ความคิดเห็นที่ 1 เรียนสาขาอะไรเนี๊ยะ จากคุณ : thursday_s เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 16:41:13

ความคิดเห็นที่ 2 เสนอกรุงเทพมหานคร แถบสีลม จากคุณ : กล่องดำหมายเลข เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 18:18:29 A:180.180.72.174 X: TicketID:284516

ความคิดเห็นที่ 3 กว้างมากเลยนะคะ ต้องถามว่าสนใจในแง่ไหน จากคุณ : Bear Waldorf เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 19:02:31

ความคิดเห็นที่ 4 งง ว่า ทำไมเริ่มจาก การเลือกจังหวัด...มันเป็นเงื่อนไขความแตกต่างเหรอครับ จากคุณ : หมูอวบ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 19:32:48

ความคิดเห็นที่ 5 เรียนรัฐประศาสนศาสตร์ค่ะ เราอยากหาสถิติก่อนอ่ะจ้า เพราะการจะผ่านหัวข้อเราต้องดูพื้นที่ด้วยค่ะ ว่ามีเหตุอะไรเราถึงเลือกจังหวัดนี้  ประมาณนี้ค่ะ เราอยากทำเกี่ยวกับ ความสามารถในการดำรงอยู่ในสังคมและการมีส่วนร่วมทางการเมืองค่ะ คือ มันกว้างมากจริงๆตอนนี้ ก็กำลังสโคปให้เล็กลงมา แต่ว่า ความที่เป็นชายรักชายมันไม่ใช่มีแค่ รับและรุก ถ้าเป็นกราฟ 0-100 มันก็ไล่ระดับไปเรื่อย ตอนแรกสนใจเชียงใหม่ไว้ค่ะ เพราะลองอ่านจากทบทวนวรรณกรรม มีทำเกี่ยวกับเพศที่ค่อนข้างมาก ขอบคุณค่ะ ^^ จากคุณ : แดดอ่อนแสงส่องสะท้อนพื้นน้ำ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 19:44:30

ความคิดเห็นที่ 6 อ่อ แล้วเราเลือกทำชายรักชาย เพราะ 1 สนใจในประเด็นนี้ 2 คือ เราเป็นผู้หญิง ทำหญิงรักหญิงไมได้ค่ะ มันจะเข้าข่ายว่าเราเป็น จากที่ลองศึกษาดูค่ะ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แดดอ่อนแสงส่องสะท้อนพื้นน้ำ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 19:46:53

ความคิดเห็นที่ 7 ว้าไม่สนุกเลย น่าจะทำเรื่องกระเทย สนุกกว่าตั้งเยอะ ยิ่งจำกัดจังหวัดละยิ่งไม่สนุกใหญ่เลย ตอนเราศึกษาเรื่องกะเทยเราไปทั้งเวปไทยและเวปต่างประเทศอ่านบทสนทนาพวกเขา เรียนศัพท์เฉพาะทางของพวกเขา อ่านเรื่องกฎหมายสิทธิเสรีภาพของพวกเขา อ่านเอกสารการแพทย์เรื่องพวกเขาใช้ฮอร์โมนส์อะไรและผ่าตัดแปลงเพศยังไง มีผลกระทบต่อสุขภาพอย่างไร และเอกสารด้านจิตวิทยาที่เกี่ยวข้อง อ่านๆไปเราว่าเราเขียนวิทยานิพนธ์เรื่องกะเทยได้เป็นหลายๆร้อยหน้าสบายๆเลยเพราะข้อมูลจากเวปมันเยอะมากๆ จริงๆแล้วเราศึกษาเพราะความอยากรู้อยากเห็น ถ้าคุณจะเขียนเรื่องรักร่วมเพศ (ที่แสนจะน่าเบื่อ) คุณหาข้อมูลแบบเราก็ได้ ถ้าใช้ google  เก่งๆ และอ่านภาษาอังกฤษได้รับรองว่าไม่อับจนเรื่องหาข้อมูลและแนวคิดที่จะเขียนแน่ๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 20:22:23

ความคิดเห็นที่ 8 ทำไมชื่อเรื่องมันเหมือนเชิงคุณภาพ แต่วิธีการเหมือนเชิงปริมาณอ่ะ จากคุณ : กินอะไรหรือยัง เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 21:00:16

ความคิดเห็นที่ 9 ทำคุณภาพค่ะ แต่ว่า ต้องตอบคำถามให้ได้ด้วยน่ะค่ะ ว่า เลือกพื้นที่นี้เพราะอะไร ไม่ได้ทำปีมาณค่ะ เราทำสัมภาษณ์เชิงลึก กระเทย ก็ถือว่าเป็นรักร่วมเพศใช่รึป่าวเอ่ย ชายรักชาย น่าจะใช่นะคะ จากคุณ : แดดอ่อนแสงส่องสะท้อนพื้นน้ำ เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 22:32:02

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้างั้นน่ามองในแง่ของการใช้สื่อการเลือกตั้งค่ะ เพราะการเมืองดูไม่เปิดพื้นที่ให้เพศที่ 3 เนอะ นักการเมืองต้องเป็น หญิงหรือชาย เท่านั้น จากคุณ : Bear Waldorf เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 22:48:16

ความคิดเห็นที่ 11 ตอบ คคห9 โอ้ถ้าคุณถามว่า "กระเทย ก็ถือว่าเป็นรักร่วมเพศใช่รึป่าวเอ่ย ชายรักชาย น่าจะใช่นะคะ" ก็แสดงว่าคุณยังไม่ค่อยจะพร้อมที่จะทำงานวิจัยด้านนี้ กะเทยนี้เป็นคนที่คิดว่าตัวเองเกิดมาผิดเพศ และอยากไปใช้ชีวิตเป็นเพศตรงกันข้าม แต่รักร่วมเพศนี้เป็นคนที่รักคนเพศเดียวกัน โดยไม่สนใจที่จะเปลี่ยนเพศตัวเอง ยกตัวอย่างเช่นผู้ชายที่เป็นรักร่วมเพศตัวจริงเสียงจริงถ้ามีผู้ชายอีกคนหน้าตาสวยเหมือนผู้หญิงแต่งตัวเป็นผู้หญิงไปอ่อยเหยื่อเขา It will turn him off. คือทำให้เขาหมดอารมณ์ ^ พอจะนึกภาพออกไหมว่าผู้ชายๆกับผู้ชายเป็น man ด้วยกัน เผลอๆกลัามเป็นมัดๆหนวดเครายาวๆ 2 คนกอดกันอ้ะ หรืออย่างมากที่สุด 1 ใน 2 ก็แค่กระตุ้งกระติ้งหน่อยๆ แต่ถ้าถึงระดับแต่งตัวเป็นหญิงแล้วสวยได้นี่ อีกฝ่าย "ถ้าเป็นรักร่วมเพศตัวจริง" จะหมดอารมณ์ทางเพศไป (He is turned off.) เอาซะงั้นเลย... แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 54 23:00:18 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 22:59:58

