ความคิดเห็นที่ 1 สังคมปัจจุบันดีกว่ามากแน่นอน ทั้งในด้านมาตรฐานการดำรงชีพ, ความสะดวกสบาย, ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ครับผม อย่างมาตรฐานการดำรงชีพ - สมัยก่อนอยู่เมืองจีน ที่บรรพบุรุษผมทำนามาหลายชั่วคน แต่ก็ยังอดอยากปากแห้ง นอกจากวันตรุษวันสารท ยากที่จะได้กินข้าวขาว หรือมีกินอิ่มท้อง ปู่ผมเล่าให้ฟังว่า ทำนามาทั้งปี เหลือผลผลิตนิดเดียว เพราะต้องไปเช่าที่นาของคนอื่นเขา พอหมดฤดูทำนาก็อากาศหนาว ขาดน้ำ ทำนาไม่ได้ ก็ต้องออกไปขายแรงงานตามในเมืองหรือตามบ้านของคนมั่งมี - สมัยก่อน ผู้หญิงคลอดลูก อัตราการตายของเด็กและแม่สูงมาก 100 คน จะตายเสีย 10-15 คน แถมเด็กๆก็รอดชีวิตจนโตเป็นผู้ใหญ่ได้ไม่กี่คนเท่านั้น ปู่ผมมีพี่น้องที่อายุยืนจนโตเป็นผู้ใหญ่แค่ 4 คน จากที่ทวดคลอดมา 8 คน - โรคระบาดต่างๆลงที ก็ตายกันยกหมู่บ้าน เป็นโรคอะไรก็ไม่มีเงินไปหาหมอ รักษากันตามมีตามเกิด รอดก็ดีไป ไม่หายก็ตายพ้นทุกข์กันไป อย่างความสะดวกสบาย - สมัยก่อนปู่ผมอายุ 4 ขวบ ก็ต้องลงไปช่วยงานในนาแล้ว หนังสือก็ไม่ได้เรียน ยามว่างก็ต้องไปช่วยพ่อแม่หาบน้ำจากบ่อน้ำในหมู่บ้าน (ปู่เล่าว่าเดินไปไกลมากกว่าจะตักมาได้) น้ำประปาไม่มี กลางคืนก็ต้องประหยัดไต้และน้ำมันตะเกียง เพราะยากจนมาก ถ้าไม่ได้ทำงานอะไรพอฟ้ามืดก็ปิดบ้านกันหมด - จะไปไหนมาไหนทีก็เป็นเรื่องที่ยุ่งยากและวุ่นวายมาก แค่ทวดผมจะเอารองเท้าฟางไปขายในเมืองก็ต้องเตรียมตัวกันหลายวันก่อนออกเดินทาง เนื่องจากไม่มีเงิน เลยต้องอาศัยเดินเท้า 1 วันเพื่อเข้าเมืองไปขายของ - เวลานาล่ม หรือฝนแล้ง ก็ไม่มีใครมาช่วยหรอกครับ ทางการเขาไม่เหลียวแล เจ้าหนี้ก็ไม่มีการประนีประนอม การทวงหนี้ไม่มีคำว่าปราณี - สมัยก่อนนี่ ปู่เล่าว่า พวกร้านขนมเปี๊ยะต้องคนมีเงินถึงจะซื้อกินได้ เนื่องจากพวกขนมเหล่านี้เป็นของฟุ่มเฟือยเกินไปสำหรับครอบครัวชาวนาที่ยากจน ต้องเทศกาลสำคัญจริงๆจึงจะได้กินกันคนละนิดๆหน่อยๆ ด้านความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน - สมัยก่อน นี่ชาวบ้านต้องรวมตัวกันปกป้องตัวเองครับ บ้านเมืองมีอาญาขื่อแป แต่การบังคับใช้ไม่ทั่วถึง และเต็มไปด้วยกลุ่มอิทธิพลท้องถิ่น ปู่เล่าให้ฟังว่า พวกขุนศึกในกวางตุ้ง มักจะบัญชาการให้ลูกน้องมาจับผู้ชายที่แข็งแรงในหมู่บ้านไปเป็นทหารประจำ (เนื่องจากแต้จิ๋วเป็นเขตเล็กๆ เลยไม่มีขุนศึกใหญ่ๆประจำการครับ มีแต่พวกขุนศึกระดับล่างๆ ที่เป็นลิ่วล้อของขุนศึกในกวางตุ้งอีกที) จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 12:47:16

ความคิดเห็นที่ 2 ทุกวันนี้ที่ไม่มีสงครามเหมือนยุคก่ิอน เพราะเป้าหมายในการทำสงครามมันเปลี่ยนไป สมัยก่อนต้องใช้กำลังยึดครองดินแดนเพื่อจะได้บังคับเอาผลประโยชน์เข้าตัวเองได้ แต่เดี๋ยวนี้เขาใช้เศรษฐกิจ เข้ามาทำสงครามเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เพราะฉะนนั้นไม่ใช่ว่าคนสมัยนี้ไม่ทำสงครามเพราะ มีศีลธรรม สิ่งอำนวยความสะดวก ความบันเทิง การท่องเที่ยว ที่ไปไหนมาไหนได้ง่ายทุกวันนี้มันก็อยู่ในสงครามเศรษฐกิจที่เข้าสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราตกเป็นทาสของมัน ใครมีความสามารถหาเงินได้ อย่างสุจริตก็ดีไป แต่บางคนก็ทำทุกวิธีเพื่อให้ได้มา โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรม เช่นการค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด วรรณะทุกวันนี้ไม่ได้มาจากชาติกำเนิด แต่อยู่ที่ฐานะทางเศรษฐกิจ ทาสทุกวันนี้ก็ยังมีแถมไม่มีทางเป็นอิสระได้ด้วย ลองคิดดูเอง คนเราถ้าไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นไม่เคยมี ก็ไม่ต้องการอะไร พอรู้พอเห็นพอมี ก็อยากได้ ลองดูคนที่เขาอยู่ในที่ห่างไกลความเจริญ เขาใช้ชีวิตยังไง และอย่าไปมองว่าเขาไม่มีความสุขนะครับ ไอ้คนอย่างเรานี่แหละถ้าไปอยู่อย่างเขาอาจจะทุกข์ได้ ไม่ใช่ผู้รู้นะ แต่ตอบจากความคิดตัวเอง จากคุณ : Audigy37 เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 13:02:30

ความคิดเห็นที่ 3 สมัยก่อนตายง่ายนะครับ เป็นโรคท้องร่วงก็ตาย ถูกเกณฑ์ไปรบโอกาสตายก็มีสูง ไปขัดใจเจ้านายก็ถูกฟันคอเอาดื้อๆ เอาสมัยไหนดีหล่ะ จากคุณ : newuno เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 14:17:21

ความคิดเห็นที่ 4 ผมว่าในด้านสิทธิความเป็นมนุษย์และความตระหนักในสิทธิของคนในยุคนี้ ถือว่าสูงกว่าในยุคก่อนมากครับ ในสังคมทาสและศักดินานั้น ถ้าเกิดมาเป็นชนชั้นล่างของสังคม คุณจะแทบไม่มีสิทธิหรือความเป็นมนุษย์ใดๆ ในสายตาของชนชั้นปกครองเลยหน่ะครับ เป็นเพียงเครื่องมือหรือกลไกในการดำรงอำนาจการปกครองของพวกชนชั้นสูงเท่านั้น แต่พอเกิดสังคมพัฒนาจากศักดินา มาเป็นทุนนิยม เพื่อปลดปล่อยแรงงานจากภาคเกษตรกรรมสู่ภาคอุตสาหกรรม และเพื่อหลอกใช้แรงงานเหล่านั้นให้ทำงาน จึงต้องมีการปรับปรุงด้านสิทธิขึ้นมาอีกระดับหนึ่งครับ แต่ก็อย่างว่าแลครับ พวกนายทุนไม่มีวันเห็นแรงงานเป็นมนุษย์ เพราะพวกเขามองแรงงานแค่เป็นปัจจัยการผลิต หรือไม่ก็ต้นทุนการผลิตเท่านั้น นั่นทำให้เหล่าแรงงานต้องรวมตัวกัน โค่นล้มกรรมสิทธิ์ส่วนบุคคล และจัดตั้งรัฐซึ่งควบคุมโดยชนชั้นกรรมชีพขึ้นมา นั่นแลสิทธิมนุษยชนของเหล่าแรงงานหรือชนชั้นล่าง จึงจะได้รับกันอย่างแท้จริง และเมื่อทำการปฏิวัติกันถึงรากถึงแก่นแล้ว ก็จะบรรลุถึงระดับสังคมคอมมิวนิสต์ครับ สังคมที่ทุกคนตระหนักในสิทธิ หน้าที่ และความรับผิดชอบต่อสังคมและการเมืองด้วยตนเอง จะไม่มีการกดขี่หรือยึดครองทรัพยากรโดยบุคคลอีกต่อไปครับผม จากคุณ : อุ้ย (digimontamer) เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 15:47:32

