ความคิดเห็นที่ 1 ว๊ากเกินไปก็ไม่ดีนะ  โวยวายๆ หนวกหู แต่การที่มีกิจกรรมร่วมกัน ทำให้สนิทกัน  พวกที่เข้าภาคไปแต่ไม่มีการรับน้องเลย ที่เคยเห็นนะ ไม่สนิทกันเลยทั้งที่มีคนนิดเดียว จากคุณ : Youzen เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 21:11:50

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่ามันปัญญาอ่อนมากกว่าระบบแบบนี้ และไอ้ประเภทใช้กำลังทำร้ายอีกอย่างถ้าใครมาทำกับลูกผมผม รับรองจะไปกระทืบที่มหาวิทยาลัยและตามกระทืบถึงบ้านแน่นอน กระทืบมันทุกวันจนกว่าจะเลิกว๊ากและอาจกระทืบไอ้คนที่ปล่อยให้คนมันรังแกกัน ด้วย สังคมหลังจบจากมหาวิทยาลัยออกมามันไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์เซ็งเครงแบบนี้หรอก มันควรจะมีแต่ความรักในวิถีที่ดีและอบอุ่นเกื้อกูลแบบพี่น้องมากกว่าไม่ใช้กดดันรุ่นน้องจนไม่อยากไปเรียน พ่อแม่ส่งลูกเขาไปเรียนไปใช้ไปเจอไอ้พวกโรคจิต จากคุณ : บ้านน้ำ (บ้านน้ำ) เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 21:33:36

ความคิดเห็นที่ 3 จบ โดยไม่เคยโดนว๊าก  ก็ยังรัก และจบการศึกษามาได้สวยงามและผูกพัน รับน้องมี แต่ก็ Educated :) เลยสร้างสิ่งดีๆ งามๆ ออกมาได้เช่นกัน จากคุณ : Mewchan เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 21:51:02

ความคิดเห็นที่ 4 พี่ที่รู้จักกัน ก็ไม่ได้เข้าพิธีรับน้อง เขาก็มีเพื่อตามปกติ รักกันดี ชวนไปเตะบอลกันบ่อยๆ ผมว่าการที่คนเราจะสนิทกับใคร การจะรู้จักกับใคร ไม่เห็นต้องใช้วิธีแบบในการรับน้องเลย เพื่อน ม.ต้น ม.ปลาย เราก็รู้จักกันได้ เพราะ เปิดใจเข้าไปคุยไม่ใช่เหรอ?   ส่วนเรื่องการเคารพรุ่นพี่ ถ้าตัวพวกรุ่นพี่มีอะไรให้น่าชื่นชม มีอะไรให้น่าเคารพ เดี๋ยวคนมันก็เคารพเองแหละ ถ้าทำตัวถ่อยๆ ใครมันจะเต็มใจมาเคารพล่ะ จากคุณ : Stress เขียนเมื่อ : 8 มิ.ย. 54 23:32:25

ความคิดเห็นที่ 5 มันเป็นการละลายพฤติกรรมไง จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 00:12:51

ความคิดเห็นที่ 6 แต่บางครั้งมันก็ละลายความเป็นคนได้เหมือนกันนะครับ จากคุณ : มดคันไฟไร้ระเบียบ เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 11:36:14

