|
หมาเก้าหาง น่าจะเป็นต้นแบบ จิ้งจอกเก้าหาง แต่ถูกลดชั้นลง เพราะเป็นเทพจากต่างเผ่า ที่ไม่ใช่หัวเซี่ย จึงมีสภาพเป็นผู้ร้ายภายหลัง เพราะการเยียดเผ่า เยียดวัฒนธรรม
ความผูกพันด้วยเวลาอันยาวนานระหว่างข้าวกับคนนี่เอง จึงมีตำนาน นิทานมากมายที่สะท้อนวิถีชีวิตระหว่างข้าวกับคน ว่ากันว่าแท้จริงคนรู้จักกินข้าวเพราะ "หมา "นำมาให้กินข้าว
เรื่องนี้เป็นตำนานเล่ากันมาหลายเผ่าชาติพันธุ์ซึ่งน่าสนใจมาก คราวนี้จึงขอระลึกบุญคุณหมาขอเก็บตกเรื่องข้าวมาให้ได้อ่านกันเพลินๆ โดยไม่จงใจจะให้เครียดแต่ประการใด
โดยเฉพาะเรื่องเล่าของชาวจ้วงในมณฑลกวางสี นิทานของไทใต้คง นิทานของลีซอ หรือนิทานของชาวปู้ยี้ อำเภอว่างหมอ อำเภอเจินเฟิง ทั้งหมดที่กล่าวมามีลักษณะร่วมของนิทานคือ หมาเป็นผู้นำเมล็ดข้าวมาเผยแพร่ให้กับคนได้รู้จัก นิทานเรื่อง “ หมาเก้าหาง ” ที่บัดนี้เหลือเพียงหางเดียวจึงเป็นนิทานที่ชาวจ้วงได้ถ่ายทอดสืบต่อกันมา เพื่อตอกย้ำว่ามนุษย์เรากินข้าวหมาจริงๆ เพียงแต่หมานำมาให้เรากิน เราไม่ได้แย่งมันกินก็เท่านั้นเอง ลองอ่านดูยามใดที่เปิบข้าวจึงอดนึกถึงบุญคุณหมาไม่ได้ทุกคราวไป
“ … ครั้งนั้นมีหมา 9 หางตัวหนึ่งขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วเอาหางทั้งเก้าจุ่มลงไปในกองข้าวของสวรรค์ เพื่อขโมยพันธุ์ข้าวมาให้มนุษย์ พันธุ์ข้าวสวรรค์ก็ติดที่หางทั้ง 9 แล้วหนีลงมา แต่เทวดาเห็นก่อน จึงไล่ตาม แล้วใช้เทพอาวุธฟาดฟันหมาที่ขโมยพันธุ์ข้าว เทพอาวุธฟาดถูกหางขาดไป 8 หาง หมาจึงเหลือหางเดียว พร้อมพันธุ์ข้าวที่ติดหางหมามาให้มนุษย์ …” 1
1. สุจิตต์ วงษ์เทศ . “ คำให้การของบรรณาธิการ ” ศิลปวัฒนธรรม . ปีที่ ๑๘ ฉบับที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๙ .
http://www.suandusitcuisine.com/articles/perprice.php
จ้วงบูชา กบตามพิธีกรรมดึกดำบรรพ์ ๓,๐๐๐ ปีมาแล้ว นักวิชาการมหาวิทยาลัยในกวางสีพาไปดูภาพเขียนสีที่ ผาลาย ขนาดมหึมา มีรูปคนนับพันๆ บนหน้าผา แล้วมีรูป หมา ขนาดใหญ่โตเป็นศูนย์กลางของภาพแวดล้อมด้วยรูปคนทำท่าเป็น กบ เหล่านั้น
จ้วง เป็นชื่อเรียกกลุ่มชนพูดภาษาตระกูลไทย-ลาว ที่มีหลักแหล่งอยู่มณฑลกวางสีอย่างรวมๆ ปัจจุบันมีจำนวนราว ๑๓ ล้านคน นักวิชาการกวางสีอธิบายว่าเป็นรูปพิธีกรรม บูชายัญหมา เพราะหมาเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มีบุญคุณต่อมนุษย์
มีหลายชนชาติในสมัยโบราณที่บูชาหมา สมัยราชวงศ์ซางในภาคกลางของจีนมีประเพณีฝังศพหมาพร้อมคนตาย ที่กระดองเต่าเคยพบตัวอักษรมีความหมายว่ามีการเซ่นสังเวยหมา แม้พวกเยะสมัยโบราณก็เคารพยกย่องหมา
