่มีเวลาจัดการมั้งครับ แล้วก็คงไม่ได้มีความสำคัญสำหรับอยุทธยามากนัก อยุทธยาน่าจะสนใจในการรักษาความมั่นคงภายในและหาเมืองท่าทางทะเลเพื่อเปิดเส้นทางการค้ามากกว่า
ส่วนในสมัยพระนารายณ์ เนื่องจากเชียงใหม่กลัวโดนราชวงศ์ชิง(พงศาวดารเรียกจีนฮ่อ) ตีแตกพร้อมอังวะเลยขอให้อยุทธยาช่วย พระนารายณ์เองก็คงจะเห็นช่องที่จะได้เชียงใหม่เลยยกไปตี พอตีได้สัก 2 ปี ก็ถูกพม่าตีกองทัพไทยในเชียงใหม่กลับไป จึงเข้าใจว่าอาจจะยากในการรักษา
5.จากคำให้การชาวกรุงเก่าว่าสูง 3 วา หนา 6 ศอก(แต่ตรวจสอบจริง หนา 8 ศอก ทางเดินกับเชิงเทินด้านบน 6 ศอก)
6. คนไทยเราคงไม่ใช่พวกที่ชอบประดิษฐ์อะไรซับซ้อนมั้งครับ และอาจเพราะไม่มีวิทยาการจากต่างชาติมาเผยแพร่ก็ได้
7.ในมหาราชวงษ์พงษาวดารพม่ามีกล่าวไว้ค่อนข้างละเอียดครับ ขอคัดมาลงเลยละกัน
แล้วแม่ทัพจัดให้คัดเลือกเอาอานช้างลายทอง พระที่นั่งทรงพระเจ้าอยุทธยาไป ๗ อาน เรือใบสำหรับพลทหาร ๒๐๐๐ ลำ ปืนสับนกคาบสิลาลายเงินลายทอง ๑๐๐ กระบอก ปืนคาบสิลาธรรมดา ๑๐๐๐๐ กระบอก ปืนใหญ่หล่อด้วยทองแดงที่เรียกว่าสองพี่น้องนั้น ๒ กระบอก ปืนสำหรับยิงทลายกำแพงแลปืนใหญ่ต่าง ๆ รวม ๓๕๕๐ กระบอก แลพร้อมด้วยลูกกระสุนปืนลูกแตก แลสายโซ่สำหรับใส่ปืนยิงเปนอันมาก แม่ทัพได้จัดคัดเลือกเอาแต่ที่อาวุธดีมีราคาทั้งสิ้น ที่มิได้เอาไปไว้ที่กรุงศรีอยุทธยาก็เปนอันมากอนันตังนับมิถ้วน ปืนใหญ่บางกระบอกใหญ่หลวงนัก เอาไปไม่ได้ก็บรรจุดินอัดให้แน่นแล้วเอาไฟเผาจุดเสียให้แตกก็มากหลายกระบอก
แล้วแม่ทัพจัดให้มีเต้นรำต่าง ๆ สมโภชกองทัพ ๑๒๙ ทัพนั้น ทุก ๆ ทัพคือ เต้นรำพม่า,เต้นรำมอญ, เต้นรำทวาย, เต้นรำตนาว , เต้นรำลาวญวน, เต้นรำอยุทธยา แลพร้อมด้วยเต้นรำต่าง ๆ ครั้นสมโภชเสร็จแล้ว สีหะปะเต๊ะแม่ทัพได้ทราบข่าวว่าจีนห้อมาติดกรุงอังวะสีหะปะเต๊ะแม่ทัพจึงจัดพลทหารพลเมืองชายหญิง มอบให้นายทัพนายกอง ๔๐๖ คนควบคุมรวบรวมพลทหารพลเมืองอยุทธยา ๑๐๖๑๐๐ คน มอบแบ่งให้นายทัพนายกองเสร็จแล้ว ครั้น ณ วัน ฯ ๗ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๒๙ สีหะปะเต๊ะแม่ทัพได้ยกทัพออกจากกรุงศรี อยุทธยาไปยังกรุงรัตนบุระอังวะ แต่กลับไปทางท่าไร่
ครั้นถึงเมืองมุตมะก็พบกับแม่ทัพรองที่พระเจ้ากรุงอังวะทรงใช้ให้มาช่วยตีกรุงศรีอยุทธยานั้น แล้วสีหะปะเต๊ะแม่ทัพจัดให้แม่ทัพหลวงนั้นคุมปืนใหญ่พี่น้องปืนใหญ่อื่น ๆ อิกรวม ๕๐๐ กระบอก บรรทุกแพคุมไปกรุงอังวะ แต่สีหะปะเต๊ะนั้นคุมทหารไปโดยทางบก ครั้นเดือน ๙ ศกนั้นก็ถึงเมืองรัตนบุระอังวะ แล้วสีหะปะเต๊ะแม่ทัพได้เอาสาตราอาวุธทั้งปวงแลพระราชวงษ์แลพระมเหษีแลพระสนมทั้งปวงกับเครื่องภาชนใช้สอยเงินทองทั้งปวงถวายแด่พระเจ้ากรุงอังวะสิ้น
8.ถ้าเป็นแบบนั้นจริงก็คงไม่มีทหารช้างสิครับ การที่แม่ทัพขี่ช้างบัญาชาการเป็นเรื่องปกติครับ อย่างพระราชมนู(ในหนังขี่ม้าตลอด) ในพงศาวดารขี่ช้างแทบทุกศึกครับ
9.ถ้ากลับอยุทธยาไม่ได้ก็อาจจะถูกกลืนชาติไปเลยก็ได้
10.ถ้าแบบเป็นตัวเลขเจาะจง คงไม่มีครับ
11.คิดว่าคงจะอับจนหนทางเต็มที จึงยอมส่งไปครับ หวังว่าพม่าจะถอนทัพ จริงๆแล้วก็คงไม่อย่างส่งไปหรอกครับ
เข้าใจว่าแม่ทัพที่คุณ zodiac28 พูดถึงคือพระยาราม อาจจะยอมส่งไปก่อนแล้วรอทัพจากล้านช้างมาหนุน แต่พม่าใช้พระยารามเป็นประโยชน์ ในปลอมตราพระราชสีห์ส่งคำสั่งปลอมไปให้ล้านช้าง
12.หงสาวดี เข้าใจว่าคงเป็นเมืองหงส์ ซึ่งมาจากตำนานที่ว่าพระพุทธเจ้าทอดพระเนตรเห็นหงส์สองตัวอยู่ที่ตำแหน่งเมืองหงสาวดี
ส่วนเมืองอื่นไม่ทราบครับ แต่คิดว่าเดิมตะนาวศรีขึ้นกับไทยครับ มะริดขึ้นกับตะนาวศรีอีกที
แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 54 10:47:28