ความคิดเห็นที่ 1 เอาหลักการมาจับนะครับ ผู้ประกอบวิชาชีพใดๆก็คือผู้ที่ประกอบการแลกกับค่าตอบแทนจากผู้มาว่าจ้าง เมื่อรับเงินเขามาแล้วก็ต้องรับผิดชอบต่อผลงานของตัวทุกประการไม่ว่าบวกหรือลบ ก็เหมือนกับการรับจ้างทำของอย่างอื่นๆ มันชำรุดเสียหายในระยะรับประกันก็ต้องแก้ให้เขาหรือชดใช้ค่าเสียหายให้เขา การแปลถ้าหากแปลแล้วมีคนสงสัยว่าผิดพลาดจนทำให้เขาเสียประโยชน์ เขาก็มีสิทธิ์ร้องเรียนต่อศาลได้เพื่อขอความยุติธรรม และนักแปลก็มีหน้าที่ต้องพิสูจน์ความถูกต้องของตัว ถ้าเราถูกต้องจริงก็ไม่ต้องกลัว ถ้าเราผิดพลาดก็คงต้องรับผิดชอบทางแพ่งไป ว่าแต่ที่ประทับตราเซ็นรับรองว่าถูกต้องน่ะใครเซ็น? คุณหรือคนว่าจ้าง? ถ้าคุณเซ็นคุณก็รับผิดชอบ ถ้าเขาเซ็นเขาก็รับผิดชอบ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด เขียนเมื่อ : 21 มิ.ย. 54 23:30:09

ความคิดเห็นที่ 2 หนูเซ็นค่ะ  แต่ว่าเราก็ให้เขาตรวจทานก่อนแล้วนะ เขาว่าตกลงเราก็ประทับตราเซ็นรับรอง เขาก็บอกวา่เขาตรวจทานแล้วหลัก ๆ ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ เขาก็บอกว่าเนื้อหาก็โอเค ค่ะ แต่การแปลก็ไม่ใช่หนูคนเดียวที่แปล แต่แบ่งให้ทีมงานคนอื่น ๆ แปลด้วยค่ะ เพราะเนื้อหาในสัญญาประมาณเกือบ 80 หน้าค่ะ แต่บริษัทที่ถูกฟ้อง (จำเลย) เขาไม่ยอมรับเนื้อหาการแปลเอกสาร เจ้าหน้าที่เขาบอกว่าฝ่ายจำเลยอ้างเพื่อประวิงเวลาเท่านั้นเอง ก็เลยจะให้หนูไปเซ็นรับรองที่ศาลค่ะ อีกที (แต่ความจริงในสัญญาทุกหน้าก็มีประทับตราเซ็นรับรองของหนูทุกหน้าอยู่แล้วนี่ค่ะ) เลยสังสัยว่าทำไมต้องไปเซ็นรับรองอีกที...ไม่เข้าใจนะค่ะ แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 54 13:17:29 จากคุณ : Furtively เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 13:14:39

ความคิดเห็นที่ 3 เราว่าทนายโจทก์มั่วมากกว่าเพราะหลักฐานที่จะใช้พิสูจน์ได้ว่าแปลถูกหรือแปลผิดมันไม่ใช่อยู่ที่ลายเซ็นผู้แปล เพราะขนาดผู้เชี่ยวชาญการแปลขึ้นทะเบียนที่กระทรวงยุติธรรมเราก็เคยจับผิดเขาได้ว่าแปลผิดมาแล้ว คดีแบบที่คุณเจอมันจะต้องมาเถียงกันในศาลว่าใครถูกใครผิดเพราะอะไร เหมือนๆกับกระทู้ใน pantip ที่เคยถกกันเรื่องการแปลนั่นแหละ ตอนถกกันผู้แปลก็แค่บอกจำเลยว่าไหนเอามาให้ดูดิว่าแปลผิดตรงไหน ถ้าผิดจริงๆ (แล้วต้องจำได้ด้วยว่าเราแปลเองจริงๆ ไม่ใช่เอาเอกสารอะไรมามั่ว) เราก็รับซะว่าแปลผิดเพราะเผลอเรอหรือโจทก์เร่งให้แปลเร็วมากๆหรืออะไรก็ว่าไป หรืออาจโมเมบอกว่า "จำไม่ได้ว่าแปลเองหรือเปล่า แต่ที่เห็นๆมันแปลผิดจริงๆ" ก็ว่าไป ถ้ามันเป็นแค่ใบถ่ายเอกสาร(ซึ่งตัดต่อได้) ไม่ใช่ใบของจริงที่มีลายเซ็นเราสดๆ แล้วถ้าจำนนต่อหลักฐานว่าแปลผิดจริงก็แก้ไขให้เขาไปซะ แต่ถ้ามั่นใจว่าแปลถูกเราก็ต้องชักเหตุผลมาโต้แย้งว่าจำเลยตีความผิดแล้วเข้าใจผิดเองเพราะอะไร ถ้าเถียงกันแล้วศาลไม่รู้จะเชื่อใครศาลก็ต้องหาผู้เชี่ยวชาญจากที่อื่นมาวินิจฉัยนั่นหละ แต่ถ้านักแปลไม่เชื่อคำวินิจฉัยของผู้เชี่ยวชาญนักแปลก็ต้องหาหลักฐานอื่นมาคัดค้าน เช่นไปตั้งกระทู้ขอให้คนหลายๆสิบคนช่วยๆกันตีความดูซิว่าเหมือนคำวินิจฉัยของผู้เชี่ยวชาญหรือไม่ แล้วก็เอาไปแสดงในศาลโดยอ้างว่าคนอีกหลายๆสิบคนก็ผู้เชียวชาญเหมือนกัน...บล๊าบๆๆๆ... แต่...เอ่อ...เท่าที่เราจำได้จากการที่คุณถามและตอบกระทู้นะ เราเกรงว่า "เราสังหรณ์ใจว่าคุณคงแปลสัญญายาวๆแบบนี้ผิดจริงๆด้วย" เพราะขนาดแปลบัตรประชาชนง่ายๆคุณยังแปลเองไม่ได้ ยังต้องวิ่งหาแบบฟอร์มเลย ตามกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/02/K10230274/K10230274.html และจากที่คุณแสดงความเห็น (ผิดๆในกระทู้หนึ่ง) ว่า "การแปล ที่ทราบนะค่ะ ได้ยินว่าต้องพยายามรักษาตัวอักษรไว้ให้มากที่สุดนะค่ะ ไม่แน่ใจ รอท่านผู้รู้จริงนะค่ะ" ^ ซึ่งอยู่ใน คคห1 ในกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/03/K10373460/K10373460.html ^ เพราะอะไร? ตอบ เพราะจากประสบการณ์หลายปีในการแปลเอกสารกฎหมาย เราค้นพบอย่างสะบักสะบอมว่า sentence structure ในภาษาอังกฤษกับภาษาไทยกลับหัวกลับหางกันอย่างร้ายกาจมากที่สุด มากกว่าการแปลในสาขาอื่นใดทั้งหมด ถ้าใครแปลเอกสารกฎหมายโดย "พยายามรักษาตัวอักษรไว้ให้มากที่สุด" โอกาสที่จะแปลผิดได้จังๆหรือแปลไปแล้วอ่านไม่รู้เรื่องนั้น มีตั้งมากมายหลายล้านเปอร์เซ็นต์ คำแนะนำในตอนนี้ ก็คือ ถ้าไม่มีหมายศาลมาเรียกก็หาทางเลี่ยงซะ แล้วถ้าทนายโทรมาอีกก็ไม่รับ แต่ถ้ามีหมายศาลมาเรียกเรียบร้องแล้วก็ต้องไปดูให้หายสงสัยว่าเราแปลถูกหรือแปลผิดกันแน่ ถ้าไม่มั่นใจว่าตัวเองจะตีความเอกสารกฎหมายได้ (เพราะตอนแปลคุณดำน้ำไป) คุณก็ควรหาผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงไปเองด้วยเพื่อไปช่วยตีความให้มันรู้ดำรู้แดงไปซะเลยว่ามันแปลถูกหรือแปลผิดกันแน่ ไม่ใช่อยู่ดีๆคุณไปเซ็นชื่อรับรองว่าแปลถูกเฉยๆเพราะถ้าผู้เสียผลประโยชน์ดิ้นหัวชนฝาละก้อคดีมันจะยืดเยื้อแบบ drama ยาวสุดๆ และคุณจะต้องไปศาลบ่อยเกินควร ซึ่งถือว่า "ไม่คุ้มเลย" เพราะแทบไม่ได้อะไรตอบแทนกับการเสียเวลา มันไม่เหมือนไปเป็นพยายานในศาลในประเทศที่เจริญแล้ว เช่นครั้งหนึ่งเราโดนเรียกตัวให้ไปเป็นพยานในศาลในคดีปล้นใน London เพื่อชี้ตัวว่าจำเลยเป็นคนๆเดียวกับคนที่เราเห็นอยู่ในเหตุการณ์ปล้นจริงหรือไม่ ในวันนั้นเราได้ค่าตอบแทนครบหมด ตั้งแต่ 1. ส่วนของเงินเดือนเราที่ต้องสูญเสียไป โดยคำนวณออกมาเป็นรายวัน 2. ค่าทำงาน overtime ซึ่งเราสูญเสียโอกาสไป 3. ค่ารถไปกลับ 4. ค่าอาหารกลางวัน ^ โหถ้าจ่ายเงินให้เราดีๆแบบนี้นะ เกิดคดียืดเยื้อเราจะดีใจสุดๆหัวเราะก๊ากๆๆๆๆๆร้องเย้ๆๆๆๆดังๆทุกครั้งที่ไปศาลอังกฤษเลยเพราะได้หยุดงานแล้วได้เงินง่ายๆ ไปแค่ครึ่งวันอีกครึ่งวันไปนั่งซดเบียร์อยู่ที่ไหนสบายใจเฉิบ...555+++... แต่เราไม่คิดว่าศาลในเมืองไทยจะจ่ายคุณครบหมดแบบนี้นะ ถ้าคดียืดเยื้อคุณจะเสียรายได้จนหัวโตเลยหละ! เพราะฉนั้นรีบๆทำอะไรซะให้ตัวเองหลุดพ้นจากภาระหน้าที่ที่จะต้องไปขึ้นศาลบ่อยๆซะ... แก้ไขเมื่อ 22 มิ.ย. 54 17:28:17 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 17:23:12

ความคิดเห็นที่ 4 ขอบคุณค่ะ คุณหมอดู แล้วอย่างนี้ แต่ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายโจทย์เขาบอกว่าแค่เซ็นรับรองว่าแปลถูกต้อง แล้วอย่างนี้ ถ้าคดีเยิ่นเย้อ แล้วถ้าฝ่ายโจทย์แพ้คดีขึ้นมา จะมีผลอะไรต่อผู้แปลหรือไม่ค่ะ เขาจะมาฟ้องเรากลับเรื่องนี้หรือเปล่า ค่ะ หรือเราจะต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบคดีความหรือไม่ค่ะ พอดีว่าไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ขอความเห็นค่ะ จากคุณ : Furtively เขียนเมื่อ : 22 มิ.ย. 54 22:30:06

ความคิดเห็นที่ 5 ตอนแปลคุณก็เซ็นรับรองไปทีหนึ่งแล้วเพราะเพิ่งตรวจทานคำแปลไปสดๆร้อนๆมันก็จบสิ้นกันแล้ว แต่พอจะขึ้นศาลอยู่ดีๆจะมาให้คุณเซ็นรับรองว่าถูกต้องอีกรอบหนึ่ง มันไม่เข้าท่า เพราะตามที่บอกไปแล้วว่าถ้าผู้สูญเสียผลประโยขน์ (คือจำเลย) เขาไม่ยอม มันไม่จบอยู่แค่ลายเซ็นคุณหรอก เพราะในศาลมันต้องมีการโต้แย้งกันอย่างดุเดือดว่าใครผิดใครถูก