ความคิดเห็นที่ 5 3#รบกวนช่วนเล่า ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่2 เพราะฟังจากคนไทยยุคนั้น หลายท่าน บอกว่าคนไม่รีบเร่ง ใจเย็นไม่ต้องดิ้นรนมาก มีลำบากช่วงเปิดหวอ แต่ไม่มีอด ในน้ามีปลา ในนามีข้าว แต่หางานยาก ต้องฝากกัน เด็กเรียนหนังสือ โตเข้ากรุงมาเรียนต่อสายอาชีวะ เช่น ไฟ้า วิทยุ ซ่อมนาฬิกา กลับบ้านไปเปิดร้านได้ หญิงเรียนการเรือน ตัดเสื้อ ทำผม เปิดร้านได้ ชีวิตคนทั่วไปถ้าได้เรียนสายอาชีวะ พอเลี้ยงตัวได้ ถ้าเรียนจบม.เปิดยุคนั้น บางบ้านหาว่า ทิ้งไร่นามาเรียนหนังสือ ไม่ทราบว่าเท็จจริงประการใด จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 15:56:33

ความคิดเห็นที่ 6 อื่ม....ศีลธรรมเสื่อม นี้เราเอาเกณฑ์ศีล 5 เป็นเครื่องชี้วัด ข้อ1.  การแพทย์ในปัจจุบันดีกว่าแต่ก่อนมาก...อัตราการตายของเด็กแรกคลอดลดลงจากแต่ก่อนเป็นอันมาก....แต่ทว่าอัตราการทำแท้งพุ่งกระฉูด.....การทำแท้งเป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์  ตัดรอนไม่ให้เค้าได้ถือกำเนิดเกิดเป็นคนโดยสมบูรณ์  ถือว่าเป็นกรรมหนักผิดศีลข้อปาณาติบาต.... ซึ่งในอดีตคนสมัยก่อนเกรงกลัวต่อบาปกรรมอยู่มาก  จะหักหาญฆ่าลูกตนเองเพื่อปัดความรับผิดชอบต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องของตน  นับว่าเกิดมีขึ้นน้อยมาก  อย่างมากหากเลี้ยงไว้ไม่ได้ก็มักจะเอาไปให้ผู้อื่นชุบเลี้ยงต่อไป  แต่จะฆ่าลูกตนเองเท่าที่ศึกษาแทบไม่ปรากฎ ข้อ2. การลักทรัพย์ในอดีตนั้น....จะทำก็แต่ลักเล็กขโมยน้อยทั่วไป....จะหมายปล้นบ้านปล้นเมืองอย่างที่ข้าราชการ  พ่อค้า นักการเมืองไทย ทำเช่นในปัจจุบันไม่มี....การคอรัปชั่นก็คือการโกง  เป็นการลักทรัพย์  เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้ได้ทรัพย์มาโดยมิชอบ   ทุกวันนี้ในสังคมไทยมีแต่การโกงกินกันทุกหย่อมหญ้าทุกชนชั้น  ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ  ไม่มีหิริโอตัปปะ  เบียดบัง ยักยอก ฉ้อโกง  ในทุกอย่างที่ทำได้   ทุกองค์กรทุกหน่วยงานเป็นเหมือนกันหมด  ทุกคนปล่อยตัวให้หลงไปกับกระแสแห่งวัตถุนิยม  บริโภคนิยม  มุ่งที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองจะโดยวิธีการใดไม่สนใจ   แต่ก่อนหากใครถูกจับได้ว่าโกง  โดยเฉพาะโกงชาติบ้านเมืองจะอับอายแทบเอาหน้าซุกดิน  แต่ปัจจุบันความละอายแทบไม่ปรากฎมีบนใบหน้าของคนไทย  เพราะเห็นว่าใครๆ ก็ทำกัน  ใครๆ ก็โกงกินกัน  ชาวบ้านร้านรวงก็พลอยเป็นกับเค้าไปหมด  การโกงจึงเป็นเรื่องธรรมดาของคนในยุคสมัยนี้ไปหมดแล้ว   ไม่เป็นสิ่งที่น่าตำหนิติเตียนเหมือนเช่นในอดีตเพราะศีลธรรมเสื่อมลง ข้อ 3. ตั้งแต่มีการบัญญัติศัพท์นรกจาก "ทำชู้" เป็น "มีกิ๊ก" ทำให้การลักลอบคบชู้สู่ชายเป็นเรื่องธรรมดาของคนในสังคมนี้ไป  จากเดิมเป็นสิ่งที่น่าอับอายต้องปิดบังซ่อนเร้นมิให้ผู้ใดล่วงรู้  แต่ปัจจุบันสามารถนำมาคุยโม้โอ้อวดกันอย่างโจ๋งครึม  ทั้งหญิงชายไม่มีความละอายต่อการมีเพศสัมพันธ์อันไม่เหมาะสม  เห็นเป็นสิ่งโก้เก๋ตามยุคสมัยแห่งการมีกิ๊ก....สลับคู่ชู้นอนกันอย่างไม่อายฟ้าอายดิน....สิ่งที่น่าตำหนิติเตียนเป็นอย่างยิ่งเหมือนเช่นในอดีตจึงถูกลดทอนความรุนแรงลงเป็นเรื่องธรรมดา  เพราะสังคมชินชาต่อความเสื่อมทางศีลธรรม   ข้อ 4.  คนในอดีตถือความสัตย์เป็นที่ตั้ง  หลัก"สัญญาต้องเป็นสัญญา" ก็มีมาแต่อดีตทซึ่งคนในสมัยนั้นถือความสัตย์ต่อกันยิ่งสิ่งอื่นใด  แต่ปัจจุบันภายใต้ความเสื่อมของศีลธรรม  ภายใต้กระแสแห่งวัตถุนิยม บริโภคนิยม อำนาจนิยม  ยังจะมีสักกี่คนที่ยอม "เสียชีพไม่เสียสัตย์"  เท่าที่เห็นมีแต่คนปลิ้นปล้อน หลอกล่วง คดโกง  กันทั้งบ้านทั้งเมือง  พูดคำไหนหาได้เป็นคำสัตย์ไม่  กลับกลอกเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาตามแต่อำนาจเงินตราจะง้างปากให้เป็นไป  จะหาผู้ใจซื่อมือสะอาดยากเต็มทน   เพราะค่านิยมของคนในสังคมเปลี่ยนไป  คนซื่อสัตย์มักไม่ได้รับการเชิดชู  แต่คนปลิ้นปล้อนคดโกงแต่มีเงินมีอำนาจจะได้รับการยกย่อง  จะจับได้ว่าโกหกหลอกลวงสักกี่ครั้งแต่ถ้าหากยังมีเงินสังคมก็ยังยกย่องต่อไป   ไม่ได้ตำหนิติเตียนเหมือนเช่นในอดีตเพราะศีลธรรมเสื่อมลง ข้อ 5. ข้อนี้ไม่ต้องบรรยาย  ประเทศไทยในปัจจุบันติดอันดับต้นๆ ของชาติที่ขี้เมาที่สุดในโลก   มีอัตราขี้เหล้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี  หากยังคงอัตราเช่นนี้ต่อไปรับรองในไม่ช้านี้ได้ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งของโลกแน่..... ในบรรดาศีลที่กล่าวมาทั้งหมดคนไทยเราเสื่อมลงมากและเสื่อมลงเร็วที่สุดก็ในข้อนี้....พระท่านถึงกล่าวว่าศีลข้อ 5 นี้สำคัญที่สุดเพราะหากสังคมใดไม่อาจดำรงข้อนี้ได้  ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมในศีลทุกข้อต่อไป.... แต่ในอดีตแม้ว่าศีลข้อนี้จะเริ่มเสื่อมมานานแล้ว...แต่อย่างน้อยวันพระวันโกนก็ยังจะเว้นให้  แต่ทุกวันนี้วันพระวันโกนไม่มีใครสนใจ  สุรายาดองมีจำหน่ายแพร่หลายพอๆ กับน้ำอัดลม   ในประเทศที่พัฒนาแล้วเค้าจะใช้กลไกภาษีในการเข้ามากำหนดพฤติกรรมในการบริโภคของประชาชน  โดยสินค้าใดที่ไม่มีประโยชน์แก่ร่างกายประชาชนเค้าจะเรียกเก็บภาษีให้มากๆ เพื่อให้หาซื้อได้ยากขึ้น แพงขึ้น  และหากสินค้าใดที่มีประโยชน์ต่อประชาชนรัฐจะเข้ามาแทรกแซงราคาให้ซื้อได้ง่ายขึ้นและถูกลง   แต่ในประเทศไทย ราคาเบียร์สามขวดร้อย แต่ราคานมสดลิตรละเกือบห้าสิบบาท  ทั้งนี้เพราะเหตุใดลองไปศึกษากันเอง  แต่ทุกเรื่องที่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจะออกมาในลักษณะเช่นนี้เสมอ จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 21:20:09