นอกจากนั้น หนังสือโบราณของชาวอู๋อยู่สมัยสามก๊กยังบันทึกว่า "ถ้าจะให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข เมื่อบิดามารดาเสียชีวิต ก็ต้องฆ่าหมาเซ่นสังเวย" นักวิชาการกวางสียกหลักฐานมาบอกอีกว่า ที่อำเภอฉงจั่วมีภาพเขียนอย่างผาลายนี้ด้วย มีรูปชุดหนึ่งเข้าใจว่าจะเป็นผัวเมียคู่หนึ่งเอาหมาไปเซ่นสังเวย เพราะฉะนั้น รูปหมาที่ผาลายริมแม่น้ำจั่วเจียงนี้ต้องเป็นหมาที่ถูกนำมาเซ่นสังเวยเทพ หรือบรรพบุรุษ
รูปเขียนสีในถ้ำที่เขาปลาร้า จังหวัดอุทัยธานี ก็มีรูปหมาทั้งหมาตัวเดียวและหมาสองตัวอยู่กับคนตัวใหญ่ที่กางแขนขา ท่าทางเหมือนกบ ไม่มีใครรู้ว่าคนสมัยก่อนเขียนรูปหมาไว้ทำไม ? แต่เชื่อว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญ เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งที่มีความหมายยิ่งใหญ่ต่อมนุษย์กลุ่มนั้น จึงเขียนรูปหมาไว้อย่างยกย่อง
แต่ชาวจ้วงในกวางสีมีคำบอกเล่าเรื่องหมาว่าอย่างนี้ หมา ๙ หาง กับพันธุ์ข้าวปลูก แต่ก่อนคนเรายังโง่ ยังไม่มีข้าวกิน เพราะไม่รู้จักและไม่มีเมล็ดพันธุ์ข้าวปลูก ครั้งนั้นมีหมา ๙ หางตัวหนึ่งขึ้นไปบนสวรรค์ แล้วเอาหางทั้ง ๙ จุ่มลงไปในกองข้าวของสวรรค์เพื่อขโมยพันธุ์ข้าวมาให้มนุษย์ พันธุ์ข้าวสวรรค์ก็ติดที่หางทั้ง ๙ แล้วหนีมา แต่เทวดาเห็นก่อน จึงไล่ตาม แล้วใช้เทพอาวุธฟาดฟันหมาที่ขโมยพันธุ์ข้าว เทพอาวุธฟาดถูกหางขาดไป ๘ หาง หมาจึงเหลือหางเดียว พร้อมพันธุ์ข้าวที่ติดหางมาให้มนุษย์
นับตั้งแต่นั้นมามนุษย์ก็รู้จักปลูกข้าวกิน แล้วยกย่องหมาเป็นผู้วิเศษที่ทำคุณแก่มนุษย์ ทุกวันนี้ชาวจ้วงบางกลุ่มยังตั้งรูป หมาหิน ไว้ตรงทางเข้าหมู่บ้าน เมื่อถึงวันตรุษ-วันสารทก็พากันมาตั้งเครื่องเซ่นสรวงสังเวย หมาหิน เพื่อขอให้เป็นผู้คุ้มครองชุมชน และขอให้พ้นจากสิ่งชั่วร้าย
กลุ่มชนบางพวกบนที่สูงยกย่องหมาเป็นสัตว์บูชายัญ ใช้หมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยผีบรรพบุรุษและผีบ้านผีเรือน แล้วตัวเองก็กินหมาเป็นอาหารด้วย ปัจจุบันชาวจ้วงส่วนมากกินหมา เป็นอาหาร ถือเป็นของดีวิเศษสุดทีเดียว เมื่อมีแขกไปใครมาเยี่ยมเยือนก็ต้องปรุงหมาขึ้นโต๊ะไว้ต้อนรับขับสู้ ไม่ใช่แต่ หมา เท่านั้น คนบางกลุ่มเชื่อว่า คางคก ต่างหากเอาพันธุ์ข้าวปลูกจากฟากฟ้าลงมาให้มนุษย์ปลูกกิน มีคำบอกเล่าของตระกูลไทย-ลาว ละแวกสองฝั่งโขงเรื่อง พญาคันคาก(คางคก)
http://www.matichonbook.com/newsdetail.php?gd=44750
มีปรากฏใน หนังสือใบลาน แต่เรื่องไม่เหมือนกันกับ#13
แต่สื่อให้เห็นว่า หมาเก้าหางเป็นมิตร แต่บรรพกาล ถึงราชวงศ์เซี่ย แสดงว่าไม่รังเกียจวัฒนธรรมต่างเผ่า
ไม่ใช่มารร้าย ตามคติจีนยุคเฟิงเสิน(ห้องสิน) ราชวงศ์โจว เป็นต้นมาจดถึงปัจจุบัน
สุพรหมโมกขาหมา ๙ หาง อักษรธรรม ๙ ผูก วัดโขงเจียมปุราณวาส ต.นาแวง อ.เขมราฐ จ. อุบลราชธานี
พระโพธิสัตว์เสวยชาติเป็นคนยากจน พ่อแม่เป็นคนขอทานต้องกำพร้าแม่ตั้งแต่เล็กๆ พ่อได้เลี้ยงดูสุพรหมโมกขาพร้อมด้วยสุนัขที่มีหางเก้าหางซึ่งเกิดพร้อมกัน (สหชาติ)
