ความคิดเห็นที่ 1 คนจีนกินเนื้อนนะครับ คนจีนในไทยส่วนใหญ่ไม่กินเนื้อ ตามความเชื่อ  เชื่อใครเขามาไม่รู้ จากคุณ : จบชลชายรุ่นไฟใหม้น้ำถ่วม เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 14:58:52

ความคิดเห็นที่ 2 ไปอยู่จีนมา 4 ปี เห็นแต่เนื้อวัว กับเนื้อแพะ (และกบ) ไม่ค่อยจะเห็นเนื้อหมูสักเท่าไหร่เลย มีแต่คนจีนในไทยนี่แหละที่ไม่กินเนื้อ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 15:35:58

ความคิดเห็นที่ 3 เท่าที่รู้คนจีนในไทยส่วนใหญ่ที่ไม่กินเนื้อเพราะ นับถือเจ้าแม่กวนอิมเลยไม่กินสัตว์ใหญ่นะครับ แต่ผมว่าหมูก็ตัวใหญ่นะ อิอิ ผมนี่จีนแท้เลยพ่อแม่ปู่ย่าตายาย ตอนเด็กๆก็ชอบกินเนื้อมาก พอโตมาหน่อยย่ากับแม่ก็ขอไว้ หยุดกินไปหลายปีเหมือนกัน ตอนหลังๆนีเลยแอบกิน แรกๆก็กินแต่นอกบ้าน แต่เดี๋ยวนี้ตบะแตกเริ่มกลับมากินอีกแล้ว อยากเลิกเหมือนกัน แต่ทนรสชาติกับความหอมของมันไม่ไหว จากคุณ : Audigy37 เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 15:44:59

ความคิดเห็นที่ 4 ตามตำนานคือเจ้าแม่กวนอิมไปช่วยพ่อจากนรก และได้ทำความตกลงกับวัวควายว่าเมื่อได้กลับมาโลกมนุษย์จะบอกมนุษย์ว่าอย่ากินวัวควาย รายละเอียดนี่ไม่แน่ใจนะคะ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาเรื่อย แต่อยู่แนวๆนี้แหละ เคยได้ยินว่าได้รับอิทธิพลมาจากหนังฮ่องกงในสมัยก่อน แต่จุดนี้ไม่แน่ใจเช่นกัน ได้ยินแค่ครั้งเดียว นานมาแล้วด้วย คนจีนแผ่นดินใหญ่กินเนื้อวัวค่ะ ถ้าใครอยู่จีน ได้ยินว่าเพื่อนไม่กินเนื้อวัว เดาไว้ได้เลยว่าคนไทย แต่ถ้าบอกว่าไม่กินเนื้อสัตว์ ส่วนมากจะเป็นคนอินโด คนอินโดพวกนี้เกือบทั้งหมดเป็นพวกเชื้อสายจีนฮกเกี้ยน โดยรวมแบ่งเป็นสองพวกคือพวกพุทธ มีทั้งกินเนื้อสัตว์และไม่กินเนื้อสัตว์ อีกพวกจะนับถือคริสต์ค่ะ เราว่าจีนชอบกินเนื้อวัวมากๆเลยแหละ รวมไปถึงญี่ปุ่นและเกาหลีด้วย ตอนอยู่จีนถ้าจะไปกินสเต๊กนี่ต้องทำใจนิดนึง ตัวเลือกไม่เยอะเท่าเนื้อวัว โดยส่วนตัว ตอนเด็กเรากินเนื้อวัว โตมากับเนื้อวัว มาเลิกกินตอนเรียนมัธยม เลิกแบบเด็ดขาดเลยเพราะที่บ้านเชื้อสายจีน(ก่อนหน้านั้นกินเนื้อหมูไม่ได้เพราะเจ้าที่เป็นอิสลาม อลหม่านดีแท้ ตอนหลังก็ขอท่าน ก็เลิกกินเนื้อวัวมากินเนื้อหมูแทน) ได้รับอิทธิพลของตำนานนั้น ต่อมารู้สึกว่าไร้สาระ แต่ได้ยินมาอีกทางว่าวัวควายมีบุญคุณ ช่วยคนทำไร่ทำนา อีกทั้งการละเว้นกินเนื้อสัตว์หนึ่งชนิดก็ถือเป็นเรื่องดี เลยทำมาโดยตลอด อีกอย่างที่ไทยมีการไถ่ชีวิตโคกระบือ ชาวพุทธถือกันว่าถ้าปล่อยสัตว์นั้นไปแล้วก็ไม่ควรเอาชีวิตมันอีก ไม่เช่นนั้นจะเป็นบาปหนัก เราก็เคยไถ่ชีวิตโคกระบือมา แล้วเราก็ไม่รู้ด้วยว่าเจ้าพวกนั้นไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง มาโต๊เต๊โรงฆ่าสัตว์แถวบ้านหรือมานอนแผ่ในตลาดสด ตลาดนัดกันหรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ เพื่อความปลอดภัยอย่ากินเป็นดีที่สุด ตั้งแต่นึกได้ถึงเรื่องไถ่ชีวิตโคกระบือเมื่อปีสองปีก่อน ก็เคร่งครัดมากกว่าเดิม ตอนอยู่จีนไม่มีปัญหา กินไก่ กินหมูไปตามเรื่อง(เราอยู่เมืองทางใต้ตลอด) แต่ตอนเรียนที่นิวซีแลนด์เราไม่กล้าซื้อไส้กรอกของที่นั่นมากิน อาหารหลายๆอย่างต้องอ่านอย่างละเอียดถึงกล้าซื้อ เหนื่อย เพราะพี่ท่านเล่นผสมเนื้อหลากหลายชนิด รวมไปถึงเนื้อวัวด้วย คนไทยบางคนถึงกับถอดใจ เริ่มกินเนื้อวัวไปเลยก็มี ยิ่งที่โรงเรียนมีนักเรียนซาอุเยอะ แม่เจ้า เวลาโรงเรียนจัดงานเลี้ยงเล็กๆเราแทบกินอะไรไม่ได้เลยแหละ เขาก็จะขนเนื้อวัวมาเต็มอัตราศึก จบกัน ได้แต่กินของอย่างอื่น บาร์บีคิวอร่อยๆไม่เคยตกถึงท้อง ฮ่าๆ จากคุณ : ขวัญ (khumchalong) เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 17:39:20