ความคิดเห็นที่ 7 ข้อ1.  การแพทย์ในปัจจุบันดีกว่าแต่ก่อนมาก...อัตราการตายของเด็กแรกคลอดลดลงจากแต่ก่อนเป็นอันมาก....แต่ทว่าอัตราการทำแท้งพุ่งกระฉูด.....การทำแท้งเป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์  ตัดรอนไม่ให้เค้าได้ถือกำเนิดเกิดเป็นคนโดยสมบูรณ์  ถือว่าเป็นกรรมหนักผิดศีลข้อปาณาติบาต.... ซึ่งในอดีตคนสมัยก่อนเกรงกลัวต่อบาปกรรมอยู่มาก  จะหักหาญฆ่าลูกตนเองเพื่อปัดความรับผิดชอบต่อการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้องของตน  นับว่าเกิดมีขึ้นน้อยมาก  อย่างมากหากเลี้ยงไว้ไม่ได้ก็มักจะเอาไปให้ผู้อื่นชุบเลี้ยงต่อไป  แต่จะฆ่าลูกตนเองเท่าที่ศึกษาแทบไม่ปรากฎ เกรงกลัวต่อบาปกรรมมากแต่ทรมาณคนให้สารภาพผิด (ทั้งๆที่ผิดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้) ประหารโดยไม่ผ่านศาล การพิจารณาคดีความที่ไม่เป็นมาตรฐาน ป.ล. ที่เขาไม่ฆ่าลูกตัวเองเพราะว่าเด็กที่เกิดมาโอกาสตายสูงมาก เลยต้องมีลูกเยอะๆเผื่อเอาไว้ตายก่อนจะโต ข้อ2. การลักทรัพย์ในอดีตนั้น....จะทำก็แต่ลักเล็กขโมยน้อยทั่วไป....จะหมายปล้นบ้านปล้นเมืองอย่างที่ข้าราชการ  พ่อค้า นักการเมืองไทย ทำเช่นในปัจจุบันไม่มี....การคอรัปชั่นก็คือการโกง  เป็นการลักทรัพย์  เพราะเป็นการกระทำเพื่อให้ได้ทรัพย์มาโดยมิชอบ   ทุกวันนี้ในสังคมไทยมีแต่การโกงกินกันทุกหย่อมหญ้าทุกชนชั้น  ไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ  ไม่มีหิริโอตัปปะ  เบียดบัง ยักยอก ฉ้อโกง  ในทุกอย่างที่ทำได้   ทุกองค์กรทุกหน่วยงานเป็นเหมือนกันหมด  ทุกคนปล่อยตัวให้หลงไปกับกระแสแห่งวัตถุนิยม  บริโภคนิยม  มุ่งที่จะให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองจะโดยวิธีการใดไม่สนใจ   แต่ก่อนหากใครถูกจับได้ว่าโกง  โดยเฉพาะโกงชาติบ้านเมืองจะอับอายแทบเอาหน้าซุกดิน  แต่ปัจจุบันความละอายแทบไม่ปรากฎมีบนใบหน้าของคนไทย  เพราะเห็นว่าใครๆ ก็ทำกัน  ใครๆ ก็โกงกินกัน  ชาวบ้านร้านรวงก็พลอยเป็นกับเค้าไปหมด  การโกงจึงเป็นเรื่องธรรมดาของคนในยุคสมัยนี้ไปหมดแล้ว   ไม่เป็นสิ่งที่น่าตำหนิติเตียนเหมือนเช่นในอดีตเพราะศีลธรรมเสื่อมลง โอ้ผมฝันไปหรือเปล่า ประเทศสยามสมัยก่อนไม่มีการคอรับชั่น ขอโทษเถอะการคอรับชั่นของไทยนั้นหนักมาก ถึงมากที่สุด ลองไปดูข้าราชการสมัยก่อนไม่มีเงินเดือนนะครับ ผมเห็นคำตอบนี้ผมรู้เลยว่าศึกษาประวัติศาสตร์มาแบบไหน ประวัติศาสตร์แบบ Romantic นี่เอง ลองหาอ่านหลักฐานร่วมสมัยบ้างครับว่าเขาบันทึกเอาไว้ยังไง ข้อ 3. ตั้งแต่มีการบัญญัติศัพท์นรกจาก "ทำชู้" เป็น "มีกิ๊ก" ทำให้การลักลอบคบชู้สู่ชายเป็นเรื่องธรรมดาของคนในสังคมนี้ไป  จากเดิมเป็นสิ่งที่น่าอับอายต้องปิดบังซ่อนเร้นมิให้ผู้ใดล่วงรู้  แต่ปัจจุบันสามารถนำมาคุยโม้โอ้อวดกันอย่างโจ๋งครึม  ทั้งหญิงชายไม่มีความละอายต่อการมีเพศสัมพันธ์อันไม่เหมาะสม  เห็นเป็นสิ่งโก้เก๋ตามยุคสมัยแห่งการมีกิ๊ก....สลับคู่ชู้นอนกันอย่างไม่อายฟ้าอายดิน....สิ่งที่น่าตำหนิติเตียนเป็นอย่างยิ่งเหมือนเช่นในอดีตจึงถูกลดทอนความรุนแรงลงเป็นเรื่องธรรมดา  เพราะสังคมชินชาต่อความเสื่อมทางศีลธรรม   ที่สมัยก่อนไม่มีกิ๊กเพราะเขามีเมียน้อยได้ครับ ถ้าไม่อยากให้สังคมไทยมีกิ๊กก็อนุญาตให้ผู้ชายมีเมียได้ตามใจ (และตามแต่กำลังทรัพย์) สิครับ เอาไหมล่ะ ทำยังกับว่าสังคมไทยเป็นสังคม Monogamy อย่างงั้นแหละ สังคมไทยเป็น Polygamy มานานแล้วเพิ่งจะมาเปลี่ยนก็แค่ร้อยกว่าปีที่ผ่านมานี่เอง ข้อ 4.  คนในอดีตถือความสัตย์เป็นที่ตั้ง  หลัก"สัญญาต้องเป็นสัญญา" ก็มีมาแต่อดีตทซึ่งคนในสมัยนั้นถือความสัตย์ต่อกันยิ่งสิ่งอื่นใด  แต่ปัจจุบันภายใต้ความเสื่อมของศีลธรรม  ภายใต้กระแสแห่งวัตถุนิยม บริโภคนิยม อำนาจนิยม  ยังจะมีสักกี่คนที่ยอม "เสียชีพไม่เสียสัตย์"  เท่าที่เห็นมีแต่คนปลิ้นปล้อน หลอกล่วง คดโกง  กันทั้งบ้านทั้งเมือง  พูดคำไหนหาได้เป็นคำสัตย์ไม่  กลับกลอกเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาตามแต่อำนาจเงินตราจะง้างปากให้เป็นไป  จะหาผู้ใจซื่อมือสะอาดยากเต็มทน   เพราะค่านิยมของคนในสังคมเปลี่ยนไป  คนซื่อสัตย์มักไม่ได้รับการเชิดชู  แต่คนปลิ้นปล้อนคดโกงแต่มีเงินมีอำนาจจะได้รับการยกย่อง  จะจับได้ว่าโกหกหลอกลวงสักกี่ครั้งแต่ถ้าหากยังมีเงินสังคมก็ยังยกย่องต่อไป   ไม่ได้ตำหนิติเตียนเหมือนเช่นในอดีตเพราะศีลธรรมเสื่อมลง .......... รู้จักศรีธนนชัยหรือเปล่าครับ นี่แหละฮีโร่ของไทย ผมไม่เคยเห็นฮีโร่คนไหนของไทยที่ยึดหลักซื่อสัตย์เลยนะลองหาตัวอย่างมาให้ผมสักคนหน่อยซิ ป.ล. ลองไปอ่านประวัติศาสตร์ไทยตอนปลายสมัยพระนารายน์ดู จะพบตัวอย่างของความซื่อสัตย์ ชายชาติทหาร ฯลฯ เผื่อ Illusion มันจะหายไปบ้าง ข้อ 5. ข้อนี้ไม่ต้องบรรยาย  ประเทศไทยในปัจจุบันติดอันดับต้นๆ ของชาติที่ขี้เมาที่สุดในโลก   มีอัตราขี้เหล้าหน้าใหม่เพิ่มขึ้นทุกปี  หากยังคงอัตราเช่นนี้ต่อไปรับรองในไม่ช้านี้ได้ขึ้นแท่นเป็นอันดับหนึ่งของโลกแน่..... ในบรรดาศีลที่กล่าวมาทั้งหมดคนไทยเราเสื่อมลงมากและเสื่อมลงเร็วที่สุดก็ในข้อนี้....พระท่านถึงกล่าวว่าศีลข้อ 5 นี้สำคัญที่สุดเพราะหากสังคมใดไม่อาจดำรงข้อนี้ได้  ย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมในศีลทุกข้อต่อไป.... แต่ในอดีตแม้ว่าศีลข้อนี้จะเริ่มเสื่อมมานานแล้ว...แต่อย่างน้อยวันพระวันโกนก็ยังจะเว้นให้  แต่ทุกวันนี้วันพระวันโกนไม่มีใครสนใจ  สุรายาดองมีจำหน่ายแพร่หลายพอๆ กับน้ำอัดลม   ในประเทศที่พัฒนาแล้วเค้าจะใช้กลไกภาษีในการเข้ามากำหนดพฤติกรรมในการบริโภคของประชาชน  โดยสินค้าใดที่ไม่มีประโยชน์แก่ร่างกายประชาชนเค้าจะเรียกเก็บภาษีให้มากๆ เพื่อให้หาซื้อได้ยากขึ้น แพงขึ้น  และหากสินค้าใดที่มีประโยชน์ต่อประชาชนรัฐจะเข้ามาแทรกแซงราคาให้ซื้อได้ง่ายขึ้นและถูกลง   แต่ในประเทศไทย ราคาเบียร์สามขวดร้อย แต่ราคานมสดลิตรละเกือบห้าสิบบาท  ทั้งนี้เพราะเหตุใดลองไปศึกษากันเอง  แต่ทุกเรื่องที่มีนักการเมืองเข้าไปเกี่ยวข้องจะออกมาในลักษณะเช่นนี้เสมอ อันนี้ไม่มีข้อแย้งเพราะมันเป็นจริง แต่ขอโทษเถอะ 4 ข้อแรก สิ่งที่พลาดจากข้อเท็จจริงมันล้นทะลักเลย จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 21:55:23