ก่อนตายพ่อของสุพรหมโมกขาได้สั่งว่า ถ้าพ่อตายลงให้เอาซากศพของพ่อไปไว้ที่ปลายนา เมื่อพ่อตายลงสุพรหมโมกขาก็ปฏิบัติตามคำสั่งของพ่อเป็นอย่างดี ด้วยอานุภาพของความดีพืชผลในไร่นาจึงงอกงามอย่างผิดปกติ
และพระอินทร์ได้ส่งนางไข่ฟ้าให้ลงมาอยู่ในกะโหลกศพ และคอยดูแลบ้านเรือน ข้าวปลาอาหารเวลาสุพรหมโมกขาไม่อยู่ อยู่ต่อมาสุพรหมโมกขาจึงจับตัวไว้ได้จึงอยู่กินแบบสามีภรรยา
กิตติศัพท์ความงามของนางไข่ฟ้าเลื่องลือไปถึงเจ้าเมืองตุตระนครเจ้าเมืองมีใจพาลและมักมากในกามตัณหาจึงใคร่จะได้นางไข่ฟ้ามาเป็นภรรยา ดังนั้นจึงท้าพนันกับสุพรหมโมกขาในการต่างๆ มี ชนไก่ ชนวัว ชนช้าง เป็นต้น แต่ก็แพ้สุพรหมโมกขาทุกครั้ง
จึงบังคับให้สุพรหมโมกขา ไปเอาดอกบัวที่เมืองบาดาลของพญานาค สุพรหมโมกขาจึงไปตามคำแนะนำของนางไข่ฟ้าผ่านเมือง พญามดง่าม พญายักษ์แล้วจึงถึงเมืองบาดาลได้ดอกบัวมาพร้อมทั้งลูกสาวของพญาทั้งสามเมืองนั้นด้วย
เมื่อเอาไปถวายเจ้าเมืองแล้ว เจ้าเมืองยังอยากได้นางไข่ฟ้าอยู่ จึงหาวิธีใหม่ คือให้คนทำกลองขึ้นแล้วเอาเสนาอำมาตย์ ผู้ฉลาดเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว เอาไปฝากไว้ที่บ้านของสุพรหมโมกขา เพื่อจะสืบดูว่าอะไรเป็นของต้องห้าม (ขะลำ)ของสุพรหมโมกขาเมื่อรู้แล้วจึงเอากลองกลับมา แล้วทำอาหารสี่อย่าง คือ ไข่ ไข่มดง่าม เนื้องู และเนื้อหัวใจยักษ์ แล้วบังคับให้สุพรหมโมกขากิน
เมื่อสุพรหมโมกขากินแล้วภรรยาทั้งสี่คนเกิดโรคพยาธิเพราะเป็นของต้องห้าม (ขะลำ) จึงพากันหนีกลับเมืองของตน นางไข่ฟ้าก็ออกเดินป่าไปโดยสั่งความไว้กับสุนัขเก้าหางนั้นพร้อมแหวนวงหนึ่ง พอสุพรหมโมกขากลับมาถึงบ้านทราบเรื่องราวทั้งหมดจึงออกติดตามหานางไข่ฟ้า โดยมีสุนัขเก้าหางเป็นเพื่อนไป
ถึงแม่น้ำใหญ่แห่งหนึ่ง พากันว่ายน้ำข้ามโดยสุนัขให้สุพรหมโมกขา จับหางจนกระทั้งหางทั้งเก้านั้นขาดหมด พอถึงฝั่งแม่น้ำสุนัขก็ตายพอดี สุพรหมโมกขาเดินทางต่อไปจนพบนางไข่ฟ้าที่เมืองอุททุมมัททุวะดี อยู่ที่นั้นนานพอควร แล้วกลับมายังเมืองตุตระนครพร้อมด้วยเสนาอำมาตย์ที่เจ้าเมืองอุททุมมัททุวะดีแต่งให้
แต่พอไปถึงเจ้าเมืองตุตระนครทราบเรื่องจึงยกทัพจะมาปราบเกิดรบกัน เจ้าเมืองตุตระนครตายชาวเมืองจึงยกสุพรหมโมกขาให้เป็นเจ้าเมือง ต่อมาพร้อมกับอำมาตย์สี่คนปลอมเป็นพ่อค้าออกเที่ยวสั่งสอนไปตามเมืองต่างๆ มีเมือง เกตุมะวดี หงสาวดี ทันตะนคร คันทิยารัฐ วิเทหราช เป็นต้น เพื่อให้เจ้าเมืองและประชาชนชาวเมืองตั้งอยู่ในหลักศีลธรรมอันดีงาม แล้วสุพรหมโมกขาก็กลับมาปกครองเมืองตุตระนครต่อมาจนสิ้นอายุลง
http://www.esansawang.in.th/esanweb/es7_brief/suprommokka.htm http://www.lib.ubu.ac.th/bailan/abstract.html
จากคุณ |
:
ต็กโกวคิ้วป้าย
|
เขียนเมื่อ |
:
20 มิ.ย. 54 09:34:10
|
|
|
|
|