ความคิดเห็นที่ 12 คุณจะทำงานแบบนี้เจาะลึกได้คุณต้องเคยสัมภาษณ์คนรักร่วมเพศตัวจริงเสียงจริงมา และต้องแยกแยะได้ระหว่างกะเทย คนรักร่วมเพศ และ bisexual เราเคยพูดคุยกับผู้ชายรักร่วมเพศตัวจริงเสียงจริงบ่อยๆ ที่รู้ว่าตัวจริงเสียงจริงก็เพราะเขาอยู่กินกันเป็นคู่ผู้ชาย 2 คนด้วยกัน บางคู่ก็เป็น man กล้ามเป็นมัดๆ และมีหนวดเครายาว แต่บางคู่ก็ 1 ใน 2 กระตุ้งกระติ้งนิดหน่อย คำถามเดิมๆก็คือ "คุณเห็นผู้ชายด้วยกันแล้วมีอารมณ์ทางเพศยังไง ลองอธิบายให้เราฟังซิ" เขาก็อธิบายออกมายาวๆ แล้วเราก็ตั้งคำถามว่า "ถ้ามีผู้ชายที่สวยมากๆเหมือนผู้หญิง แต่งตัวเป็นผู้หญิงเดินมาใกล้ๆคุณ คุณจะมีหรือไม่มีอารมณ์ทางเพศ" คำตอบก็คือ "no" ซะเกือบหมด! ถ้าคำตอบ "yes" ก็ให้สันนิษฐานว่า "เขาเป็น bisexual (คนชอบ 2 เพศ( หรือไม่ก็เป็น heterosexual (คนชอบเพศตรงข้าม)" ^ การลงสนามสัมภาษณ์สด กับการอ่านรายงานต่างประเทศด้านจิตวิทยา หรือด้านการแพทย์ ช่วยได้มากกว่่่่่่่่าอ่านวรรณกรรม แต่วรรณกรรมบางอย่างก็ช่วยได้ ยกตัวอย่างเช่น ผลงานของ D.H. Lawrence แฝงข้อคิดที่ลึกๆ ซึ่งนักวิจัยที่ยังขาดประสบการณ์จะพลาดได้ นั่นก็คือ ผู้ชายที่เป็น heterosexual คือคนที่รักเพศตรงข้ามตามปกติ แต่งงานมีเมียมีลูกตามปกติ แต่อยู่ดีๆเกิดหลงรักเพื่อนผู้ชายด้วยกันจนถึงขั้นมีความสัมพันธ์ทางเพศกัน ทั้งๆที่ไม่ใช่ปัญหาเรื่อง hormone imbalance (ความไม่สมดุลย์กันของฮอรโมน) แต่อย่างได อย่างเช่นในนิยายเรื่อง Women in Love ของ D.H. Lawrence ^ และในทางกลับกันก็เป็นจริง อย่างเช่นในเรื่อง The Fox ของ D.H. Lawrence ที่เปิดฉากมาก็มีผู้หญิง 2 คนอยู่ด้วยกันแบบรักร่วมเพศ แต่อยู่ดีๆมีผู้ชายมารถตายไปไหนไม่ได้มาขออาศัยอยู่ ทำไปทำมา 1 ในผู้หญิง 2 คนกลายเป็นมารักผู้ชาย... ในชีวิตจริงเรื่องแบบนี้ก็เกิดขึ้นได้ เช่น สมัยเมื่อเราหัดเล่นเน็ตใหม่ๆเมื่อหลายปีก่อน เราใช้ msn messenger (ตอนนั้น webcam ยังแพงอยู่เลยไม่ใช้กล้องแล้วก็ไม่เห็นหน้ากัน) คุยกับสาวคนหนึ่งคุยๆไปแล้วเธอเล่าให้เราฟังว่าเธอเคยมีแฟนเป็นผู้หญิงตั้งแต่อายุ 17-18 จนอายุ 30 กว่าๆโดยที่พ่อแม่เธอก็รู้แล้วไม่ว่าอะไร แต่อยู่ดีๆแฟนสาวเธอหนีเธอไปแต่งงานกับผู้ชาย เราก็เลยเล่นสนุกโดยการแปลงร่าง(แต่งตัวเสื้อผ้าผู้หญิงสวยๆ)เป็นผู้หญิงแล้วส่งรูปไปให้เธอดู (ตอนนั้นผมจริงๆเรายาวเกือบถึงก้น) แล้วเธอตอบว่า "เราสวยกว่าเธอ" อ้าวเวรกรรมถ้าฉันเป็นผู้ชายแล้วสวยกว่าเธอหละ เธอจะหน้าตาเป็นไงหว่า?...จากนั้นเราก็พบกันจริงๆแล้วจีบกันอยู่ต่อไปอีกหลายเดือน...แต่เรื่องมันก็ลงเอยเป็นว่าเราก็ไปได้แฟนเป็นผู้หญิงอีกคนหนึ่ง แล้วเธอก็ไปได้แฟนเป็นผู้ชายอีกคนหนี่ง...ซะงั้น...555+++... แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 54 02:54:19 แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 54 23:28:40 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 23:24:46