ความคิดเห็นที่ 8 จากที่กล่าวมาทั้งหมดจึงต้องแยกแยะให้ออกระหว่างมิติทาง ศีลธรรม กับ ความเจริญทางวัตถุเทคโนโลยี  มาตรฐานในการดำรงชีวิต  เพราะมันเป็นคนละบริบทกัน   สังคมที่มีศีลธรรมเจริญ  ไม่จำต้องมีเทคโนโลยีที่เจริญ  และสังคมที่มีเทคโนโลยีที่เจริญไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดว่าคนในสังคมจะต้องมีศีลธรรมเจริญด้วย จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 22:01:06

ความคิดเห็นที่ 9 ขอลองดูในอีกมุมมองนะครับ ศีลข้อ1 ไม่มีสถิติการทำแท้งในสมัยโบราณ จึงไม่สามารถอ้างได้ว่าสมัยไหนทำมากน้อยกว่ากัน เชื่อว่าสมัยก่อนคงมีแน่ และมีคิดจะทำอยู่ แต่ด้วยข้อจำกัดว่าหากทำก็คงตายทั้งแม่ทั้งลูก ต่างจากสมัยนี้ที่แม่รอดได้ แต่การคาดคะเนไม่ได้นำมาซึ่งข้อมูลที่แท้จริง ศีลข้อ 2 ระบบอุปถัมป์ของสมัยโบราณ ก็ถือเป็นพื้นฐานของการคอรัปปชั่นของสังคมไทยในปัจจุบัน อันนี้ออกจะชัดเจน และมักอ้างถึงกันเสมอ ศีลข้อ3 สมัยก่อน ชายเป็นใหญ่ หญิงอยู่ต่ำกว่า ชายจึงแสดงออกเรื่องเพศได้มากกว่า ดังนี้จึงเห็นว่าขุนน้ำขุนนางทั้งหลาย ล้วนมีเมียกันมากมายเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อถึงปัจจุับบัน ชายหญิงแสดงออกกันได้มากขึ้น รูปการณ์จึงเป็นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน ศีลข้อ 4 มีเงินเขานับว่าน้อง มีทองเขานับว่าพี่ เป็นภาษิตมาแต่โบราณ สะท้อนให้เห็นว่า หากมีอำนาจ ทุกอย่างก็ถือเป็นสิ่งถูกต้อง ดูอย่างสมัยอุยธยา ก็มิใช่ขุนนางที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยาดอกหรือ ที่เป็นผู้สังหารกษัตริย์ ล้มล้างราชวงศ์?? ศีลข้อ 5 ป่วยการจะกล่าวสำหรับเรื่องนี้ ด้วยว่าสุรายาเมานี้เหมือนจะเป็นของคู่ชาติไทยมานมนานเสียแล้ว จากคุณ : ธัมมนันทิ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 22:05:06

ความคิดเห็นที่ 10 #5 เอาสมัยไหนดีหล่ะ นี่ผมหมายถึงว่าจะเลือกสมัยไหนดีหล่ะ ไม่ใช่ว่าผมจะมาอธิบายว่าสมัยไหนเป็นอย่างไรครับ แต่ถ้าใครเกิดทันยุด 30-40 ปีที่แล้วนี่มีโอกาสเติบโตในหน้าที่การงานมากกว่าสมัยนี้เยอะ สมัยนั้นใครได้เรียนหนังสือมหาวิทยาลัยดีๆ อนาคตสบายแน่นอน สมัยนั้นข้าราชการก็เข้าง่าย เปิดก็เยอะ ใครทำการค้าการขายก็สามารถขยายกิจการได้ เพราะคู่แข่งยังไม่เยอะ กิจการใหญ่ๆเงินทุนหนาๆก็ยังไม่เยอะ ร้านเล็กๆก็ขยายมาเป็นกิจการใหญ่โตได้ แต่สมัยนี้หรอ งานก็หายาก ถ้าไม่เก่งจริงก็ตกขบวน ข้าราชการก็รับน้อย แถมประชากรเยอะ ผู้แข่งขันก็เยอะ ประกอบธุรกิจส่วนตัวเงินทุนไม่เยอะ ธุรกิจไม่เจ๋งจริงก็เจ๊ง แข่งขันก็ลำบาก สู้พวกเงินทุนหนาๆไม่ได้ จากคุณ : newuno เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 22:37:54