ความคิดเห็นที่ 5 คนจีนแผ่นดินใหญ่นี่แหละตัวดี กินเนื้อสัตว์แทบทุกชนิดแหละ＾＾ แต่ผมไม่ค่อยชอบเมนูเนื้อของที่นี่(จีนทางเหนือ)สักเท่าไหร่ เพราะชอบเอาเนื้อวัวไปหมักจนยุ่ย โดยเฉพาะเนื้อผัดน้ำมันหอย ส่วนเกาหลี ญี่ปุ่นนั้นก็อย่างที่คุณขวัญบอกเลย มาอยู่นี่ เพื่อนเกาหลีชวนกินแต่เนื้อมัทสึซากะย่าง แหม,,ของเค้าดีจริง แทบละลายในปาก 55555 ส่วนเรื่องไม่ทานเนื้อสัตว์ใหญ่เช่น วัวควายนั้น ผมเข้าใจว่าน่าจะถือคติทางฝ่ายพุทธมหายานที่บูชาพระโพธิสัตว์อวโกิเตศวร มากกว่าครับ นอกจากนี้มีข้อสังเกตอย่างนึงที่น่าคิดก็คือ สังคมจีนโบราณเป็นสังคมกสิกรรม การไถหว่านต้องอาศัยแรงงานจากสัตว์เหล่านี้ทั้งนั้น ถ้าหากผู้คนกินเนื้อสัตว์เหล่านี้โดยไม่บันยะบันยัง เห็นจะต้องลำบากเป็นแน่ ผมจึงคิดว่านอกจากคติความเชื่อทางศาสนาแล้ว น่าจะเป็นกุศโลบายทางการปกครองเพื่อให้สังคมอยู่กันด้วยความสงบสุข จึงตั้งคติการไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ ถือศีลภาวนาขึ้นมา เพราะอย่าลืมว่านอกจากพระพุทธศาสนาที่เผยแผ่เข้ามาภายหลังแล้ว ขณะนั้นสังคมจีนได้มีการนับถือหลักของเต๋าและขงจื้อมาก่อน ถึงแม้ว่าทั้งสองลัทธิความเชื่อจะต่างกันอยู่ในที โดยที่เต๋าเป็นไปเพื่อมุ่งแสวงหาทางหลุดพ้น ส่วนขงจื้อยึดมั่นความปรองดองในสังคม แต่ทั้งสองความเชื่อต่างก็เป็นไปเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จึงอาจเชื่อได้ว่า คติการไม่ทานเนื้อวัวควายน่าจะมีส่วนมาจากสาเหตุเหล่านี้ด้วยครับ,, Ps.แต่บ้านที่ไทย ถ้าทำอาหารมักใช้เนื้อหมู ทั้งๆ ที่ไม่ได้ถือคติบูชาเจ้าแม่กวนอิมนะ,, จากคุณ : dajia hao!!! (yangtaiping) เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 18:43:11

ความคิดเห็นที่ 6 คติไม่กินเนื้อวัวนี่น่าจะเป็นมาไม่นานนะ อย่างก๋งผมที่เป็นชาวจีนรุ่นที่สองจากซัวเถาก็ไม่เห็นจะมีธรรมเนียมอย่างนี้ คติเจ้าแม่กวนอิมนี่อายุอาจจะไม่ถึง 50 ปีด้วยซ้ำ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 18:49:52

ความคิดเห็นที่ 7 อุ๋ย!? ขอให้ give คุณขวัญ กับ คุณ dajia hao!!!  นะครับ  เพราะให้ข้อมูลเยอะ จะได้เอาไปคุยกับเพื่อน  คือเมื่อก่อนจขกทมีเพื่อนเป็นคนจีนในประเทศใกล้กับไทยนี่ล่ะ  เคยคุยกัน เขาสงสัยสองสามจากที่เคยไปเที่ยวเมืองไทยมา  อย่างเช่น ทำไมคนจีนในไทย พูดจีนไม่ได้เลย หรือ ทำไมไม่กินเนื้อ แล้วทำไมยู(ตัวผม)กิน   ซึ่งผมก็ตอบผิดไปแฮะ ผมตอบมั่วๆไปว่าคนจีนในไทยไม่กินเนื้อตามจีนแผ่นดินใหญ่ ส่วนตัวผมเองไม่มีเชื้อจีนเลยกินได้ (เคยได้ยินเรื่องคติเจ้าแม่กวนอิมนิดหน่อย แต่การตอบเป็นภาษาอังกฤษมันยากเกินไปสำหรับผม) ตามที่คุณ dajia hao!!! ว่า ก็แสดงว่าคนจีนในจีนแผ่นดินใหญ่เอง เดียวนี้ก็อาจจะละวางความเชื่อตามบรรพบุรษไปแล้วซินะครับ  คงคล้ายๆคนยุโรปที่เริ่มจะไม่นับถือศาสนาอะไรเลย ถามเพิ่มอีกนิด  ในจีนแผ่นดินใหญ่มีเทศกาลกินเจ แบบภูเก็ตไหมครับ แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 54 19:12:01 แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 54 19:10:48 แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 54 19:09:34 จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 19:08:16

