|
ผมว่าการ finetune เป็นปัญหาในการ implement นะครับ ถ้าเราเห็นด้วยโดยหลักการว่าควรจะทำ เราก็ต้องวิจัยว่าเรารับเด็กจนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะสม แล้วหาว่าควรเริ่มจากคะแนนเท่าไหร่ดี ถ้าวิจัยแล้วคิดว่า 20 คะแนนเป็นตัวเลขเริ่มต้นที่เหมาะสม แต่พอทำแล้วไม่มีใครเข้าข่ายได้สิทธิพิเศษเลย ก็ต้องเพิ่มให้ถึงจุดที่เหมาะสม คือมีเด็กที่ได้รับสิทธิพิเศษเข้ามาตามจำนวนที่เราต้องการ แต่ถ้าต่อให้ไปจนถึง 100 แต้มแล้ว เด็กยากจนก็ยังได้คะแนนไม่ถึง มันก็แสดงให้เห็นว่าในประเทศไทยเด็กยากจนโง่กว่าเด็กรวยอย่างมาก ถ้าอย่างนั้นผมก็เห็นด้วยว่าไม่ควรทำ แต่ก็เป็นข้อจำกัดเฉพาะที่ เป็นปัญหาในการ implement ไม่ใช่ปัญหาที่หลักการ แต่ผมยังเชื่อว่าเมืองไทยยังให้โอกาสคนพอสมควร และเชื่อว่าเด็กยากจนเมืองไทยก็มีความพยายามพอที่จะก้าวขึ้นมาได้ อยู่ที่ว่าเราจะให้มันขึ้นกับความพยายามของเด็กอย่างเดียว หรือเราควรหย่อนเชือกลงไปช่วยนิดนึง
ที่ผมพูดถึง "คนจนที่มีโอกาสมากกว่าคนอื่น" มันได้หมายถึง "คนที่เกือบจะรอดอยู่แล้ว" หรือ "ด้อยโอกาสกว่านิดเดียว" นะครับ ถ้าเราจะให้มีนโยบายนี้ อย่างแรกเราก็ต้องนิยามคนจนให้ได้ก่อน จะเป็นครอบครัวที่รายได้อยู่ใน quintile, decile ต่ำสุด หรือในครอบครัวที่มี intergenerational poverty ก็ได้ ถ้าเด็กที่เก่งที่สุดในกลุ่มนี้มีโอกาส ก็คือเราให้โอกาสคนในกลุ่มที่ด้อยที่สุดอยู่แล้ว เป็นคนที่ "ด้อยโอกาสจริง ๆ" ถ้าเป็นอย่างนี้ผมไม่เห็นว่าจะเป็นปัญหา ถ้าเด็กในชั้นมี 100 คน แต่สอบตกสิบคน เราให้เด็กที่เก่งที่สุดในคนที่สอบตกได้มีโอกาส เด็กคนอื่นที่สอบตกก็น่าจะมีแรงฮึดสู้ด้วย เฮ้ย ไอ้นี่เคยสอบตกเหมือนกูแต่ตอนนี้มันได้ดีไปละ กูก็น่าจะทำได้บ้าง และที่จริงในชีวิตจริงคนจนอาจจะ associate ตัวเองกับกลุ่มคนจนด้วยกันมากกว่าตัวอย่างนักเรียนสอบตกด้วยซ้ำ ไอ้เด็กนี่มาจากสลัมเดียวกับเรา มันพยายามเรียนหนังสือจนตอนนี้ได้เข้ามหาลัยอันดับหนึ่งของประเทศไปแล้ว ลูกเราก็น่าจะมีโอกาสทำได้แบบไอ้นี่บ้างถ้าเราสนับสนุน ผมว่าไม่มีใครมาคอยนั่งน้อยใจหรอกครับว่าเฮ้ยไอ้นี่บ้านมันอยู่สลัมแต่มันรวยกว่ากูนิดนึง มันจะรอดอยู่แล้วทำไมให้มันเรียน กูจนกว่าทำไมไม่ให้ลูกกูเรียนบ้างวะ มันลิเกเกินไปหน่อย