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่าระบบแบบนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียควบคู่กันไป อยู่ที่ว่าตัวเด็กเองเลือกจะพิจารณามุมไหนด้วยครับ ตอนผมเข้าปี 1 ผมไม่ชอบระบบแบบนี้เอามากๆ ถึงขั้นเกลียดเลยก็ว่าได้..แต่ผมเข้ารับการรับน้องจนครบทุกครั้งนะครับ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่อยากรู้ว่าระบบนี้มันจะทำให้เรารักเพื่อนได้จริงๆเหรอ และคิดอีกแง่ว่า ถ้ามันไม่มีส่วนดีบ้าง ระบบนี้น่าจะถูกแบนไปโดยมหาลัยนานแล้ว หรือจะต้องมีคนประท้วง ต่างๆนานา แต่ระบบนี้ปัจจุบันนี้มันยังอยู่ได้เพราะอะไรกัน แต่มันขึ้นอยู่กับรูปแบบของการจัดแต่ละคณะด้วยครับ ผมมาจากคณะที่ได้ชื่อว่ารับน้องโหดที่สุดในมหาวิทยาลัยครับ เจอการรับน้องแบบนนั้นครั้งแรก ยอมรับว่ากลัวมาก ถึงมากที่สุด ผมว่าเรียน นศท. ยังไม่หนักหนาเท่ารับน้องแบบนี้เลย..เพราะดูรุ่นพี่สั่งให้ทำอะไรอย่างไร้เหตุผลที่สุด.. แต่ข้อดีเพียงข้อเดียวที่ผมคิดว่าได้จากระบบนี้คือ ช่วยในการละลายพฤติกรรมได้ครับ และช่วยให้เหล่าเด็กนักศึกษาใหม่ รู้จักกันเร็วขึ้น ในช่วงระยะเวลาอันสั้น ที่เป็นช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ ที่ต้องมีการปรับตัวเยอะมากจากเด็ก ม. ปลาย เด็กบางคน มาแบบหัวเดียวกระเทียมลีบเลยครับ ไม่มีเพื่อนจากโรงเรียนเก่ามา และไม่รู้จักวิธีในการทำความรู้จักเพื่อนใหม่ๆ เป็นปัญหามากนะครับสำหรับบางคนครับ การรับน้องแบบดังกล่าวนี้ เป็นการบังคับให้พยายามทำความรู้จักกับเพื่อน และรุ่นพี่ไปในตัว คณะผมได้ชื่อว่าเป็นคณะที่เด็กมีความสามัคคีมากที่สุดคณะหนึ่งในหหาลัย ในรุ่นผมมีนักศึกษาเกือบ 400 คน แต่มีเด็กมารับน้องจริงๆ ประมาณ 70% ครับ ซึ่งจะเห็นได้ชัดเลยว่าคนที่ไม่มาเข้ากิจกรรมนี้ มักจะไม่ค่อยรู้จักเพื่อนเท่าไหร่ ส่วนมากก็จะเกาะกลุ่มกับเพื่อนโรงเรียนเดิมๆ ไปจนจบปี 4 ครับ แต่คนที่รู้จักเพื่อนเยอะๆ จะมีข้อดีครับเมื่อตอนจบมาทำงาน เพราะจะช่วยเหลือเื้กื้อกูลกันได้ เพราะไม่กระดากกระอายที่จะขอความช่วยเหลือเพื่อนเท่าไหร่เพราะสนิทสนมกัน คุ้นเคยกัน เคยทักทายปราศรัยกัน ที่คณะผมรุ่นพี่ที่มาว๊าก ทุกครั้งจะมีหัวข้อมาสั่งสอนครับ เช่นความสามัคคี การช่วยเหลือเพื่อนกันเรียน การตั้งใจเรียนให้นึกถึงบุญคุณพ่อแม่ที่ส่งเรามาเรียน เล่นเอาเรียกน้ำตาจากเด็กใหม่ ในทุกครั้งที่มีการรับชุมเชียร์   อีกอย่างผมมองว่าการที่ว๊ากมาเอะอะโวยวาย จริงอยู่ว่ามันน่ารำคาญ บั่นทอนจิตใจ เครียด แต่มองในมุมกลับ การที่เด็กใหม่อยู่ในภาวะที่กดดันมากๆ และได้ทำกิจกรรมร่วมกันจะเกิดความเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้นครับ เช่นถ้าให้วิดพื้นแล้วไม่พร้อม ก็โดนทำใหม่ ดังนั้นทุกคนจะพยายามวิดช้าๆ ให้พร้อมๆกัน เพื่อนที่ตัวใหญ่ก็จะรอเพื่อนที่ตัวเล็ก เพราะไม่งั้นก็โดนทำใหม่พร้อมๆกันอยู่ดี และจะฝึกความอดทนอดกลั้นได้ดีมากครับ เมื่อในอนาคตตั้งตั้งทำงานจริงจะเจอหัวหน้างานที่โหด ลูกค้าที่หงุดหงิดมา ซึ่งผมว่า จะเกรี้ยวกราดกว่าว๊ากพวกนี้ด้วยซ้ำไป  แต่ถ้าบอกว่าจบมาเป็นเจ้านายคน มีลูกน้องมากมาย ไม่กลัวอยู่แล้วว่าจะมีใครว่าดุแบบนี้ ก็จะได้เรียนรู้ไปด้วยครับว่า อย่าไปดุด่า ลูกน้องตัวเองแรงๆ เพราะไม่มีใครเขาชอบเหมือนกันครับ ดังนั้น ผมถึงบอกไงครับว่า อยู่ที่ตัวเด็กเองด้วยว่าจะมองในแง่มุมไหน มาถึงการคัดสรรบุคคลที่จะมาว๊าก อันนี้ขึ้นอยู่กับแต่ละคณะนะครับ แต่ที่คณะผมค่อนข้างจะมีระเบียบแบบแผนมากเช่น 1. คนที่จะมาเป็นว๊ากต้องมีเกรดเฉลี่ย> 2.5 เป็นต้นไป ไม่มีภาวะรอพินิจใดใด จากทางมหาลัย เพราะเขาเชื่อว่าคนที่มีทำกิจกรรมนี้ได้ ต้องเรียนได้ดีควบคู่ไปด้วย คือสามารถเอาตัวรอดเรื่องเรียนของตัวเองได้ ไม่ใช่ว่ามาทำแต่กิจกรรม จนไม่ตั้งใจเรียน 2. จะต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์จากว๊ากรุ่นเก่าๆ และอาจารย์ที่ดูแลกิจกรรมนี้ 3. ก่อนการรับน้องทุกครั้ง ว๊ากจะต้องเขียนสคริปคร่าวๆ ว่าในการรับน้องครั้งต่อไป จะพูดเรื่องอะไรบ้าง จะสอนอะไรบ้าง กิจกรรมที่จำดำเนินการมีอะไรบ้าง ส่งให้อาจารย์ผู้ดูแลกิจกรรม 4. ห้ามใช้คำหยาบ คำไม่สุภาพ กับเด็กนักศึกษาใหม่ แม้แต่คำว่า กรู เมิง 5. ห้ามสัมผัสแตะต้องตัวเด็ก หากมีนักศึกษาไม่สบายเป็นลม พี่ที่ทำหน้าที่พยาบาลจะเข้ามาดูแลเองครับ หากมีการลงโทษจะใช้วิธีออกกำลังกาย เช่นลุกนั่ง วิดพื้น หรือในรายที่อ่อนแอมาก ก็แค่ให้ยืนเฉยๆหรือห้ามกระดุกกระดิก แต่ว๊ากจะถามทุกครั้งว่าไหวไหม ถ้าไม่ไหวก็จะให้พัก หรือหยุดทำได้ จะไม่มีการฝืนใดใด อันนี้แค่คร่าวๆ ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยมากกว่านี้ครับ ผมเคยถามเพื่อนต่างคณะที่มีการรับน้องที่ไม่เข้มข้นนัก แปลกใจมาก ขนาดในเอกตัวเอง 40 กว่าคน เขายังไม่รู้จักกันเลยครับ ชื่อจริงเพื่อนยังไม่รู้เลยเวลา อ. ถามหา แต่ข้อเสียก็มีมากเช่นเดียวกันครับ เด็กบางคนถูกเลี้ยงมาแบบคุณหนูมาก พ่อแม่ไม่เคยดุด่า ตามใจตลอด ไม่เคยโดนใครดุเลย ก็ต้องมีความเครียดเป็นธรรมดา ถึงขั้นทำให้เกลียดการไปเรียน หดหู่ และไม่มีความสุขกับชีวิตมหาลัยเลยก็ว่าได้ครับ และมีเพื่อนผมหลายคนที่ยอมลาออก เพราะว่ารับไม่ได้กับระบบดังกล่าวนี้ เพราะมองว่าเป็นกิจกรรมที่ป่าเถื่อน โหดร้ายมากๆครับ...แต่เรื่องแบบนี้นานาจิตตังครับ เพราะว่าความทนทานภาวะกดดันในแต่ละบุคคลแตกต่างกันไป เพราะได้รับการเลี้ยงดูที่แตกต่างกันนั่นเอง ซึ่งผมว่าอาจจะมีปัญหาได้เมื่อถึงเวลาที่ทำงานจริง เขาจะรับได้ไหม ถ้าถูกเจ้านายดุด่า แรงๆ สรุปแล้วผมว่าระบบนี้ต้องดูที่ตัวกิจกรรมครับว่ามีรูปแบบใดครับ แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 54 16:44:30 แก้ไขเมื่อ 09 มิ.ย. 54 16:35:33 จากคุณ : Oceanophila เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 16:32:21