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่มีเทศกาลกินเจค่ะ อันนี้จากที่เรียนภาษาจีนกับเหล่าซือแผ่นดินใหญ่หลายท่านมาสิบกว่าปี เมืองไทยเนี่ย พิธีการเยอะสุดล่ะมั้ง จากคุณ : อาง้อ เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 19:34:23 A:124.120.128.7 X: TicketID:302807

ความคิดเห็นที่ 9 ถึงคุณ Nexus ธรรมเนียมการไม่กินเนื้อวัวผมว่าเกิน 50 ปีนะครับ อาม่าผมอายุ 92 ปี บอกว่านับถือกันมาตั้งแต่ยังสาว ๆ เด็ก เอ๊าะ ๆ ^.^ ถึง คห.7 ที่ปัจจุบันในแผ่นดินใหญ่ไม่มีการกินเจเพราะเกิดจากช่วงปฏิวัติวัฒนธรรมครับ กวาดล้างทุกสิ่งอย่างที่เกี่ยวกับลัทธิความเชื่อ รวมถึงวัดวาอารามและการไหว้เจ้า แต่คนจีนที่อพยบมายังนับถืออยู่เหมือนเดิมครับ ด้วยเหตุนี้คนจีนในปัจจุบันที่แผ่นดินใหญ่ จึงไม่มีเทศกาลกินเจครับ อ้ออ แต่ถ้าที่ไต้หวัน ยังมีการกินเจ-ไหว้เจ้าอยู่นะครับ แต่ไม่เอิกเริกเท่าบ้านเรา ของไทยอลังการสุดละ =^.^= ปล.หากข้อมูลผิดพลาด วานผู้รู้ช่วยแก้ไขให้ด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 11 มิ.ย. 54 19:56:09 จากคุณ : ระวังแตก เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 19:55:36

ความคิดเห็นที่ 10 เท่าที่ทราบ   เทศกาลกินเจนี่มียิ่งใหญ่ที่สุดก็ประเทศไทยนี่แหละ   ขนาดจีนเองยังไม่เท่า      ของไทยเรานี่โด่งดังที่สุดในโลกแล้ว ลอง Search Google ด้วยคำว่า  +++vegetarian festival+++   สิครับ    90%จะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับเทศกาลกินเจของไทย จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 21:19:43

ความคิดเห็นที่ 11 คนจีนนี่กินเนื้อในระดับที่เรียกว่ากินกันทุกอย่างล่ะ       มีคำกล่าวว่าสิ่งที่มี4เท้าที่คนจีนไม่กิน     มีแค่โต๊ะกับเก้าอี้เท่านั้น ดูๆแล้วก็พอฟัดพอเหวี่ยงกับคนไทยล่ะ    คนไทยเราก็กินกันทุกอย่าง     อะไรๆเอามาบริโภคได้หมด      ขนาดช่วงที่ตั๊กแตนปาทังก้าระบาดในเอเชีย      ไปอินเดียคนอินเดียหมดตัว    ผ่านพม่าคนพม่าฆ่าตัวตาย     แต่พอมาถึงไทยคนไทยอิ่มอร่อย จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 21:24:35

ความคิดเห็นที่ 12 มีภาษิตว่า คนกวางตุ้งกินทุกอย่างที่มีสี่ขา ยกเว้นโต๊ะกับเก้าอี้ ครับ อิอิ คนจีนทางเหนือกินพวก วัว แพะ แกะ กันเป็นกิจวัตรเลยครับ มีคนทางใต้นี้แล ที่ทานเนื้อหมูมากหน่อย จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 21:27:09

ความคิดเห็นที่ 13 คำกล่าว  คนกวางตุ้ง ประมาณนี้ครับ ที่อยู่บนบก ยกเว้นคน     กิน ที่อยู่ในน้ำ ยกเว้นเรือ     กิน ที่อยู่บนฟ้า ยกเว้นเครื่องบืน กิน จากคุณ : หลี่ เสียนหลอ เขียนเมื่อ : 11 มิ.ย. 54 23:48:54

ความคิดเห็นที่ 14 ช่วงปฎิวัติวัฒนธรรมไม่น่าจะมีคนจีนอพยพมาเยอะนะครับ คนจีนอพยพมาเยอะช่วงประมาณต้นสมัยรัตนโกสินทร์มากกว่า จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 54 01:07:19

ความคิดเห็นที่ 15 นักมังสวิรัติไทย ไปเที่ยวเมืองจีน  เกือบ ๑ สัปดาห์ วันแรก ชมว่า ผักจีน อร่อย วันต่อมา ไปเห็นวิธีปลูกผักของจีนเ้ข้า เลยต้องยอม งดมังสวิรัติ ชั่วคราว จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 54 10:28:54