โดยต่างฝ่ายต่างก็ต้องงัดเอาเหตุผลของตนเองมาชี้แจงต่อศาล เราว่าตอนนี้นะ คุณควรเดินแต้มนี้ 1. ต่อรองกับทนายว่าเขาต้องจ้างคุณไปศาลเป็นรายวันทุกครั้งเพราะคุณเสียค่ารถค่าราและขาดรายได้ ถ้าเขาไม่ยอมจ่ายเงินคุณก็ต้องหาทางปิดกั้นเส้นทางการสื่อสารกับเขา แต่ถ้าโดนหมายศาลบังคับคุณอาจไม่ได้เงินเลยก็ได้ แต่พอไปศาลคุณก็ลองไปขอความเห็นใจต่อศาลดูเรื่องค่ารถค่ารากับจำนวนเงินรายได้ที่คุณต้องสูญเสียไปเพราะมาศาลจนทำงานไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะได้เงินบ้างหรือเปล่า? ต้องลองขอดู แต่ถ้าหมายศาลมาถึงตัวจนหลีกเลี่ยงไม่ได้เอาซะแล้ว ก็ทำตามขั้น 2 คือ 2. บอกทนายว่าถ้ามีหมายศาลมาคุณก็ไปเป็นพยานให้การว่า คุณเป็นคนแปลหรือไม่เป็นคนแปลเอกสารชุดที่มีปัญหา แต่ต้องขอดูเอกสารกันในศาลก่อน แล้วจะชี้แจงให้ว่าแปลถูกหรือผิดตรงไหนอย่างไร แต่อยู่ดีๆไปเซ็นรับรองอีกรอบเฉยๆ มันไม่เข้าท่า เพราะลายเซ็นไม่ได้เป็นข้อพิสูจน์ว่าแปลถูกหรือแปลผิด แล้วคุณก็ไม่รู้ด้วยว่าจำเลยจะงัดเอาเอกสารชุดเดียวกันกับที่โจทก์ให้คุณเซ็นมาแย้งกันในศาลหรือเปล่า?   3. ก่อนไปศาลควรงัดเอกสารที่คุณแปลไปชุดนั้น (ที่คิดว่ามีปัญหา) เอามาอ่านทวนตรวจทานคำแปลดูอีกหลายๆรอบ โดยให้คนที่เป็นมือเซียนการแปลภาษากฎหมายช่วยตรวจทานคำแปลดูให้โดยละเอียด ก่อนไปศาลคุณจะได้มั่นใจว่าแปลถูกตรงไหน และแปลผิดตรงไหน จะได้ว่ากันไปตามนั้นโดยรวดเร็วไม่ยืดเยื้อ ไม่เสียเวลาทำมาหากินของคุณ เพราะคุณค้นข้อมูลมาพร้อมแล้วว่า 1. แปลถูกตรงไหนเพราะอะไร และมีเหตุผลพร้อม 2. แปลผิดตรงไหนเพราะอะไร และพร้อมที่จะแก้ไขให้ในศาลโดยทันที โดยยอมรับว่าเผลอเรอไป หรือหาเหตุผลอื่นๆมาอ้าง แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 54 12:44:20 แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 54 12:25:05 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 12:22:17

ความคิดเห็นที่ 6 ^ แต่อะโหเพิ่งนึกขึ้นมาได้ เหลือบมาดูเห็นคุณบอกว่าเอกสารมีตั้งเกือบ 80 หน้า นั่นก็หมายความว่าค่าจ้างตรวจโดยมืออาชีพด้านการแปลกฎหมายสงสัยจะเป็นเงินมหาศาล เผลอๆถ้ามันแพงนักกลายเป็นเข้าเนื้อคุณ อยู่ดีๆต้องมาเสียเงิน แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจว่าคุณแปลถูกจริงๆ เผลอๆเรื่องที่เราแนะนำไปใน คคห 3 กับ คคห 5 