ความคิดเห็นที่ 11 ถ้าจะยกศีลทั้งห้าข้อมาอ้าง ผมก็อยากจะบอกว่า โดยเนื้อแท้แล้ว มนุษย์ไม่เคยเปลี่ยน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่บัญญัติศีลห้ากันมาแต่โบราณ เพียงแต่สมัยนี้ เทคโนโลยีดีขึ้น ความเป็นอยู่จึงสบายขึ้น ส่วนศีลธรรม ผมว่ายุคไหนก็พอๆกัน เพียงแต่ยุคนี้กฏหมายดีขึ้น คนจึงทำความชั่วกันลำบาก กอปรกับความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่อดๆอยากๆ ก็ไม่จำเป็นต้องไปปล้นจี้ใคร แต่วันไหนกฏระเบียบหายไป คนเราก็กลับสู่สันดานเดิมอีกครั้ง จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 22:41:44

ความคิดเห็นที่ 12 คิดว่าหลายคนยังเปรียบเทียบกันไม่ถูก   กระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่ล้าหลัง  กับ  การทำแท้งเกลื่อนเมือง  เป็นคนละบริบทกัน  เอามาเทียบเคียงกันได้อย่างไร  อันหนึ่งเป็นที่ระบบไต่สวนพยานที่ล้าหลังซึ่งเป็นเรื่องของตัวระบบกฎเกณฑ์   อีกอันหนึ่งเป็นเรื่องของความเสื่อมทรามในจิตใจของผู้คนเพราะขาดศีลธรรม  มันเป็นคนละบริบทกันเลย การทำชู้  กับ  พหุภริยา  ก็ต่างกันอยู่เป็นคนละบริบทกัน  เอามาเทียบเคียงกันได้อย่างไร  ชู้ กับ พหุภริยา ไม่ใช่เป็นอย่างเดียวกัน  สมัยก่อนคนเป็นชู้ได้รับการเชิดชูออกหน้าออกตาได้มั้ย  ที่กล่าวเช่นนี้มิใช่จะบอกว่าอะไรดีกว่ากัน  เพราะมันก็ไม่ถูกต้องทั้งคู่.....แต่อย่างไรเสียพหุภริยาในสมัยก่อนก็ยังดีกว่าการลักลอบทำชู้เช่นสมัยนี้   พหุภริยา ก็ยังได้ชื่อว่าเป็น ภริยา มีการนับหน้าถือตาตามลำดับชั้น  สังคมรู้เห็นเปิดเผยไม่ปิดบัง  ได้ชื่อว่าเป็นภริยาเหมือนกันทุกคน  มีสิทธิหน้าที่เป็นสามีภริยาโดยถูกต้องทางกฎหมายและสังคมในขณะนั้นทุกคน  เป็นค่านิยมของคนในสมัยนั้น  ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก แต่ก็ไม่ถึงกับผิดศีลธรรมรุนแรง เพราะทุกคนยอมรับความเป็นสามีภริยากันทั่วกัน  มิได้มีการประพฤตินอกใจกัน  มีการตบแต่งสู่ขอยอมรับกันตามประเพณี แต่ ชู้  คือการเสื่อมทางจิตใจ  การขาดความยังยั้งช่างใจ  ขาดความละอายเกรงกลัวในผิดบาปต่อคู่ครองของผู้อื่น   เป็นการประพฤตินอกใจปราศจากศีลธรรม  ทำให้สังคมเสียหาย  ทำให้สังคมเสื่อมโทรม  เอามาเทียบเคียงกันได้อย่างไร ระบบอุปถัมป์ของสมัยโบราณ  กับ  การทุจริตคอรัปชั่นก็ยังต่างกันอยู่   เป็นคนละบริบทกัน  ระบบอุปถัมป์หากมีศีลธรรมทำเพื่อส่วนรวม  เอาบ้านเมืองเป็นที่ตั้งก็ไม่ถึงกับทำให้บ้านเมืองเสียหาย  แต่ระบอบการปกครองอะไรก็ช่างหากปราศจากศีลธรรมของผู้ปกครองย่อมนำมาซึ่งความเสื่อมโทรมทั้งสิ้น   การเอาระบบการปกครอง  กับ  การขาดศีลธรรม  มาเทียบกันจึงเป็นคนละบริบทโดยสิ้นเชิง  เป็นการพูดคนละมิติกันเลย  เราไม่ได้เปรียบเทียบว่าการปกครองในระบอบใดจะมีการทำทุจริตได้มากกว่ากัน   แต่เรากำลังพูดในประเด็นว่าคนในสมัยนี้กับคนในสมัยก่อนใครโกงมากกว่ากัน   สังคมในยุคใดมีความละอายในการโกงมากกว่ากัน จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 23:09:04

ความคิดเห็นที่ 13 หลายคนไม่เข้าใจในมุมมองทางศีลธรรม.....มองไม่ออกว่าอะไรคือศีลธรรมในใจของคนในแต่ละยุคสมัย   แต่มองเพียงแค่จุดใดจุดหนึ่งของระบบการเมือง  โครงสร้างทางสังคม   กฎเกณฑ์ทางสังคม   ระเบียบแบบแผนทางสังคม   ซึ่งความล้าหลังในบางอย่างไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมในใจของผู้คนในสังคมยุคนั้น       ลองคิดง่ายๆ ว่า  คนในสมัยนี้  กับ  คนในสมัยก่อน ใครมีน้ำใสใจจริงดีกว่ากัน   คนในเมือง  กับ  คนชนบทใครมีน้ำใสใจจริงดีกว่ากัน   และคนในชนบทสมัยนี้  กับ  คนในชนบทสมัยก่อนใครมีน้ำใสใจจริงดีกว่ากัน   ลองพิจารณาแยกแยะกันดู   อะไรทำให้สิ่งต่างๆ เหล่านี้เปลี่ยนไป จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 23:16:28

ความคิดเห็นที่ 14 การมีหลายคนในสมัยก่อนก็ถือว่าเป็นการขาดความชั่งใจเช่นกัน ผู้ที่มีภรรยาหลายคน ส่วนใหญ่ก็เป็นขุนนางมีอำนาจราชศักดิ์ แม้นหญิงชาวบ้าน หรือสาวใช้ในบ้านคนใดถูกขืนใจ ก็คงจะเรียกร้องอันใดไม่ได้ ทำได้ก็แต่เพียงยอมเป็นเมียน้อยตามค่านิยม นี้มิยิ่งแย่กว่าคบชู้ดอกหรือ หากจะกล่าวว่านั่นคือจารีตของโบราณ ไม่ถือเป็นเรื่องผิดศีลธรรม ก็คงจะกล่าวในทำนองเดียวกันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นขณะนี้ก็คือจารีตในปัจจุับันเช่นกัน ส่วนเรื่องการโกง นั้น สิ่งที่พวกเราเรียกว่าคอรัปชั่นในปัจจุบัน คือสิ่งที่ทำกันเป็นปกติในสมัยโบราณ ด้วยบริบทในสมัยโบราณย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้กันอยู่ ระบบอุปถัมป์นั้น เกี่ยวข้องลึกซึ้งกับระบบการเมืองปัจจุบันอย่างแยกไม่ออก ดังนั้นหากจะกล่าวถึงการโกงกิน ก็ย่ิอมต้องกล่าวถึงแนวคิดนี้ ซึ่งเป็นรากฐานของเรามาแต่โบราณ เรื่องน้ำใสใจจริงนั้น โดยส่วนตัวคิดว่า เมื่อก่อนเป็นอย่างไร สมัยนี้ก็คงไม่ต่าง ใจไม่ซื่อตรงเสียเอง จะไปโทษเงิน โทษระบบ โทษทุนนิยม ก็คงไม่ได้ จากคุณ : ธัมมนันทิ เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 23:47:42