ความคิดเห็นที่ 16 เคยโดนคนจีนถามว่า ทำไมคนไทยไม่กินเนื้อวัวเเละเนื้อแพะ เลยเล่าเรื่องตำนานเกี่ยวกับเจ้าแม่กวนอิมให้ฟัง คนจีนฟังถึงกับอึ้ง ถามต่อว่า "มีงี้ด้วยหรอ" แต่เพื่อนชาวจีนอีกคนที่เคยบวชเรียน เคยเล่าให้ฟัง (แต่เราจำได้คร่าวๆ ว่า) ในสมัยหนึ่งของจีน ตอนนั้นกำลังเกิดสงคราม ข้าวปลาอาหารขัดสน ฮ่องเต้ในสมัยนั้นเห็นพระวันๆไม่ทำอะไร ก็ได้กินได้ใช้ แถมได้กินเนื้อซะด้วย ว่ะ! มันน่าหมั่นไส้นัก ฮ่องเต่เลยคิดหาทางกำจัดพระ เหล่าพระสงห์เห็นภัยมาถึงตัว จึงคิดกุศโลบายออกมาว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเราอย่ากินเนื้อกันเลย ฝูงสัตว์รอดตาย และแน่นอนพวกอาตมาก็รอดตายด้วย ไม่แน่ใจว่าใช่ตำนานเกี่ยวกับเรื่องนี้รึเปล่า แต่ทะ:-)ๆ ว่าประมาณนี้ ยังไงรอท่านผู้รู้มาไขข้อกระจ่างอีกที แต่ที่แน่ๆ เพื่อนคนจีนเคยพูดว่า เนื้อคนคนจีนยังเคยกินมาเเล้ว นับประสาอะไรกับเนื้อวัว T_T" แก้ไขคำผิด แก้ไขเมื่อ 12 มิ.ย. 54 11:04:06 จากคุณ : งิ้วมังกร (sweetbutter) เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 54 11:02:54

ความคิดเห็นที่ 17 เทศกาลกินเจนี่ มีเป็นล่ำเป็นสันก็แต่ในเมืองไทยนี้แลครับ แทบไม่พบในชาวจีนแผ่นดินใหญ่และชาวจีนโพ้นทะเลอื่นๆ ลองย้อนจากตำนานการกินเจของจังหวัดทางภาคใต้ดู จะพบว่าอย่างตำนานของภูเก็ตนี่ มันเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในภูเก็ตโดยแท้เลยครับ ที่เล่ากันว่า " มีคณะงิ้วจากเมืองจีนมาเปิดการแสดงที่กะทู้นานเป็นแรมปี แล้วบังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจและสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็หายสิ้น ชาวกะทู้เกิดความเลื่อมใสศรัทธาจึงปฏิบัติตาม และหลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ผู้ศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์ตามแบบประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) ในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน" โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่า การกินเจอาจจะเป็นประเพณีย่อยๆ ที่ชาวจีนทางใต้อย่างคนฮกเกี้ยนบางกลุ่ม และชาวแต้จิ๋วถือปฏิบัติกันมาครับ (นั่นทำให้ตำนานการกินเจแตกแขนงออกไปสารพัดสารเพ ตามแต่ละท้องถิ่นจะเชื่อถือกัน) มันอาจจะจำกัดอยู่ในวงแคบมาก และน่าจะเป็นพวกธรรมเนียมของสมาคมลับหรืออั้งยี่สารพัดกลุ่มเสียมากกว่า พอพวกเขาอพยพมาอาศัยในเมืองไทย ก็พัฒนาระบบความเชื่อนี้จนกลายเป็นประเพณีขึ้นมา นั่นทำให้เราแทบไม่พบหลักฐานประเพณีการกินเจในคนจีนถิ่นอื่นๆ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 12 มิ.ย. 54 18:30:52

ความคิดเห็นที่ 18 น่าจะเป็นพรรคฟ้า-ดินหรือเปล่าครับที่กินเจ เหมือนเคยอ่านผ่านๆว่าพรรคนี้ได้รับอิทธิพลจากศาสนา Manichaeism เลยกินเจ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 54 01:24:14

ความคิดเห็นที่ 19 เรียน คุณ Nexus อาจจะเป็นไปได้ครับ นอกจากนี้ก็มีแนวคิดของลัทธิเต๋าบางสำนักบางสาขา ที่ถือการปฏิบัติตนบริสุทธิ์ด้วยการทานเจเหมือนกัน ในวัฒนธรรมจีนบางกลุ่ม หรือในชนชั้นปกครองของจีน บางครั้งก่อนกระทำพิธีกรรมสำคัญ ก็จะมีการทานอาหารเจอหรือปฏิบัติตนตามศีลหรือพิธีกรรมที่พยายามทำตอนให้บริสุทธิ์ตามนิยามทางความเชื่อของเขาหน่ะครับ ทำให้ผมคิดว่า การทานเจในเมืองไทยนี่ น่าจะมาจากสมาคมลับหรือแนวคิดแบบหมอผี ที่มาจากเมืองจีนครับ โดยพวกสมาชิกของสมาคมก็มีพิธีกรรมบางประการเพื่อบูชาสิ่งที่ตนนับถือ ให้อำนวยโชคอำนวยพรในการเดินทางมาประกอบอาชีพยังต่างแดน หรือเป็นพิธีกรรมที่เอาไว้สร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวในเหล่าสมาชิกของสมาคมครับ ทำให้โรงเจ และศาลเจ้า ถูกผูกติดกันแบบแยกไม่ออก จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 13 มิ.ย. 54 12:10:00