ความคิดเห็นที่ 8 ระบบมันก็มีทั้งข้อดีและเลว แต่มันจะส่งผลดีหรือผลเสียมากกว่า น่ะ คือคน ว่ามันดีหรือเลว เหมือนหัวๆ กระทู้ที่มีคนโวยวายว่าใครว้ากลูกกูกูกระทืบนั่นแหละ ตัวอย่างที่ชัดเจน จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : 9 มิ.ย. 54 18:28:52

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่รู้ว่าทำถูกเปล่านะ แต่ผมกะเพื่อน เคยเหวี่ยงรุ่นพี่ตอนรับน้องมาแล้ว แบบประมาณว่า ฉันไม่ทำ ใครหน้าไหนก็ไม่สิทธ์มาสั่ง มีสาระอะไรมั่งให้มาทำอะไรอย่างงี้ อะไรประมาณนั้น แล้วเดินออกมาเลย จากคุณ : Rule_Of_Rose เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 54 00:24:54

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่ชอบถึงขั้นเกลียดระบบนี้เหมือนกัน แต่ก็เข้ากิจกรรมครบนะคะ อาจเป็นไปได้ที่คณะเราไม่รุนแรงมากก็ได้ ส่วนตัวมองว่าระบบนี้ไร้สาระ เป็นโลกที่พยายามทำให้เสมือนจริง แต่ไม่มีวันเป็นจริงได้ ในชีวิตจริง ไม่มีคนสติดีๆ ระดับหัวหน้างาน หรืออื่นๆ ที่ไหนๆจะมาตะโกนใส่หน้าคนอื่นแบบนั้นหรอกค่ะ ถ้ามีก็พวกวุฒิภาวะทางอารมณ์ต่ำ ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง หลายๆท่านคงไม่ก้มหน้าก้มตาทนคนแบบนี้ด่าแน่ๆค่ะ ผิดกับการว้าก ที่เราจะต้องก้มหน้าก้มตาฟังไป เค้าให้ทำอะไรก็ทำ...ซึ่งมันไม่ใช่ในโลกแห่งความเป็นจริงอ่ะค่ะ (หรือโลกของเรามันไม่เหมือนคนอื่น???) ส่วนเรื่องเพื่อน รุ่นเราสนิทกันทุกคนค่ะ ทั้งกับเพื่อนที่เข้ากิจกรรมและไม่เข้ากิจกรรมค่ะ ไม่ได้แบ่งแยกเลยค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าคณะที่เราเรียน ต้องออกนอกสถานที่บ่อย กินนอนด้วยกันกับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ก็ได้ เลยกลายเป็นว่าสนิทกันทั้งชั้นปี แบบจำเป็นต้องมีกิจกรรมการว้ากมาเกี่ยวข้อง...หรือคณะเรามันคนน้อยด้วยก็ไม่รู้ อิอิ จากประสบการณ์ส่วนตัว ยืนยันนะคะ ความรักความผูกพัน ไม่ได้เกิดขึ้นในห้องเชียร์ค่ะ แต่ห้องเชียร์เป็นกิจกรรมที่ดึงเราไว้จนเย็นย่ำ พอเลิกแล้วรถก็ติดยังไม่อยากกลับบ้านกัน เลยต้องไปหาข้าวกิน หรือนั่งคุยกันต่อ + รูปแบบการเรียนที่คณะที่เราเรียนตามย่อหน้าที่แล้วด้วย เลยทำให้เกิดความสนิทสนมกับเพื่อนๆค่ะ จากคุณ : SadDog เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 54 00:47:55

