|
ตอบ คคห 31 ที่ว่า
"เหอๆ อ่านของคุณหมอดู @ 20 ..... .... แล้วสรุปได้ว่าการยกเว้นในช่วงแรก (สตรีและทาส) นั่นก็ทำให้เกิดปัญหาได้นะคะ"
^ ตอบ ถ้านับว่าประเทศสหรัฐอเมริกาก่อตั้งมาแค่ 200 ปีเศษๆ แต่จากตอนแรกที่จำกัดสิทธิสตรีและทาส จนกระทั่งมามีประธานาธิปดีเป็นคนผิวดำได้ในขณะนี้ นับว่าเป็นพัฒนาการที่รวดเร็วมากๆ ซึ่งถ้าเทียบกับประเทศบางประเทศที่ก่อตั้งมานานเก่าแก่กว่านั้นตั้งหลายร้อยปี แต่ก็ยังมีปัญหาเรื่องการเมืองและการปกครอง และปัญหาเรื่องความไม่เท่าเทียมกันมาโดยตลอด จนมันส่งผลให้ประเทศที่มีปัญหากลายเป็นประเทศด้อยพัฒนาไป ลองมาดูความเพียรพยายามที่สังคมอเมริกาพยายามให้สิทธิแก่ทาสกัน ว่ามันพัฒนาการไปอย่างไร (ซึ่งในบางประเทศนะ ปัจจุบันนี้
Fourteen Amendment to the U.S. Constitution ซึ่งได้รับอนุมัติ ณ วันที่ July 9, 1868 มี Citizenship Clause1 ซีงระบุว่า บุคคลที่เกิดในสหรัฐ หรือแปลงสัญชาติแล้ว ไม่ว่าจะสีผิวอะไร จะได้ U.S. citizenship ทุกคน
ในช่วงนั้นการแบ่งแยกสีผิวบังคับใช้เฉพาะในตอนใต้เพราะคนผิวขาวเชื่อว่าคนผิวดำเป็นแค่ทาสไม่สมควรที่จะได้รับสิทธิภายใต้รัฐธรรมนูญ จีงต้องมีการออกกฎมาย citizen clause อันนี้มาเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งด้านเชื้อชาติ แต่ก้อนำไปบังคับใช้ได้เฉพาะบางพื้นที่ในสหรัฐที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก federal government เท่านั้น ดังนั้น citizen clause จึงยังไม่สามารถยุติการแบ่งแยกสีผิวได้ในทุกรัฐในขณะนั้น
หลังจากนั้น Congress พยายามนำ amendment อีกฉบับออกมาบังคับใช้ โดยให้ John Bingham, Representative of Ohio เป็นผู้ร่าง Section 1 ซึ่งมีใจความว่า All persons born or naturalized in the United States, and subject to the jurisdiction thereof, are citizens of the United States and of the state wherein they reside.
Bigham จงใจใช้คำว่า all persons เพื่อที่จะรวมถึงคนทุกเชื้อชาติ ศาสนา และความเชื่อ
นอกจากนี้แล้ว Bigham ยังใช้ถ้อยคำว่า No state shall make or enforce any law which shall abridge the privileges or immunities of citizens of the United States." แต่ก้อมีคนโต้แย้งว่า "ไม่มีผลผูกพันต่อรัฐ"
Bigham ให้เหตุผลว่าเขาต้องการยุติความขัดแย้งด้านเชื้อชาติในทุกรัฐ และขจัดข้อสงสัยในเรื่องที่ว่า Civil Rights Act สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญแค่ไหน เพื่อมิให้รัฐสามารถละเมิดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้ และยังอธิบายเพิ่มเติมว่า privileges มิได้หมายถึงผลประโยชน์ที่รัฐให้ไว้ แต่หมายถึง natural rights of all human beings (สิทธิตามธรรมชาติของมนุษย์...แปลเป็นไทยไม่ค่อยจะออกแฮะเพราะเราเขียนต้นฉบับไว้เป็นภาษาอังกฤษ...โดยการไปเก็บข้อมูลมาจากหลายแหล่งที่มา...(ตอนนั้นรับจ้างเขียนงานชุดนี้ให้คนอื่น))
ตกลงข้อความที่ว่านี้ มันก้อหมายความว่า