ความคิดเห็นที่ 20 อาถรรพ์เนื้อวัวแก้ได้ด้วย The Law of Attraction! สมัยเด็กๆเราไม่สบายมากเลยฝึก Zen Macrobiotics กินเจแบบญี่ปุ่นใช้ข้าวกล้องและผักปลอดสารพิษ (แบบคล้ายๆที่ ดร.สาธิต อินทรคำแหงเอามาดัดแปลงเป็นชีวจิต แต่ของเขาไม่เป็นเจ100%) กินๆไปประหลาดมากๆเรารักษาโรคตัวเองได้และกลายเป็นสุขภาพดีขึ้นมากๆ สาเหตุที่ไม่กินเนื้อสัตว์พวกคนฝึก Zen Macrobiotics ไม่ได้พูดถึงเรื่องนับถือเจ้าแม่กวนอิม แต่พูดเรื่อง "ไม่อยากได้สารเคมีจากกระบวนการผลิตสัตว์" และบางคนฝึกโยคะก็ได้แนวคิดว่า "ไม่อยากให้สัญชาติญาณสัตว์เข้ามาในจิตตัวเอง เพราะจะทำให้เสียดุลพินิจอันสูงส่ง แต่ไม่ได้พูดเรื่องสงสารสัตว์" ในชีวิตการฝึก Zen Macrobiotics มา 35 ปี เราอ่านเรื่องราวที่น่าประหลาดของคนฝึก Zen Macrobiotics อยู่ดีๆมี craving (ความอยากมากๆ) อยากกินเนื้อวัว ก็กินไป แล้วบางคน ผัวเมียเลิกกัน ทำธุรกิจเจ้ง มีเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาล ถูกไล่ออกจากงาน ^ ตัวเราเองก็เคยประสบเคราะห์กรรมพวกนี้มาหมด ทุกครั้งที่กินเนื้อวัว! แต่พวกเขา (ฝรั่งเกือบหมด) ไม่ใช้เหตุผลเหมือนคนจีนนับถือเจ้าแม่กวนอิม พวกเขาบอกว่า "สารเคมีจากการเลี้ยงดูสัตว์ และสัญชาติญาณสัตว์ และเคมีบางอย่างที่สัตว์มันหลั่งออกมาตอนจะโดนฆ่า มันทำให้ดุลพินิจลดถอยลง เลยตัดสินใจผิด แล้วประสบชะตากรรม" และแล้วเราไปอ่านหนังสือพวกคนนับถือเจ้าแม่กวนอิม เรื่องคนในใต้หวันประสบชะตากรรมทุกครั้งที่เกินเนื้อวัว พอเลิกกินแล้วนับถือเจ้าแม่กวนอิมชีวิตก็ดีขึ้น พอมี craving แล้วไปกินเนื้อวัวชีวิตก็แย่อีก อ่านๆไปแล้วฝั่งใจ เราเลยกินเนื้อวัวไม่ได้ไป 30 กว่าปี ทั้งๆที่เราชอบเนื้อวัวเป็นชีวิตจิตใจ...อาชีพแรกที่เราทำในชีวิตก็คือเป็น grill chef ซึ่งส่วนใหญ่เราะปิ้ง steak กับเตา charcoal พอเราอ่านหนังสือ The Secret แล้วเรียนรู้เรื่อง The Law of Attraction เราลอง "ท้าทายอาถรรพ์เนื้อวัว" ดูใหม่ เราทำ steak พริกไทยดำ แล้ววางหน้าเรา แล้วเรานั่งสมาธิเพ่งกระแสจิตคิดว่า "กรูกินเนื้อวัวแล้วจะประสบแต่ความสุขความเจริญรุ่งเรือง" ทดลองเพ่งอยู่หลายรอบ แต่ก็ยังแพ้อาถรรพ์ กินเนื้อวัวทีแรก printer พัง กินเนื้้อวัวทีที่สอง computer พัง กินเนื้อวัวทีที่สาม webcam พัง กินเนื้อวัวทีที่ 4 hard disk พัง กินเนื้อวัวทีที่ 5 format hard disk ผิดลูกข้อมูลสำคัญๆหายเกลี้ยง ^ ส่วนใหญ่อาการพังไม่ใช่เกิดจากการหมดอายุการใช้งาน แต่เกิดจากทำอะไรผิดพลาด เพราะ "ดุลพินิจแย่ลง" ก็เลยขยาดไปพักใหญ่ๆ แต่ตอนเพ่งพลังตามหลัก The Law of Attraction เราฝึก Qi Gong (พลังลมปราณ) มันกลายเป็นก้าวหน้าไวขึ้นอย่างน่าประหลาด ขาเราที่เกือบจะไม่มีแรงกลายเป็นวิ่งหรือกระโดดเตะสูงๆได้ตอนอายุมากๆ เราก็เลยกลับมาลองใหม่ ทำเหมือนเดิม ปิ้ง steak เนื้อติดมัน...พูดแล้วน้ำลายไหลอ้ะ... ทำเสร็จเอามาตั้ง แล้วเพ่งกระแสจิตว่า "กรูกินเนื้อวัวแล้วจะร่ำรวยเจริญก้าวหน้ายิ่งๆขึ้น!" ^ คราวนี้ได้ผลแฮะ ไม่มีข้าวของพัง แถมยังมีคนมาจ้างให้เราทำงานแปลชุดใหญ่ เราได้เงินไปตั้งเป็นแสนๆบาท! อะโหทำลายอาถรรพ์เนื้อวัวได้สำเร็จหลังจากกินมันไม่ได้มาตั้ง 35 ปี! คราวนี้เลยซ่า นับตั้งแต่วันนั้นแล้วนะ เราทำอาหารแต่เนื้อวัวกินเป็นอาหารหลัก ตั้งแต่ steak ยันไปถึงเนื้อวัวตุ๋นสมุนไพรจีน กับเนื้อวัวอะไรต่อมิอะไร กินอย่างเมามันอย่างต่อเนื่อง ทุกๆวันเป็นเวลา 3 เดือน ^ โอ้ยจะบ้าหน้าตูจะเป็นเนื้อวัวอยู่มะรอมมะร่อแล้ว แถมซ้ำร้ายยิ่งกว่านั้น กลิ่นเต่าตัวเองแรงผิดปกติ เลยต้องหยุดกินชั่วคราว อื้อเนื้อวัวนี่กินแล้วกลิ่นเต่าแรงจริงๆแฮะ ทนกลิ่นเต่าตัวเองแทบไม่ไหวเลยอ้ะ...!!! ^ ตอนนี้มองๆไปรอบๆตัวนะ เห็น หมูกับไก่ยี่ห้อ S Pure ที่เขารับประกันว่าไม่มีสารเคมีในกระบวนการผลิตเราก็เลยกินหมูกับไก่เพิ่ม แต่จะซื้อยี่ห้อปลอดสารพิษนะ ^ ตอนนี้พอรู้ตัวว่า "เอาชนะอาถรรพ์เนื้อวัวได้แล้ว เราก็ชักไม่ค่อยอยากจะกินมันอีกแฮะ เพราะกินแล้วอ้วนมากเกินไป" ถือว่าชนะอาถรรพ์เนื้อวัวได้แล้ว เราก็นานๆอยากกินก็กินเนื้อวัวทีหนึ่ง ไม่กินมากนักเนื่องด้วยเหตุผลที่ว่า "ยังหาเนื้อวัวปลอดสารเคมีไม่ได้ เพราะยังไม่มีใครทำขายแบบ S Pure ทำหมูกับไก่ปลอดสารพิษขาย" ^ เราก็เลยชลอการกินเนื้อวัวลงไปบ้าง แต่ก็ดีใจที่แก้อาถรรพ์ได้ และวันไหนอยากกินเนื้อวัวมากๆ ก็กินมันซะ ไม่เชื่อเรื่องการโยงใยเจ้าแม่กวนอิมกับการความต้องห้ามของเนื้อวัวอีกต่อแล้ว  คือเราชอบยืนดูภาพเจ้าแม่กวนอิม แล้วมีความสุขใจมากๆ แต่เราไม่ขอเอาความเชื่อเรื่องเนื้อวัว "ที่ใครก็ไม่รู้สอนให้เชื่อ" มาทำให้ชีวิตเราต้องกินไอ้โน่นก็ไม่ได้ กินไอ้นี่ก็ไม่ได้ ^ เพราะจำได้ว่าครั้งหนึ่งที่ถามฝรั่งคนหนึ่งที่ฝึก Zen Macrobiotics มาจนรู้มากกว่าเราหลายเท่า ว่า อาหารแบบนี้ แบบนั้น เป็น macrobiotic food ได้หรือเปล่า เขาตอบว่า "everything is macrobiotic" และบอกว่า George Ohsawa (ชาวญี่ปุ่นที่เผยแพร่ Zen Macrobiotics ทั่วโลก) พูดไว้ว่า A free man can eat anything. แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 54 12:17:44 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 54 12:09:22