ความคิดเห็นที่ 15 พูดถึงเรื่องกระบวนการยุติธรรม...ในฐานะที่ผมเองก็ทำงานในกระบวนการยุติธรรม...จะขออนุญาตเล่าเรื่องในกระบวนการยุติธรรมที่เกี่ยวกับศีลธรรมของคนในแต่ละยุคสมัยให้ฟังพอสังเขป ในกระบวนการยุติธรรมของไทยนั้น  มีการพิจารณาประเภทหนึ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของคนไทยซึ่งไม่ค่อยพบในต่างประเทศ   การพิจารณาประเภทนี้เราเรียกกันว่า "คำท้า"   คำท้า คือการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทตามคำฟ้องและคำให้การโดยถือเอา ประเด็นคำท้าเป็นข้อชี้ขาดคดี  ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป้นการท้าให้สาบานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพบูชา   ในสมัยก่อนคนยังกลัวบาปกรรมกันอยู่มาก....บางคนพอไปถึงวัดอยู่ต่อหน้าพระประธานไม่กล้ากล่าวคำสาบานขอยอมแพ้ไปก็มี   บางคนแม้แต่ท้าให้สาบานในห้องพิจารณาพออ่านคำสาบานแล้วไม่กล้ากล่าวคำสาบานก็มี.....การพิจารณาชี้ขาดคดีโดยอาศัยคำท้าสาบานจึงยังพอเห็นได้อยู่ในอดีตซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นในศาลต่างจังหวัด แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยมีใครเสี่ยงที่จะท้าสาบานกันอีกแล้ว   หากจะท้าก็จะท้ากันในผลตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์   ที่จะท้าให้สาบานมีน้อยเต็มทน  เพราะคนทุกวันนี้กล่าวคำสาบานกันคล่องปลื๋อ....เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะความเชื่อในกฎแห่งกรรมน้อยลง  ความยึดมั่นในศีลธรรมน้อยลง   มิได้เกรงกลัวต่อความผิดบาปอันใด   จะให้สาบานอย่างไรก็ไม่เกรงกลัวขอให้ตนชนะคดีเป็นพอ นี้เป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของระดับศีลธรรมในใจของผู้คนที่กำลังเปลี่ยนไป.....การที่คนไม่ยึดมั่นในศีลธรรมจึงไม่กล้าเอาหลักศีลธรรมเป็นข้อชี้ขาดตัดสินกันเหมือนเช่นในอดีต..... จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 00:13:45

ความคิดเห็นที่ 16 เพราะว่าศีลธรรมมันไม่มีจริงครับ สิ่งที่ (เราเห็นว่า) เป็นศีลธรรมของสมัยหนึ่งมันอาจจะไม่ใช่ศีลธรรมของอีกสมัยหนึ่งก็ได้ การทรมาณนี่เรียกว่ามีศีลธรรมไหม? สมัยนี้คงจะเรียกว่าปราศจากมนุษยธรรม แต่เป็นสิ่งที่ไม่ได้ผิดอะไรมากมายในสมัยก่อน ดังนั้นผมจึงปฎิเสธการตัดสินมนุษย์ด้วยศีลธรรม (ซึ่งเลื่อนลอย) จริงๆคำตอบแบบอ้างศีล 5 ทำให้ผมนึกถึงกระทู้ในห้องศาสนาที่ว่า "กฎหมายมาจากศีลหรือไม่ได้มาจากศีล" ที่คนเราไม่เอาศีลธรรมมาตัดสิน (ซึ่งตามประวัติศาสตร์มนุษย์เราก็ไม่ได้เอาศีลธรรมมาตัดสินตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว เราใช้กฎหมายตัดสินมาตั้งแต่สมัยบาบิโลนโน่น) เพราะศีลธรรมมันเป็นเรื่องที่คลุมเครือตีความได้กว้าง ปราศจากสภาพบังคับ พูดง่ายๆมันก็คือกฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพนั่นเอง ดังนั้นเมื่อเราใช้ของที่ดีกว่าได้ทำไมเราต้องไปใช้ของที่มันด้อยกว่า ในเมื่อทำงานเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมก็ขอยกตัวอย่างที่เกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรม ศีลธรรมก็คือกฎหมายที่ไม่มีบทลงโทษที่ตายต้ว และสามารถตีความได้กว้างมากขนาดที่ว่าจะตีความให้ประชากร 70% ผิดก็ได้ หรือไม่ผิดก็ได้ แล้วแต่คนตัดสิน ส่วนบทลงโทษก็แล้วแต่คนตัดสิน การใช้กฎหมายนี้ไม่ต้องการพยานหลักฐานคือตัดสินได้เลย ถ้ามีกฎหมายอย่างนี้ออกมาจะสนับสนุนให้ใช้ไหม? จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 00:36:20

ความคิดเห็นที่ 17 การพิจารณามิติทางศีลธรรมในใจของคนในสังคมนั้น   เราต้องพิจารณาภาพรวมของคนในสังคม   มิใช่มองที่ขุนนางบางคนหรือเจ้านายบางพระองค์ที่แก่งแย่งช่วงชิงอำนาจกัน.....เพราะนั้นมันเป็นเรื่องปัจเจกชน  มิใช่เป็นภาพสะท้อนจิตใจของคนในสังคมนั้นๆ ทั้งหมด.....เจ้านาย ขุนนาง ขุนศึก ตระบัดสัตย์ยึดอำนาจ  มิใช่จะแปลว่าคนในสังคมโดยรวมทั้งหมดไม่ถือความสัตย์เป็นที่ตั้ง  มันเป็นคนละบริบทกันโดยสิ้นเชิง ที่ผมกล่าวมาทั้งหมดเป็นการมองบริบทของสังคมในมิติทางศีลธรรม   มิได้มองแค่ชนชั้นใดชนชั้นหนึ่ง  สมัยก่อนขุนนางมีการฉ้อราษฎร์บังหลวง  ก็มิได้หมายความว่าบ่าวไพร่ประชาชนในสังคมสมัยนั้นจะต้องเป็นคนขี้ฉ้อไปด้วย....เราต้องมองภาพรวมทางสังคมทั้งหมด   สมัยก่อนการจะมีหลายภริยาได้ก็จำกัดแต่เฉพาะเหล่าเจ้านาย ขุนนาง คหบดี ที่ร่ำรวยมีสมบัติเลี้ยงดูภริยาเหล่านั้นนะครับ.....ประชาชนทั่วไปมิใช่จะมีพหุภริยากันได้ทุกคนนะครับ....เวลามองเราต้องมองภาพรวม.... แต่สมัยนี้ทั้งนักเรียน นักศึกษา ชาวบ้านชาวประชาทั่วไป  จับคู่ชู้นอนมั่วกันไปหมด....ลูกเต้าเหล่าใคร  ผัวเมียใคร  ไม่ได้สนใจทำชู้สมสู่กันไปทั่ว  และลดความกระดาษอายในจิตใจโดยเปลี่ยนถ้อยคำจาก "ชู้" ซึ่งเป็นคำแรงเสียดแทงจิตใจเป็นคำใหม่ว่า "กิ๊ก" ให้ดูน่ารักเสนาะหูขึ้นแล้วมั่วกันต่อไปทั้งบ้านทั้งเมือง.... เช่นนี้น่าจะมองไม่เห็นความเสื่อมทรามทางศีลธรรมแล้วนะครับ.... ดังนั้น...เนื้อแท้แห่งศีลธรรมในใจของประชาชน....จึงมิได้เกี่ยวกับรูปแบบทางการเมืองการปกครอง  ระเบียบแบบแผนทางสังคม   หรือโครงสร้างทางสังคมของคนในสมัยโบราณซึ่งมีความต่างจากสมัยนี้  ความโหดร้ายป่าเถื่อนของคนในสมัยก่อนส่วนมากเป็นเรื่องของผู้มีอำนาจทางการปกครอง  เพราะการปกครองในสมัยนั้นมิได้มีระบบควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจเหมือนเช่นในปัจจุบัน  แต่นั้นมิได้หมายความว่าประชาชนในสังคมส่วนใหญ่ต้องเป็นเช่นนั้น  พวกเค้าอยู่ในฐานะของผู้ถูกกระทำเสียด้วยซ้ำไป.... การพิจารณามิติทางศีลธรรมจึงควรมองที่ภาพรวมความประพฤติของคนในสังคม  มากกว่าจะมองกลุ่มคนในชั้นปกครองหรือกฎเกณฑ์  ระเบียบ  แบบแผนบางอย่างที่ประชาชนส่วนใหญ่มิได้เป็นผู้กำหนด   เอาเป็นว่ายินดีที่ได้เสวนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นครับ....ขอจบเพียงแค่นี้ก็แล้วกันครับ..... แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 54 01:48:28 จากคุณ : ดอกหญ้าสีนวล เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 01:15:57