state shall not deprive any person of life, liberty, or property, without due process of law แปลยังไงหว่า? คงประมาณว่ารัฐจะต้องไม่ทำให้บุคคลใดต้องสูญเสียชีวิต เสรีภาพ หรือทรัพย์สินไปโดยปราศจากการดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายอย่างถูกต้อง (แปลมั่วจากที่เขียนเอง)
จากนั้นเรื่องก้อไปยาว บล๊าบๆๆๆๆ...เรื่องคดีตัวอย่างที่คนผิวดำโดนศาลตัดสินว่ามีความผิดโดยไม่ได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม แล้วก้อมีการแก้ไขกระบวนการยุติธรรมเรื่อยมา
กระบวนการยุติธรรมของสหรัฐพัฒนามาอย่างดีเยี่ยม
ไล่มาตั้งแต่ incorporation doctrine จนมาถึง due process of law
ประเด็นหลักๆก้อคือว่าศาลสูงสหรัฐตัดสินคดีหลายๆคดีเป็นคดีตัวอย่างว่า กฎหมายบางอย่างจะบังคับใช้ต่อรัฐได้หรือไม่ หรือรัฐจะจำกัดสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้หรือไม่ ถ้าได้จะต้องมีเงื่อนไขอันใดบ้าง
มีการพิจารณาว่า Bill of Rights บังคับใช้กับ federal government ได้เท่านั้นหรือเปล่า มีการพิจารณาว่า First Amendment provisions on protection of freedom of speech and freedom of press นำบามังคับใช้กับ governments of the individual states ได้หรือเปล่า
แล้วก้อมีคดีตัวอย่างอีกหลายๆตัวอย่าง (ขี้เกียจอ้างชื่อคดีหลายๆคดี เพราะพิมพ์กันไม่หวัดไม่ไหว) ที่ศาลสูงสหรัฐพิจารณาว่า the Sixth Amendment rights are fundamental and extended to the states via the Fourteen Amendment ใช่หรือไม่
แล้วก้อมีการลงความเห็นว่า the Bill of Rights ครอบคลุมไปถึง the substantive rights (such as freedom of expression, right to peaceful assembly and free exercise of religion) and procedural rights (such as the rights to fair trial, jury trial, right to confront witness and to be represented by counsel), which are guaranteed by the Fourteen Amendment Due Process.
^ ดังเช่นเสรีภาพในการแสดงออก สิทธิในการชุมนุมกันโดยสันติ และเสรีภาพในการนับถือศาสนา และและสิทธิต่างๆเมื่อถูกดำเนินคดีความเช่นจะต้องได้รับการพิจารณาคีดอย่างยุติธรรม มีลูกขุน สามารถเผชิญหน้าเพื่อซักค้านพยานได้ และมีสิทธิ์ที่จะได้รับความช่วยเหลือจากทนายความ ซึ่ง due process ของ Fourteen Amendment ให้ไว้
สรุปแล้ว รัฐธรรมนุญสหรัฐมีข้อความสั้นที่สุด ตีความได้แคบๆ (ไม่ตีความได้หลายอย่าง) บังคับใช้กับทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้น และมีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดในโลก ความเสมอภาคจึ่งบังเกิดขึ้นได้นั่นเอง
ตกลงเรื่องการแบ่งแยกผิวปัญหาค่อยๆลดลงไปเรื่อยๆจนสหรัฐมีประธานาฺธิปดีเป็นคนผิวดำได้นี่ก้อนับว่าเป็นพัฒนาการด้านความเท่าเทียมกันในสังคมที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
นั่นก้อเป็นเพราะรัฐธรรมนูญที่มีประสิทธิภาพของเขา และระบบ check and balance ที่คานอำนาจกันและกันระหว่าง executive, legislative and judicial branch (ฝ่ายบริหาร นิติบัญญ้ติ และตุลาการ) ไม่ให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีอำนาจมากเกินไปจนใช้อำนาจในทางมิชอบหรือละเมิดอำนาจของฝ่ายอื่น