ความคิดเห็นที่ 21 สรุปแล้วเราคงมีประวัติการกินอาหารคล้ายๆ Jet Li นั่นแหละ คือเขากินเจมาตั้งแต่เด็กๆเพราะย่าหรือยายเขาเชื่อว่าเนื้อสัตว์ทำให้เจ็บป่วยได้ เพราะย่าหรือยายเขากินเจแล้วรักษาโรคได้เหมือนๆเราเลย ครั้นพอ Jet Li ไปเริ่มฝึกวรยุทธ์อาจารย์เขาบอกว่า Jet Li ตัวเล็กไป กล้ามเนื้อไม่ค่อยมีพลัง อาจารย์เลยยุให้ Jet Li เริ่มหัดกินเนื้อสัตว์ คือตอนนี้เราเป็นเหมือนที่ George Ohsawa พูดนั่นแหละ คือ A free man can eat anything. แต่บ่อยครั้งเราก็คิดถึงอาหารเจนะ ทั้งๆที่เรา "ล้างอาถรรพ์" แล้วกินเนื้อสัตว์ได้ทุกประเภท (ถ้ากินเนื้อวัวแล้วไม่ซวยกินเนื้อสัตว์อย่างอื่นก็กินได้หมดนั่นแหละ) ^ แต่ก็อีกนั่นแหละ นอกจาก The Law of Attraction ที่ล้างอาถรรพ์แล้ว อีกเหตุผลหนึ่งอาจเป็นไปได้ที่ว่า 35 ปีของการกินแต่อาหารปลอดสารพิษ (ไม่กินแม้กระทั่งน้ำตาล ชูรส สารกันบูดฯลฯ)cells ในร่างเราอาจแปรเปลี่ยนไปมากแล้วก็ได้ จนกลายเป็น biological transmutation ทำให้ร่างกายเราล้างพิษ (กรดจากเนื้อสัตว์) ได้รวดเร็ว "จนมันไม่สร้างกระบวนการทางเคมีซึ่งทำลายดุลพินิจของเรา!" ^ ถ้าคิดแนวนี้ ก็แสดงว่า "อาถรรพ์เรื่องเนื้อวัว มันไม่มีตัวตน แต่แท้จริงแล้ว มันเป็นกฎเกณฑ์ธรรมชาติ ซึ่งพิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ที่เราไม่รู้" แต่บางวันเราก็คิดถึงอาหารเจของเราเหมือนกันนะ แล้วก็ต้องหวนกลับไปกินเจอยู่บ่อยๆ อ้ะ... แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 54 12:31:41 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 54 12:24:07