อาจไม่ได้ผลแฮะ ตอนนี้เราชักไม่แน่ใจว่าคุณควร "ทำโมเม โมเม ไปเซ็นชื่อรับรองว่าแปลถูก แล้วรีบๆเผ่นออกมาจากศาล ตามที่ทนายโจทก์ต้องการ มันจะดีกว่าหรือเปล่า?" ^ อันนี้มันกลายเป็นช่วยคุณตัดสินใจไม่ได้จริงๆ เพราะเราก็ไม่รู้ว่าคุณแปลไปถูกผิดมากน้อยแค่ไหน เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ว่า "การแปลเอกสารกฎหมายเป็นเรื่องที่อันตรายมากๆ ถ้าผู้แปลไม่มั่นใจจริงๆว่าตนเองอินทรีย์แก่กล้ามากพอที่จะไปยืนเถียงกับนักกฎหมายที่เก่งภาษาอังกฤษในศาลเรื่องความถูกต้องในการแปลภาษากฎหมายได้ละก้อ อย่าเสี่ยงไปรับแปลมันส่งเดช เพราะถ้าเอกสารชุดนั้นถูกนำไปใช้เป็นหลักฐานในคดีความใดๆ นักแปลจะเจ็บหัวทีหลัง...ซึ่งมันไม่คุ้มกับค่าแปลที่ได้มาในตอนแรก" ตอนเราไปเป็นล่ามในศาลเราเคยเจอทนายฝ่ายตรงข้ามที่เก่งภาษาอังกฤษสุดๆตั้งใจแกล้งซักค้านพยานด้วยภาษาไทยที่เขารู้ว่าแปลยากมากๆ กะจะให้เราแปลผิดเข้ารกเข้าพงไปเลย กว่าเราจะเอาตัวรอดมาได้ก็เล่นเอาเราเครียดไปทั้งวัน ทั้งเครียด ทั้งโมโหสุดๆเลยวันนั้นที่เจอของแข็งเข้าให้... แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 54 13:01:47 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 มิ.ย. 54 12:54:25

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณค่ะ คุณหมอดู ค่าจ้างที่ได้ตอนแรกได้นิดหน่อย ถามว่าคุ้มไหม ไม่คุ้มหรอกค่ะ แต่ไม่คิดว่าจะมีเรื่องตามมาปวดหัวภายหลัง อย่างที่บอกมีเพื่อนคนอื่น ๆ ช่วยแปลด้วย ดังนั้งจึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจทั้งหมด และอธิบายเขาได้ทั้งหมด ตอนนี้พยายามหาข้อมูลเดิมมาดูก่อนถึงวันหมายศาลเรียกตัวค่ะ กลางเดือนหน้า เลยพยายามหาข้อมูล และขอความเห็นจากผู้มีประสบการณ์ก่อนค่ะ แต่ความเป็นจริงแล้ว ตอนที่แปลแก้ไขกันหลายครั้งค่ะ เจ้าของเอกสารที่เขาทราบเรื่องศัพท์เฉพาะเขาก็ช่วยแก้ให้ด้วย เพราะให้เขาตรวจสอบความถูกต้องก่อน และเขาก็เก่งภาษาอังกฤษเพาะเขาก็เดินทางไปต่างประเทศบ่อย แต่เขาไม่มีเวลาแปลเองนะ บริษัทที่ว่านี้ก็เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในเมืองไทยนะค่ะ (แต่ขอไม่เอ่ยชื่อค่ะ) แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 54 23:27:14 จากคุณ : Furtively เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 54 00:03:14