เชน ฝ่ายนิติบัญญัติออกกฎหมายมา ฝายบริหารบังคับใช้กฎหมาย แต่ประชาชนตาดำๆธรรมดาๆมีสิทธิ์ฟ้องร้องว่าฝ่ายบริหาร (รัฐ) ใช่อำนาจโดยมิชอบซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล ฝ่ายตุลาการถ้าพิจารณาเห็นว่าเป็นจริงก้อออกคำสั่งยกเลิกกฎหมายนั้นๆได้ และให้รัฐแพ้คดีไป จะเห็นบ่อยๆในคดีตัวอย่างระหว่างประชาชนกับรัฐ..ซึ่งฝ่ายบริหารไม่สามารถใช้อำนาจใดๆกดดันศาลไดั ซึ่งต่างจากประเทศที่ด้อยพัฒนาด้านประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนซึ่งในประเทศที่ด้อยพัฒนาเหล่านั้น หน่วยงานของรัฐมักจะมีอำนาจปกครองเหนือประชาชนและรังแกประชาชนได้เสมอ...เนื่องจากศาลต้องเกรงกลัวฝ่ายบริหาร...เพราะมันไม่มีระบบ check and balance ที่ดี
ลองจินตนาการดูว่าในประเทศด้อยพัฒนาที่แอบอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย ถ้าอยู่ดีๆรัฐบังคับใช้กฎหมายบางอย่างต่อประชาชนทำให้ประชาชนต้องสูญเสียสิทธิและเสรีภาพไป แล้วประชาชนฟ้องรัฐให้ยกเลิกการกระทำดังกล่าว แล้วถ้าศาลในประเทศด้อยพัฒนาตัดสินให้ประชาชนธรรมดาชนะ แล้วศาลออกคำสั่งยกเลิกกฎหมายนั้นไปเพราะมัน unconstitutional (ขัดต่อรัฐธรรมนุญ) อะไรจะเกิดขึ้น...!!!?? ท่านคงเดาได้ว่าศาลคงโดนไล่ออกหรือโดนฆ่าตาย...
....................................................................... กระบวนการยุติธรรมและการตีความกฎหมายของสหรัฐ ไม่มีหลายมาตรฐาน เมื่อพัฒนาไปเรื่่อยๆ หมายถืงเมื่อมีคดีตัวอย่างตัดสินไปเรื่อยๆ
ความยุติธรรมในสังคมย่อมบังเกิดขึ้นได้ในที่สุด...นี่คือประเด็นหลัก ที่ 1
ส่วนประเด็นหลักที่ 2 ก้อคื่อ ถึงในหัวใจอเมริกันชนยุคก่อนๆจะเต็มไปด้วย racial discrimination แต่การที่รัฐไม่ปิดหูปิดตาประชาชน มันทำให้ second class หรือ third class citizens รู้วิธีที่จะ "ต่อสู้"
ซึ่งต่างจากประเทศด้อยพัฒนาที่ปิดหูปิดตาประชาชน ซึ่งปล่อยข่าวเท็จเข้าข้างรัฐอยู่ตลอดเวลา ในประเทศด้อยพ้ฒนาเหล่านี้ เวลามีคดีความกันคนรวยหรือผู้มีอิทธิพลจะชนะมาตั้งแต่ขึ้นโรงพักไปจนถึงขึ้นศาลแล้วหละ...ประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้ถึงจะไม่มีทาสแต่ก้อมีผู้คนเป็นจำนวนมากที่โดนคนรวย คนมีอิทธิพล หรือรัฐข่มขู่เอารัดเอาเปรียบ ละเมิดสิทธิ์
"ความแตกต่างอันนี้ทำให้ประชาชนในประเทศด้อยพัฒนา ถึงจะไม่เป็นทาสในทางนิตินัย แต่ก้อยังเป็นทาสในทางพฤตินัย"
^ ดังนั้นการที่คุณ jk (jackfruit_k) หัวเราะเหอๆไว้ใน คคห 31
"ตอนนี้คุณต้องพิจารณาให้ดีๆว่าประเทศไหนกันแน่ที่กำลังหัวเราะไม่ออก "ในขณะนี้" เพราะโดนประเทศอื่นเขาหัวเราะเยาะเอาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนและเรื่องความอยุติธรรมในสังคม!" ................................................................. ข้อมูลใน คคห นี้ ส่วนใหญ่ตัดต่อมาจากข้อความที่เราเขียนไว้ในกระทู้เก่านี้
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10549522/K10549522.html
แก้ไขเมื่อ 08 มิ.ย. 54 22:51:01
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
8 มิ.ย. 54 22:45:32
|
|
|
|
|