ความคิดเห็นที่ 22 เดิมคนจีนส่วนใหญ่ในไทยก็กินเนื้อกันทั้งนั้น ก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย เกาเหลาเนื้อเปื่อย ก็เป็นอาหารจีนทั้งสิ้น เมื่อก่อนถ้าเป็นลูกชิ้นแล้วก็ต้องเป็นเนื้อวัว ลูกชิ้นเนื้อหมูไม่มีใครทำ ก๋วยเตี๋ยวเืรือสมัยก่อนก็ต้องเป็นเนื้อวัว ถ้าใช้เนื้อหมูผมจะไม่กินเลย เริ่มมาระยะหลังคนที่ไหว้เจ้าแม่กวนอิมมีมากขึ้น เลยไม่กินเนื้อกันมากขึ้น จนบางคนแม้ไม่ได้ไหว้เจ้าแม่กวนอิมอย่างจริงจังก็ไม่กินตามไปด้วย บางคนไม่เคยกินหรือไม่ได้กินนาน ๆ ก็จะไม่ชอบเนื้อ เพราะเนื้อมีกลิ่นสาบเฉพาะตัว ไม่มีหลักฐานใดที่แสดงว่าพระพุทธเจ้าห้ามการกินเนื้อวัว แต่เจ้าแม่กวนอิมเป็นพุทธมหายาน ไม่กินเนื้อเพราะได้รับอิทธิพลจากศาสนาฮินดู ที่บ้านผมแม่เคยจะเชิญมาตั้งบูชาที่บ้าน ทุกคนต่อต้านด้วยเหตุผลที่ห้ามกินเนื้อนี่แหละ อาม่าผมเคยบอกผมว่าเจ้าแม่กวนอิมเป็นคนอินเดียไม่ใช่คนจีน จึงไม่กินเนื้อ แต่บางคนว่าเจ้าแม่กวนอิมกินเจ ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าเนื้ออะไรก็คงไม่กิน ก็แล้วแต่จะว่ากันไป วันนี้มาแก้ไขข้อความจากเดิมที่บอกว่า "พระพุทธเจ้าก็ฉันเนื้อ" นั้น (ข้อความเดิมใช้คำว่า "รับประทาน" ซึ่งไม่ถูกจึงข้อเปลี่ยนเป็น "ฉัน") เป็นข้อความที่หมิ่นเหม่ต่อการทำให้ศาสนาพุทธผิดเพี้ยนไปได้ จึงเปลี่ยนใหม่และขยายความเพิ่มในความคิดเห็นข้างล่าง แก้ไขเมื่อ 15 มิ.ย. 54 14:39:13 จากคุณ : สนทะเลน้อย เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 54 15:15:02

ความคิดเห็นที่ 23 เอ่อ จขกทอ่าน fortuneteller แล้วฉงนมากเลยว่า  การกินเนื้อมันผูกพันกับเคราะห์กรรมได้งั้นเชียว จขกท ไม่มีความชอบเนื้ออะไรเป็นพิเศษ  เช่น หมูสะเต๊ะ  แกงเขียวหวานไก่   ก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นเนื้อเปื่อย  หรือจะไม่กินเนื้อเป็นเดือนๆเลยก็ไม่มีปัญหาอะไร   อันที่จริงจขกทเคยมีช่วงชีวิตที่ต้องกินอาหารมังสะวิรัติแบบอินเดียสองเดือนก็เห็นว่าอร่อยดี   เดี๋ยวนี้ กระทั่งอาหารไทยภาคกลาง หากไม่มีให้กินก็กินตามท้องถิ่นที่ไปอยู่ก้ได้  หรือถ้าไม่มีอาหารไทยเลย ก้ไม่มีปัญหา แต่จขกท เคารพ ความคิดคนอื่นครับ  ถ้าไปกินด้วยกันแล้ว เพื่อนคนนึงบอกว่า ไม่กินเนื้อ อีกคนบอกไม่กินหมู จขกท จะสั่งมังสะวิรัติครับ แก้ไขเมื่อ 14 มิ.ย. 54 18:39:45 จากคุณ : Ter @ AFC เขียนเมื่อ : 14 มิ.ย. 54 18:38:49