ความคิดเห็นที่ 18 เสิรมหน่อยครับ ไอ้ที่ว่าหากเรียนสูงแล้ว จะเจิรญในหน้าที่การงาน มันคือความคิดและความเป้นจริงของผู้คนทั่วโลกเมื่อ 20 ปีก่อน หรือช่วงยุค 80 ต่อต้น 90 แต่ ณ ตอนนี้ เข้ายุค 2000 เป็นต้นมา เรื่องนี้มันได้เปลี่ยนไปแล้ว ระบบศึกษาไม่ใช่สิ่งการันตีความสำเร็จในชีวิตของผู้คนอีกต่อไป ซึ่งตรงนี้อย่าว่าแต่คนไทยเลยครับ พวกตะวันตกเขาก็โดนกัน ตรงข้อนี้ ลองอ่านในหนังสือของ โรเบิร์ต คิโยซากิ เขาตอบไว้ชัดมากครับ เกี่ยวกับความล้มเหลวของระบบการศึกษาในสหรัฐช่วงต้นยุค 90 และความเชื่อที่ว่า หากลูกเรียนสูงแล้วจะรวย ซึ่งมันใช้ไม่ได้กับตอนนี้แล้ว จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 03:17:45

ความคิดเห็นที่ 19 เหตุที่ผมเน้นวิจารณ์ที่ชนชั้นขุนนาง นั่นก็เพราะเป็นชนชั้นที่มีศักยภาพในการทำสิ่งที่เรียกว่าผิดศีลธรรมได้มาก ชาวบ้านโดยทั่วไปนั้น ไม่มีศักยภาพพอที่จะแสดงบางอย่างออกมา ไม่มีโอกาสที่จะได้ทำหลายๆอย่าง และหลักฐานทางประวัิติศาสตร์ก็ไม่ได้บันทึกเรื่องดีเลวเกี่ยวกับชาวบ้านว่าอย่างไรเลย (เช่นนี้ก็ไม่ควรสรุปว่าสังคมสมัยก่อนเป็นสังคมที่ดีเช่นกัน) คำถามของผมก็คือ หากเขามีศักยภาพที่จะทำผิดศีลธรรมได้ เขาจะทำหรือไม่? พฤติกรรมของขุนนางที่บันทึกกันในประวัติศาสตร์ก็ชี้ชัดว่า เขาจะืทำสิ่งเหล่านั้น ก็เปรียบมาถึงสังคมปัจจุบัน ที่ผู้คนมีโอกาสมากขึ้น พฤติกรรมต่างๆจึงแสดงออกได้มากขึ้น จึงเห็นเป็นอย่างปัจจุบัน จิตใจของคนก็ยังคงเหมือนเดิม นั่นคือสามารถทำเื่รื่องไม่ดีได้ เมื่อมีโอกาส และสามารถทำเรื่องดีๆได้มากมายเช่นกัน กล่าวโดยสรุปคือ ไม่จะอดีตหรือปัจจุบัน มนุษย์ก็คือมนุษย์ ไม่มีอะไรดีเลวไปกว่ากันเท่าไร จากคุณ : ธัมมนันทิ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 07:48:56

ความคิดเห็นที่ 20 เอาง่ายๆอย่างในอาณาจักรอยุธยาสมัยโบราณ นั้น - ชาวบ้าน หรือไพร่ ต้องเข้าเวร ต้องมีสังกัดมูลนาย จะเดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องแจ้งให้ทางการรับทราบ พอถึงวันเข้าเวร มูลนายจะเกณฑ์ไปทำการใดๆก็สุดจะขัดขวางได้ แถมไม่ได้สิ่งตอบแทนอีกด้วย คือต้องใช้แรงงานให้มูลนายโดยไม่ได้รับผลตอบแทนใดๆ และกฎหมายก็รองรับว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้องอีกด้วย แต่ในปัจจุบัน ชาวบ้านมีอิสระในการดำรงชีวิตมากขึ้น สามารถเรียกร้องค่าแรงและผลตอบแทนจากแรงงานของตนได้มากขึ้น มีส่วนร่วมในการดูแลหรือตรวจสอบกฎหมายของรัฐได้ - ในอดีต ลูกและภรรยา เป็นสมบัติของสามี ไม่แตกต่างไปจากช้างม้าวัวควายเลย สิทธิความเท่าเทียมในครอบครัวขึ้นกับเสียงของผู้นำครอบครัวอย่างพ่อบ้านเท่านั้น แต่ในปัจจุบันภรรยาและบุตรมีสิทธิและปากเสียงในครอบครัวมากยิ่งขึ้น - อย่างเรื่องภาษี ในสมัยปลายอยุธยามีการจัดเก็บภาษีหยิบย่อยและเยอะแยะมากมาย ไพร่ทั้งหลายก็ต้องยอมเสียภาษีในระบบที่ไม่เป็นธรรมอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ หรือหนทางเดียวที่จะเลี่ยงก็คือ หนีเข้าป่าไปเป็นคนเถื่อนเสีย (นี่คงจะเป็นอีกหนึ่งความบีบคั้น ที่ทำให้อยุธยาไม่สามารถระดมไพร่พลพอมาต้านทัพพม่า และรัฐเก็บภาษีหนักไป พวกไพร่เลยหนีออกนอกระบบกันไปเสียมาก) ในขณะที่ตอนนี้ คุณมีอำนาจในการเรียกร้องหรือต่อรองกับรัฐบาลมากขึ้น - อย่างเรื่องการชุมนุมทางการเมือง สมัยโบราณนี่ แค่จับกลุ่มพูดคุยวิจารณ์ราชการ ก็มีโทษฟันคอริบเรือนได้ ยิ่งถ้าซ่องสุมผู้คนแล้วคงจะโดนสัก 3-5 ชั่วโคตร แต่ตอนนี้การชุมนุมทางการเมืองอย่างปราศจากความรุนแรง ได้รับการรองรับด้วยกฎหมาย จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 10:00:42

ความคิดเห็นที่ 21 มองในภาพรวม? มองยังไงก็มองแค่ว่าการมีภรรยาหลายคนไม่ได้เป็นสิ่งผิดศีลธรรม มาตรฐานทางศีลธรรมของไทยไม่ได้มองว่ามันผิด เพราะถ้ามองว่ามันผิดคนชั้นสูงหรือคนรวยๆคงทำไม่ได้อย่างเช่นราชวงศ์ทางยุโรปที่มีอำนาจทางเศรษฐกิจสูงยังไม่สามารถมีเมียน้อยได้อย่างเปิดเผยเลยเพราะว่าศีลธรรมที่เขานับถือมันบอกว่าผิด สิ่งเดียวที่จำกัดคนจำนวนมากในเมืองไทยไม่ให้มีภรรยาหลายคนในสมัยก่อนนั่นคืออำนาจทางเศรษฐกิจที่จะเลี้ยงดูภรรยานั่นเอง เมื่อเทียบกับสังคมปัจจุบันที่เรามีมาตรฐานว่าการมีภรรยาหลายคนเป็นสิ่งที่ผิด คุณคิดว่าอย่างไหนมันก้าวหน้า(หรือถอยหลัง) กว่ากัน ผมว่าถ้าจะมองในภาพรวมต้องมองอย่างนี้มากกว่านะ ไม่ใช้ว่ามองที่จำนวน แล้วอีกอย่างการที่ึคุณบอกว่าคนสมัยนี้ขี้ฉ้อ(เอาคำนนี้แล้วกัน) ผมขอถามว่าคุณมีหลักฐานข้อมูลมาสนับสนุนไหมว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ ที่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วคนทั่วไปโกงมากกว่าสมัยก่อน ไม่เอาความคิดเห็นนะครับ แต่ในแวดวงราชการและการปกครองเรามีข้อมูลมากพอที่จะสรุปได้ว่า ผู้ปกครองสมัยก่อนขูดรีดจากประชากรจริงอย่างไม่ต้องสงสัย จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 11:36:56