ความคิดเห็นที่ 13 ทั้งเรื่อง The Fox กับ Women in Love เราอ่านนิยายไม่จบหรอก แต่ดูหนังทั้ง 2 เรื่อง การแยกแยะลักษณะเฉพาะที่น่าสนใจระหว่างตัวละคร 2 ตัวคือผู้ชาย 2 คน นั่นก็คือ 1 ในนั้นเป็น heterosexual ตัวจริงเสียงจริงที่แต่งงานกับผู้หญิงจริงๆ อยู่กินกันตามปกติ แต่อีก 1 ในนั้นเป็น homosexual (รักร่วมเพศ) ตัวจริงเสียงจริง ที่ไม่เคยรักผู้หญิง แต่แต่งงานกับผู้หญิงเพื่อปกปิดสถานภาพของตัวเอง ก็เลยเป็นชีวิตแต่งงานที่ไม่ผาสุข พอผู้ชาย 2 คนมาเจอกัน ผู้ชายคนที่ไม่เคยรักผู้ชายด้วยกันก็เกิดความรักผู้ชายด้วยกัน แต่ผู้ชายที่เป็น heterosexual ก็ยังคงยืนยันนะว่าเขาก็ยังรักเมียเขาอยู่และนี่มันเป็นความรักที่ไม่เหมือนกัน อ้าวเวรกรรม!...เรื่องมันก็เลยอลเวง...ต้องไปหาหนังมาดู...ถึงจะสนุก แก้ไขเมื่อ 31 พ.ค. 54 23:38:30 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 31 พ.ค. 54 23:35:56

ความคิดเห็นที่ 14 คำว่า "เพศที่ 3" ที่ คคห 10  พูดถึงนะ เราต้องแยกแยะให้ดีๆนะ เพราะ homosexuals (คือคนรักเพศเดียวกัน) ไม่คิดว่าตัวเองเกิดมาผิดเพศ ไม่เคยคิดอยากแปลงเพศ จึงไม่ถือว่าเป็นเพศที่ 3 นะ คำว่า "กะเทย" ในภาษาไทยเป็นอะไรที่สับสนมากๆ เมื่อ 45 ปีที่แล้วชายรักชาย หญิงรักหญิงสังคมไทยสมัยนั้นใช้คำว่า "กะเทย" มั่วไปหมดจนงง ลองมาดูศัพท์ภาษาอังกฤษที่แยกประเภทจริงๆกัน transgender คือคนที่คิดว่าตัวเองเกิดมาผิดเพศและอยากแปลงเพศ ถ้าชายแปลงเป็นหญิงก็เรียกว่า male to female transgender ถ้าหญิงแปลงเป็นชายก็เรียกว่า female to male transgender ^ เรื่องราวโดยรวมของคนพวกนี้เรียกว่า transgenderism ศัพท์อีกหลายตัวที่น่าสนใจก็คือ transexual ก็คล้ายๆกับ transgender แต่คนที่ทำให้ผู้คนงงก็คือ transvestite คนที่เป็น transvestite บางคนไม่ใช่ transexual หรือ transgender แต่เขาชอบเอาเสื้อผ้าเพศตรงข้ามมาใส่ เพราะมันเป็น fetish คำว่า fetish ดั้งเดิมแปลว่า "วัตถุที่ใช้บูชา เช่นในการทำพิธีกรรมต่างๆ" แต่นักจิตวิทยาชาวฝรั่งเศสชื่อ Alfred Binet (ซึ่งเป็นคนที่คิด IQ test) เอาคำว่า fetish มาใช้ในวิชาเพศศึกษาในความหมายว่า "วัตถุที่ทำให้มนุษย์เกิดอารมณ์ทางเพศได้" เสื้อผ้าผู้หญิงเป็น fetish อย่างหนึ่งของผู้ชาย ในขณะที่เสื้อผ้าผู้ชายไม่ค่อย "ออกฤทธิ์" เป็น fetish ที่ดีของผู้หญิงนัก ด้วยเหตุผลอันง่ายๆที่ว่า "ผู้หญิงใส่เสื้อเชิร์ตผู้ชายนุ่งกางเกงผู้ชายออกไปเดินบนถนนมันดูเป็นเรื่องปกติ แต่ในทางกลับกันถ้าผู้ชายใส่เสื้อผู้หญิงแล้วนุ่งกระโปรงไปเดินบนถนน มันดูแปลก" ความแปลก "เป็นของต้องห้าม" ของต้องห้ามจึงมีมนต์ขลัง fashion designers ดังๆ ทำเงินได้มหาศาลเพราะออกแบบเสื้อผ้าผู้หญฺิงให้ผู้ชายดูแล้วตลึง ผู้หญิงก็เลยซื้อมาใส่ล่อสายตาผู้ชาย ผู้ชายก็เลยซื้อให้แฟนตัวเองใส่เอาไว้ดูเป็นอาหารตา แต่ก็มีผู้ชายที่ชอบเอาเสื้อผ้าผู้หญิงมาใส่บนเรือนร่างตัวเองเพราะทำให้เกิดอารมณ์ทางเพศได้และทำให้มีความสุขอย่างประหลาด เรื่องราวแบบนี้เขาเรียกว่า fetishism และคนที่ใช้ fetish เป็นของเล่น เราเรียกว่า fetishist ผู้ชายที่เป็น fetishist ซึ่งเล่นกับของเล่นคือ fetishes ที่เป็นเสื้อผ้าผู้หญิง คือเอามาสวมใส่บนเรือนร่างนั้น เราเรียกว่า transvestite transvestites บางคนเป็น heterosexuals (ชอบแต่เพศตรงข้ามคือชอบผู้หญิง) บางคนเป็น bisexuals (ชอบทั้งหญิงทั้งชาย) แต่ transvestites มักจะไม่ประสบความสำเร็จในการแต่งตัวเป็นผู้หญิงสวยๆไปยั่วตัณหา male homosexuals (ชายรักชาย) ตัวจริงเสียงจริง เพราะ male homosexuals (ชายรักชาย) ตัวจริงเสียงจริง ดูผู้หญิงสวยๆก็ไม่เกิดอารมณ์ทางเพศ ยิ่งดู transvestites แต่งตัวเป็นผู้หญิงสวยๆ ก็ยิ่ง "ไม่เกิดอารมณ์ทางเพศ" ใหญ่เลย... แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 54 00:12:18 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 00:09:13