และผมไม่เห็นว่าการมีคะแนนต่างนิด ๆ แล้วคนจะต้อง "มีโวย" อย่างที่คุณ HotChoc ว่านะครับ คะแนนมันเป็นตัวแปรหนึ่ง การที่เราจะทำ affirmative action เราจะกำหนดเป็นโควต้าจำนวนคนหรือจะกำหนดที่คุณสมบัติเพื่อให้ได้จำนวนคนตามต้องการก็ได้ มหาลัยทั้งหลายมีศักยภาพในการรับคนจำกัด ไอ้การรับเด็กโควต้าเข้ามาก็ต้องมองข้อจำกัดตรงนี้ไว้แล้ว แถมยังกินที่คนอื่นอย่างชัดเจน แต่ผมก็ไม่เห็นใครจะมีโวย การแบ่งที่คะแนนมันก็ไม่เห็นต่างกันที่ตรงไหน เด็กธรรมดาสอบก็ต้องให้ได้ 700 ถ้าบ้านยากจนก็ส่งใบสมัครขอคะแนนพิเศษไป ถ้าส่งแล้วได้คะแนนระหว่าง 680-700 ก็ได้รับพิจารณาพิเศษ ผมว่าไม่เห็นต่างกับระบบโควต้าตรงไหน แถมให้โอกาส individual ได้พิสูจน์ตัวเองมากกว่าระบบโควต้าที่ให้ครูส่งชื่อนักเรียนไปด้วยซ้ำ
affirmative action มันมีหน้าที่แค่ทำให้พื้นมันเอียงนิด ๆ ให้คนมีโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาเท่าเทียมคนอีกกลุ่มหนึ่งได้มากขึ้น มันเป็นแค่ตัวช่วย แต่ปัญหาความยากจนมันมักจะเป็นปัญหาเรื้อรัง เวลาคนจนนาน ๆ เข้ามันก็ท้อ มันก็เลิกกระเสือกกระสน ต่อให้เราทำให้พื้นมันเอียง ให้มันเดินง่ายขึ้น ถ้าคนมันท้อมันเลิกเดินไปแล้วมันก็ไม่มีผล มันก็ต้องมีนโยบายอื่น ๆ ไปกระตุ้นให้คนเดินด้วย
สรุป ถ้าคุณ HotChoc เชื่่อว่า affirmative action มันห่วย คนเราสังคมใจคับแคบ แค่ความต่างนิด ๆ ให้ที่ด้อยโอกาสจำนวนน้อย ๆ จะสร้างความแตกแยกในสังคม อันนี้ผมคงไม่เห็นด้วย แต่ถ้าความต่างมันมากจริง ๆ มันก็อาจจะเกิดผลอย่างที่คุณ HotChoc ว่า แสดงว่าเมืองไทยมีความต่างมากเกิน ผมก็เห็นด้วยว่าเอา affirmative action มาใช้ในกรณีนี้ไม่เหมาะสม
แต่ถ้าคุณ HotChoc เห็นว่า affirmative action ทำไปก็ไม่ได้ผลเพราะคนจนไทยมันโง่เกินอย่างที่ว่า ผมว่าก็ควรจะทำวิจัย หรือทดลองใช้ก่อน ถ้าผลมันเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ผมว่าเมืองไทยก็คงไม่เหมาะสมหรือยังไม่พร้อมจะใช้จริง ๆ
ถ้าคุณ HotChoc เห็นว่า affirmative action มันผิดที่หลักการ เพราะแทนที่จะสร้างความเท่าเทียมกลับสร้างความแตกแยกในสังคม ผมว่าคุณ HotChoc เข้าใจผิดว่า affirmative action ต้องเร็ว ๆ แรง ๆ ถ้าเราจะเปลี่ยนแรง ๆ แบบคอมมิวนิสต์ ผมว่าสังคมอาจจะแตกแยกจริง ๆ แต่ไอ้การให้สิทธิพิเศษคนด้อยโอกาสเล็ก ๆ น้อย ๆ ผมไม่เคยเห็นว่ามีปัญหา ระบบที่ให้โอกาสคนที่ด้อยโอกาสกว่าก็มีอยู่ทั่วไป ทั้งระบบโควต้า ระบบทุนการศึกษาสำหรับคนยากจน ผมไม่เห็นคนมีกะตังค์ออกมาบ่นว่าโควต้าจะแย่งที่กู ทุนการศึกษาทำไมไม่ให้กูบ้าง
จากคุณ |
:
cookiemonmon
|
เขียนเมื่อ |
:
30 พ.ค. 54 16:40:14
|
|
|
|
|