ความคิดเห็นที่ 11 โดยส่วนตัวเราเฉยๆกับกิจกรรมนี้ค่ะ ไม่ได้รู้สึกว่าดีมากมายแต่ก็ไม่ได้รู้สึกแย่ขนาดที่ว่ารับไม่ได้ ในโลกแห่งความเป็นจริงเท่าที่เราเจอก็ไม่มีใครมากดดันโดยการตะคอกใส่นะคะ เห็นได้จากในที่ทำงาน เวลาที่เจอกดดันกันทีมีแต่พูดนิ่งๆเชือดนิ่มๆทั้งนั้น... จุดประสงค์ของการรับน้องสำหรับเราคือการเปิดโอกาสให้คนได้ทำความรู้จักกันมากกว่า แต่มันก็ไม่ได้ใช้ได้กับทุกคน คนเราถ้าไม่มีใจ หรือไม่เปิดรับคนอื่น ต่อให้อยู่ด้วยกัน กินข้าวด้วยกันมาตลอดสี่ปี ก็ไม่รู้สึกสนิทสนมหรอกค่ะ ดังนั้นแล้วเรื่องเพื่อนมันก็อยู่ที่ตัวบุคคล จะบอกว่ากิจกรรมรับน้องทำให้มีเพื่อนมาก เห็นทีจะไม่ใช่ เรามาจากคณะที่มีกิจกรรมรับน้องโหดคณะหนึ่ง และมหาวิทยาลัยที่เราอยู่ก็ขึ้นชื่อเรื่อง SOTUS พอสมควร ผ่านมาแล้วก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ถือคติที่ว่า...เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม 555+ เขาให้เข้าก็เข้า ถ้ามันไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่หนักหนา ก็เข้าๆไปเดี๋ยวก็จบ... อะไรที่มากมายไปนักก็ไม่ทำค่ะ ส่วนอะไรที่พอจะทำได้ก็ทำ ใช้ชีวิตแบบยืดหยุ่น 5555+ ปล. นี่คือความเห็นส่วนตัวนะคะ ^^ จากคุณ : givengift เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 54 05:02:43

ความคิดเห็นที่ 12 ใครที่บอกว่าระดับหัวหน้างานไม่ด่า ไม่เสียงดัง ในโลกความเป็นจริง ไม่ใช่มันไม่มีครับ แค่คุณไม่เคยเจอเท่านั้น ระบบนี้มีทั้งดีและเลว แต่มีแค่ด้านไม่ดีที่ถูกตีแผ่ แล้วด้านที่ดีล่ะ ? ไม่เคยมีคนพูดถึงหรอก  เรื่องทำร้ายร่างกาย  ถ้าทำเพื่อระบบจริงๆมันไม่มีหรอกครับ ที่มีก็แค่พวกเอาสะใจ รับน้องกับทารุณน้องมันแตกต่างกัน จากคุณ : ความเป็นจริงที่ว่างเปล่า เขียนเมื่อ : 10 มิ.ย. 54 13:24:11

ความคิดเห็นที่ 13 โอ๊ย เด็กอนุบาล 2 เค้าก็คิดออกครับ ข้อดีของระบบรับน้องอะ เอามาโพนทะนาอยู่ได้ แล้วข้อเสียละ ผ่านมากี่ปีๆ ไม่เคยแก้ไขได้ เอาแต่ด้านดีมาโชว์อยู่ได้ รำคาญฯ กี่ปีๆ ก็ยังอยู่วังวนเดิม ถ้ามันดีขนาดนั้น ไม่คิดจะแก้ไขส่วนที่มันไม่ดีเลยหรอครับ หรือจะบอกว่า ระบบมันมีด้านดีอยู่แล้ว ด้านเสียนิดๆหน่อยๆช่างหัวมัน ? ส้นตรีนมาก จากคุณ : Firion เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 54 01:00:21