ความคิดเห็นที่ 15 อืมม์........ผมว่าดีนะ ต้องลงสนามจริงทำวิจัยเลย จับแนวความคิดให้แม่นๆแล้วลงสนามเลย มันก็เป็นประสบการณ์ไปอีกแบบจากประเภทที่ทำวิทยานิพนธ์โดยอ่านแต่ในหนังสือที่ห้องสมุดอย่างเดียว เอาใจช่วยครับ จากคุณ : สนใจ เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 09:24:01

ความคิดเห็นที่ 16 ความคิดเห็นที่ 9 แม้จะเป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ หากได้นำสถิติประเภทนอนพาราเมตริก หรือ non-parametric statistics เข้าไปเสริมในการวิเคราะห์บ้าง น่าจะทำให้งานวิจัยของคุณมีน้ำหนัก และน่าเชื่อถือขึ้น แม้ว่านักวิจัยทางพฤติกรรมศาสตร์บางกลุ่มแย้งว่า พฤติกรรมของคน ไม่สมควรอธิบายด้วยตัวเลข แต่คิดว่า หากมีผลการวิเคราะห์ทางสถิติประกอบเข้าไปด้วย จะไม่ผิดกติกาแต่อย่างใด แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 54 16:02:34 แก้ไขเมื่อ 01 มิ.ย. 54 12:08:04 จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 11:40:12