ความคิดเห็นที่ 24 พอดีเมื่อวานมาแสดงความคิดเห็นว่า พระพุทธเจ้าก็ฉันเนื้อ ซึ่งอาจคลาดเคลื่อนได้ บัดนี้เลยกึ่งพุทธการมาแล้ว ผมคิดว่าการสรุปความคิดเห็นเอาเองต้องระมัดระวังมาก เพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของศาสนาพุทธให้คงอยู่ยาวนานที่สุด เรื่องเนื้อต่าง ๆ นั้นมีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม ๕ ซึ่งมีชื่อว่า มหาวัคค์ (เล่ม ๔ และเล่ม ๕ ชื่อเหมือนกัน) ในเภสัชชขันธกะ (หมวดว่าด้วยยารักษาโรค) พระพุทธเจ้าห้ามภิกษุฉันเนื้อคน เนื่องจากในสมัยนั้น เคยมีผู้หญิงคนหนึ่งเห็นพระอยากฉันเนื้อ แต่หาเนื้อไม่ได้ จึงได้เฉือนเอาเนื้อตัวเองมาปรุงเป็นอาหารถวาย นอกจากเนื้อคนแล้ว ในไตรปิฎกก็กล่าวต่อไปว่า พระพุทธเจ้ายังห้ามภิำำกษุฉันเนื้อสัตว์อีก ๙ ชนิด ได้แก่ เนื้อช้าง เนื้อม้า เนื้อสุนัขบ้าน เนื้องู เนื้อราชสีห์ (สิงโต) เนื้อเสือโคร่ง เนื้อเสือดาว เนื้อหมี เนื้อสุนัขป่า ไม่มีที่ใดพูดถึงว่าพระพุุทธเจ้าห้ามกินเนื้อวัว แต่อาจเป็นไปได้ว่าการไม่กินเนื้อวัวเป็นธรรมเนียมปฏิบัติเป็นปกติของคนอินเดียในสมัยนั้นอยู่แล้วเพราะนับถือศาสนาพราหมณ์มาก่อน เลยไม่มีใครนำเนื้อวัวมาปรุงอาหารอยู่แล้วก็ได้ จากคุณ : สนทะเลน้อย เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 54 14:55:59

ความคิดเห็นที่ 25 ทีนี้กลับมาเมืองไทย ปัจจุบันคำว่า "เนื้อ" เฉย ๆ จะหมายถึงเนื้อวัวหรือเนื้อควาย แต่สมัยก่อนจะหมายถึงพวกเนื้อสมัน เนื้อทราย เดิมคนไทยไม่กินเนื้อวัวและควาย เพราะถือว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญคุณ ช่วยไถ่ไร่ไถนา คนไทยไปรับเอาวัฒนธรรมการกินเนื้อมากจากไหนเป็นไปได้หลายทาง เพราะฝรั่งและคนอิสลามต่างก็กินเนื้อกันทั้งนั้น แต่ผมแอบเชื่อว่าคนไทยรับมาจากคนจีนนั่นเอง จากคุณ : สนทะเลน้อย เขียนเมื่อ : 15 มิ.ย. 54 15:01:28

ความคิดเห็นที่ 26 ที่ จขกท ที่พูดไว้ใน คคห 23 ว่า "เอ่อ จขกทอ่าน fortuneteller แล้วฉงนมากเลยว่า  การกินเนื้อมันผูกพันกับเคราะห์กรรมได้งั้นเชียว" ^ ตอบ การกินเนื้อวัวมันผูกพันกับเคราะห์กรรมของคุณหากคุณเชื่อสนิทว่า "กินเนื้อวัวแล้วบาป หรือกินเนื้อวัวแล้วจะซวย หรือเชื่อว่าไม่กินเนื้อวัวแล้วจะได้บุญหรือจะร่ำรวยอย่างพวกนับถือเจ้าแม่กวนอิมเชื่อกัน" ^ มันไม่ใช่ความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาหรือเจ้าแม้่กวนอิม แต่มันเป็น The Law of Attraction ^ "ถ้าคุณสะกดจิตตัวเองโดยคิดซะใหม่ว่า ฝรั่งมหาเศรษฐีมันกินเนื้อวัวแล้วมันร่ำรวยมหาศาล แล้วคุณพยายามเอาชนะความเชื่อที่ฝังอยู่ภายใต้จิตสำนึกให้ได้ แบบถอนรากถอนโคนมันออกไปซะให้หมดสิ้น การกินเนื้อวัวก็จะไม่ผูกพันกับเคราะห์กรรมของคุณอีกต่อไป" ^ ซึ่งตอนนี้เราทำมันได้สำเร็จแล้ว หลังจากฝึกพลังจิตและฝึกกำลังภายในอย่างหนักตาม The Law of Attraction เพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระให้ได้ นั่นก็คือ "ตอนนี้เราเป็นอิสระแล้วที่จะกินอะไรก็ได้" ตามที่ George Ohsawa พูดไว้ว่า "A free man can eat anything." ^ และตอนนี้เราก็ทำได้สำเร็จแล้ว ^ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ มันอาจไม่ใช่พลังจิตที่ฝึกสำเร็จตามหลัก The Law of Attraction ก็ได้ แต่มันอาจเป็นเพราะเรากินแต่ข้าวกล้องกับผักแบบ organic ไม่กินน้ำตาล ไม่กินชูรส ไม่กินพวกสารเคมีที่ใส่ลงในอาหาร กินแต่อาหารธรรมชาติแบบ macrobiotic มาตั้ง 35 ปี มันทำให้ cells ในร่างเราเปลี่ยนไปแบบผ่าเหล่าผ่ากอ (biological transmutation) พอเรากินเนื้อวัวที่มีกรดสูงมากๆเข้าไป แทนที่มันจะทำอันตรายระบบเราได้ เรากลายเป็นมีภูมิคุ้มกัน จนร่างกายเราสลายกรดมันได้อย่างรวดเร็ว แถมยังเอาพลังเนื้อวัวไปใช้ประโยชน์ได้อีกด้วย! จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 20 มิ.ย. 54 01:56:45