ความคิดเห็นที่ 22 พูดถึงเรื่องทำแท้งในสมัยก่อน ผมนึกถึงเทพปกรณัมกรีก ที่โครโนสกลืนลูกๆ เพราะกลัวจะมาแย่งชิงอำนาจ เรื่องราวแนวๆนี้ ก็ยังมีปรากฏในนิทานในละแวกนี้อีกหลายเรื่อง หรือประเภทใส่ตะกร้าลอยน้ำ เพราะข้ออ้างว่าเป็นกาลกีณี หนักกว่านั้นก็ขุนช้างขุนแผน ที่ฆ่าผ่าท้อง เอาลูกมาทำลูกกรอก เหล่านี้เป็นเค้าเงื่อนที่ปรากฏ ว่ามีการทำแท้งมาตั้งแต่สมัยโบราณ เพียงแต่สื่อและการบันทึกในยุคนั้นมีน้อย แต่ถ้าเทียบเป็นเปอร์เซนต์ ก็ต้องนับว่าเยอะ แล้วถ้าจะโทษ ว่าสมัยนี้ ทุนนิยมเข้าครอบงำ ทำให้ศีลธรรมเสื่อมทราม ผู้คนบูชาเงินทอง ก็ต้องย้อนกลับไปมอง ว่าสมัยก่อนก็ถูกครอบงำด้วยอำนาจนิยม คนมีอำนาจบาตรใหญ่ จะทำอะไรก็ได้ มีหลายเมียก็ทำให้คนเห็นว่าเป็นเรื่องดีได้ สมัยก่อนถึงได้รบพุ่งกันบ่อย เพราะใครๆก็มองว่ามีอำนาจแล้วเป็นเรื่องดี จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 13:03:52

ความคิดเห็นที่ 23 อ่านกระทู้นี้แล้วทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่อาจารย์ท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้เกี่ยวกับ "มายาคติ" ในการมองประวัติศาสตร์สังคมไทยที่เราต้องรู้เท่าทันและก้าวข้ามจากมันไปให้ได้โดยเฉพาะหากเราต้องอยู่ในฐานะผู้วิจารณ์หรือผู้ศึกษาประวัติศาสตร์สังคมไทย (หรือสังคมที่ไหน ๆ ก็ตาม) ซึ่งมายาคติดังกล่าวมีอยู่อย่างน้อย 3 ข้อก็คือ มายาคติเรื่อง "ตะวันตกนิยม" คือการเหมารวมว่าวัฒนธรรมไทยในอดีตที่ผ่านมานั้นคือความล้าหลังป่าเถื่อน ขณะที่ความ Civilize ที่แท้จริงคือการพัฒนาตามแบบอย่างตะวันตกเท่านั้น เช่นประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน มายาคติเรื่อง "ชาตินิยม" คือการมองว่าอะไรก็ตามที่เป็นของไทยหรือวัฒนธรรมไทยย่อมดีกว่าเหนือกว่าวัฒนธรรมของชาติอื่น ๆ อย่างที่เราอาจจะเคยได้ยินมาบ้างว่า "ถึงฉันจะไม่เคยเรียนภาษาต่างประเทศอื่น ๆ แต่ฉันก็ภูมิใจที่เกิดมาเป็นคนไทยได้ใช้ภาษาไทย เพราะภาษาไทยคือภาษาที่ไพเราะที่สุดในโลก" หรือทัศนคติอื่น ๆ เช่น "มวยไทยคือศิลปะป้องกันตัวที่ดีที่สุดในโลก" "อาหารไทยอร่อยที่สุดในโลก" หรือที่ได้ยินในปัจจุบันก็คือ "คนไทยทำอะไรไม่แพ้ชาติใดในโลก" มายาคติเรื่อง "อนุรักษ์นิยม" คือการมองว่าสิ่งต่าง ๆ หรือวัฒนธรรมต่าง ๆ ในอดีตมีความงามสมบูรณ์พร้อมในตัวอยู่แล้ว การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่เข้ามาต่างหากที่ทำให้เกิดความเสื่อมโทรมในสังคม เช่นการสร้างภาพว่าสังคมโบราณอย่างสมัยสุโขทัยในน้ำมีปลาในนามีข้าวไพร่ฟ้าชาวประชาหน้าใส บลา ๆ ๆ ขณะที่การรับกระแสวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาในปัจจุบันกลับทำให้จิตใจของคนตกต่ำลงเรื่อย ๆ ซึ่งความจริงเราก็บอกไม่ได้หรอกว่ามายาคติทั้งสามเรื่องนี้มันถูกหรือผิดยังไงกันแน่ แต่ในการวิจารณ์หรือศึกษาสังคมไทยในปัจจุบันเราควรก้าวข้ามมายาคติเหล่านี้แล้วหันมามองถึงเงื่อนไขหรือบริบทตามความเป็นจริงในสังคมปัจจุบันก็จะทำให้เราเข้าใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันและสามารถเรียนรู้เพื่อสร้างอนาคตให้ดีกว่าเดิมได้ จากคุณ : มดคันไฟไร้ระเบียบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 14:26:19

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้ายึดตามพระพุทธศาสนา ก็ต้องถือว่าเสื่อมไปเรื่อย ๆ ครับ เมื่อเวลาผ่านไป หลาย ๆ ท่านบอกว่า สิทธิส่วนบุคคลในอดีตน้อยกว่าปัจจุบัน ผมมองในอีกมุมว่า ถ้าไม่พอใจหนีไปก็ได้นี่ครับ สมัยก่อนทุ่งหญ้า ป่าเขาลำเนาไพรกว้างใหญ่ไพศาล คนข้อมือขาวก็บานเบิก สมัยนี้จะหนีไปไหนถ้าไม่มีเงิน สุดท้ายก็ตายรังอยู่ดี  ถ้ามองมุมนี้สิทธิในการเคลื่อนย้ายถิ่นฐานก็มีมากกว่าปัจจุบัน คุณจะเกาะเรือไปขึ้นประเทศไหนก็ได้ ไม่มีใครว่า ในขณะที่ปัจจุบันไม่มีหนังสือเดินทาง ก็ต้องโดนส่งตัวกลับ นี่ยกตัวอย่างประกอบครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 23:36:05

ความคิดเห็นที่ 25 มีคนเทียบกับชนบท จะบอกว่าผมก็โตมากับชนบทนะ เมื่อต้นปีก็มีประสบการณ์"ความสุขแบบชนบท" คุณยายผมล้มกลางดึกครับ กระดูกสะบักหัก แต่ไม่มีรถพาไปหาหมอ คนแถวนั้นก็ไม่มีรถกันหรอก ต้องให้กินยาแก้ปวด แล้วทนเอาจนถึงเช้า ค่อยนั่งรถไปโรงพยาบาล แบบนีั้เรียกว่ามีความสุขแบบคนสมัยก่อนดีไหมครับ จากคุณ : masked v เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 54 00:06:56

ความคิดเห็นที่ 26 เปรียบเทียบด้านต่างๆแถบอุษาคเนย์                              โบราณร้อยปีขึ้นไป                               ปัจจุบัน บ้านเรือน                 ไม้ชั้นเดียวยกสูง                        คอนโด,ตึกแถว,บ้านเดี่ยว ส้วม                        ไปทุ่ง,ส้วมหลุม                          คอห่าน,ชักโครก สาธารณูปโภค           น้ำมัน,ตักน้ำใส่ตุ่ม                      ไฟฟ้า,ประปา,ท่อระบายน้ำ ขนส่ง                       ทางน้ำ,ถนนดิน                          ถนน,น้ำ,รางเหล็ก,อากาศ สื่อสาร                     จดหมาย,นกส่งสาร                     โทรศัพท์,อินเตอเน็ต การศึกษา                 เขียนไม่ได้ จำแม่น-วัด                 หนังสือ,คอมฯ,รร.-มหาลัย   พาหนะ                     เรือ,ช้าง,วัว,ม้า                           รถ,เรือ,เครื่องบิน การแพทย์                 ไม่ทั่วถึง ดีบางพื้นที่                    มีในเขตตัวเมืองแต่ละท้องที่ อาหาร                      มีมากในเขตที่เป็นชุมชน              มีทุกที่ที่มีถนนไปถึง ความบันเทิง              มหรสพ,งานวัด,ละครนอก             ทีวี,วีดีโอ,เนต,สิ่งพิมพ์ สำมะโนครัว               จดจากจำนวนไพร่ที่สักเลก            มีทะเบียนบ้าน,บัตรประจำตัว สิทธิพื้นฐาน               แล้วแต่พื้นที่,แสดงออกไม่ได้         แสดงออกได้แต่มีกรอบ สวัสดิการสังคม           ไม่มี                                         รักษา,พิการ,ชรา มีศูนย์ดูแล ช่องทางหากิน            กว้างเพราะคนน้อย ไม่เข้มงวด       แคบเพราะคนเยอะ เข้มงวด จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 54 12:47:51