ความคิดเห็นที่ 17 การทำงานวิจัยเชิงคุณภาพ ควรจะเลือกสถานที่ที่คุณสามารถเข้าถึงได้และมีความปลอดภัยค่ะ คนทำงานในเรื่องนี้จะไม่เริ่มด้วยการถามว่าควรจะไปที่จังหวัดไหน แต่จะถามตัวเองว่า ตัวเองเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการที่ไหนได้บ้าง บางคนมองที่บ้านเกิด แต่บางคนมองบ้านเกิดว่าไม่เหมาะสม เพราะข้อมูลมัน sensitive เกินและเราก็รู้จักเขามานานเกินจนคนที่เราต้องการถามไม่สามารถจะมองเราเป็นนักวิจัยอย่างเดียวได้ บางคนมองแหล่งที่ตัวเองเคยเที่ยว เคยเรียน เคยใช้ชีวิตประจำวัน และอื่นๆอีกมากมาย และต้องมองด้วยว่าคุณจะเก็บข้อมูลโดยใช้วิธีไหน แต่ละวิธีมาจากแนวคิดที่ไม่เมือนกัน ต้องการการฝังตัวในพื้นที่ไม่เท่ากัน และมีข้อจำกัดต่างกัน ซึ่งจะทำให้คุณมีทางเลือกในการเก็บข้อมูลที่ต่างกันไปด้วย ถามในนี้ถามได้ แต่คำตอบที่ได้ มันอาจจะไม่เหมาะกับคุณเลยสักนิดก็ได้ จากคุณ : Deckard เขียนเมื่อ : 1 มิ.ย. 54 15:54:07

ความคิดเห็นที่ 18 ที่เราเขียนให้หลายๆ คคห นั้นก็คือวิธีแยกแยะ sexual orientation ของคนว่าคนที่เราเจอน่ะจัดอยู่ประเภทไหนบ้าง ความรู้พวกนี้จำเป็นต้องใช้ในการสร้างแบบสอบถามเพื่อให้เรารู้ได้ว่าจะตั้งคำถามแบบไหนให้ได้ข้อมูลที่เราต้องการ ม่ายงั้นตอนเก็บข้อมูลถ้าแยกแยะไม่ถูก ก็จะเก็บข้อมูลผิดคน หรือสัมภาษณ์คนผิด จริงๆแล้วคนที่เป็นรักร่วมเพศ คนที่ตาแหลมๆ คือมีประสบการณ์ในการเข้าสังคมเยอะๆ พอดูสายตาท่าทางการเดินเหินก็จะบอกได้เกือบจะทันทีเลยว่าใช่หรือไม่ แต่ทำยังไงจึงจะเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้อย่างปลอดภัยก็ต้องหาทางหนีทีไล่ให้ดีๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 01:03:56

ความคิดเห็นที่ 19 วันนี้ลองคุยกับป้า หลังป้า(จริงๆเค้าเป็นผู้ชายนะคะแต่งงานมีลูก แต่ไม่ชอบผู้หญิงถูกบังคับแต่งงานตอนนี้เค้าก็ทำงานในคลับนะคะ เค้าบอกเองว่ากลางวันเป็นพ่อ กลางคืนเป็นเมีย) เราลองถามเค้าว่าป้าซิ่ง ชายรักชายกับกระเทยเหมือนกันมั้น ป้าแกบอกว่า ก็อยู่ในพวกเดียวกันแหละผู้ชายชอบผู้ชาย แต่ต่างกันที่ข้างในจิตใต แต่ก็ชอบผู้ชาย บางคนที่เป็นเกย์ ชอบผู้หญิงบ้างก็มี ได้ทั้งชายทั้งหญิง แต่อย่างป้านี่นะ ไม่ชอบผู้หญิง ป้าถูกบังคบแต่งงานก็เลยต้องแต่ง ชั้นก็เลยต้องชอบเมียชั้น เราเลยถามป้าเค้าไปว่าแล้วอย่างป้าเนี่ย เรียกว่าอะไรอยู่ตรงคำไหน ป้าแกตอบไม่ได้ ว่าแกเกย์หรือกระเทย อันนี้ก็เป็นเคสที่แปลกอีกเคสนึง ^^ จากคุณ : แดดอ่อนแสงส่องสะท้อนพื้นน้ำ เขียนเมื่อ : 2 มิ.ย. 54 22:30:21

ความคิดเห็นที่ 20 จขกท. ยังคงต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ homosexual อีกเยอะนะคะ เข้าใจไม่ผิดคุณคงเป็นหญิงแท้...แต่ถ้าดูจากเรื่องที่อยากทำ แนะนำว่าเป็นชนบทๆเลยดีกว่าค่ะ ส่วนตัวคิดว่าใน กทม.และจังหวัดใหญ่ๆ คนกลุ่มนี้ไม่มีปัญหาเรื่องสิทธิแล้วค่ะ วัดจากประสบการณ์ส่วนตัว (เราเป็นเลสค่ะ) รวมถึงเพื่อนๆที่เป็นเกย์ด้วยนะคะ (ฝรั่งเรียกทั้งชายและหญิงที่เป็น homosexual ว่าเกย์ค่ะ) มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมือง และไม่ได้รู้สึกถูกริดรอนสิทธิใดๆค่ะ แต่ในจังหวัดเล็กๆ น่าจะยังพบปัญหาอยู่ค่ะ จากคุณ : SadDog เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 14:52:25

ความคิดเห็นที่ 21 อ่า คุณSadDog ขอบคุณมากค่า ถูกต้องแล้วจ้า เราต้องทำความเข้าใจอีกเยอะเลย ทุกที่ก็ยอมรับหมดค่ะ แต่แค่ภายนอกนะ ภายในก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นหรอกค่ะ คือ ยังไงดี อธิบายไม่ค่อยเป็น อย่างไทยนี่ค่ะ มี นาย นางสาว นี่คือคำนำหน้าชื่อ ของแบบชายจริงหญิงแท้ ไม่มีสิทธิในการจดทะเบียนสมรส ของชายรักชาย หรือหญิงรักหญิง และที่เกี่ยวกับสิทธิทางการเมือง คือ อย่างเวลาลงสมัคร สส ก็ต้องบอกว่าชายแท้ เพราะถ้าบอกว่าเป็ย เกย์ กระเทบ คนก็จะยี้กัน หรืออาชีพต่างๆ ถ้ามีความผิดปกติทางจิตใจ เวลาที่สมัครงาน ก็ค่อนข้างลำบากกว่าแบบแท้ๆ ทั้งๆที่เขาก็มีความสามารถไม่แพ้กัน เพศ ความรัก อำนาจทางการเมือง  ประมาณนี้ค่ะ sexual politics แก้ไขเมื่อ 03 มิ.ย. 54 20:50:52 จากคุณ : แดดอ่อนแสงส่องสะท้อนพื้นน้ำ เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 20:49:31

ความคิดเห็นที่ 22 อ่อ แนวๆข้าราชการมั้งคะ เพราะที่ทำงานเก่าเรา กะเทยแต่งหญิงไปทำงานได้จ้า และเข้าห้องน้ำหญิงได้ด้วย (เล่าสู่กันฟังเฉยๆนะคะ)...อืมม เป็นกำลังใจ สำหรับวิทยานิพนธ์ละกันค่ะ แนะนำดูซีรีส์เรื่อง the l word จะเข้าใจ homo มากขึ้นค่ะ ถึงแม้จะเป็นเรื่องของเลส แต่แทรกประเด็นทางสังคมของ homo ใน LA ได้น่าสนใจ เผื่อเป็นแนวทางสำหรับศึกษาค่ะ ดูเฉพาะซีซั่นที่ 4 เป็นต้นไปก็พอค่ะ เพราะพูดถึงประเด็นทางสังคมและการเมืองค่อนข้างเข้มข้น (ซีซั่น 1-3 ก็พูดถึงค่ะ แต่ไม่เข้มข้นเท่าไหร่) แต่ระวังรับไม่ไหวกับเลิฟซีนนะคะ อิอิ จากคุณ : SadDog เขียนเมื่อ : 3 มิ.ย. 54 23:09:51

ความคิดเห็นที่ 23 รับได้ค้า ^________________^ จากคุณ : แดดอ่อนแสงส่องสะท้อนพื้นน้ำ เขียนเมื่อ : 5 มิ.ย. 54 01:04:00