ความคิดเห็นที่ 1 จักรพรรดิ์   Fu Xi  (伏羲) ซึ่งมีอายุยืนถึง 197 ปี ตามตำนานกล่าวว่าท่านเห็นสัตว์ประหลาดคาบ ba gua (八卦) (รู้สึกคนไทยจะเรียกยันต์ 8 ทิศ) ขึ้นมาจากน้ำ พอศึกษาวัตถุนี้ไปพักใหญ่ๆ  ท่านบอกว่า "ต้องใช้เวลาชั่วชีวิตกว่าจะเข้าใจ ba gua (八卦) ได้อย่างถ่องแท้ว่ามันมีความลับ (แห่งสวรรค์) อะไรบ้าง" จากนั้นจักรพรรดิ์ Fu Xi(伏羲) ก็สร้าง สร้างคัมภีร์ Yi Jing (易经) ขึ้นมาจาก ba gua (八卦) ซึ่งต่อมามันแตกแขนงกลายเป็นวิชา Feng Shui ได้ สมัยที่จิ๋นซีฮ่องเต้ (Qin Shi Huangdi (秦始皇帝) ) ฆ่าบัณฑิตและเผาตำราต่างๆทิ้งเพื่อไม่ให้มีใครเรียนรู้จนเก่งพอที่มาโค่นอำนาจตนเองได้ แต่หนังสือเล่มเดียวที่จิ๋นซีไม่กล้าเผาก้อคือ คัมภีร์ Yi Jing (易经) นี่แหละ เพราะต้องเก็บไว้ใช้ "ตัดสินใจ" โดยการ "ใช้สมาธิและพลังลมปราณสื่อสารกับพลังจักรวาล" เพื่อที่จะรู้ได้ว่าควรกำหนดนโยบายการปกครองต่อและดำเนินการอย่างไรต่อไปในอนาคต ^ เราคาดว่าการใช้ คัมภีร์ Yi Jing (易经) ทำนายเหตุการณ์คงอาศัยหลักการคล้ายๆกันกับ The Law of Attraction แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 54 13:15:58 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 54 13:14:04

ความคิดเห็นที่ 2 ฝูซี ที่ครึ่งบนเป็นชาย ครึ่งล่างเป็นงูหรือเปล่า ภายหลังมาแต่งงานกับหนี่วา ร่างกายคล้ายกัน ตามที่บันทึกใน สื่อจี้ หรือเปล่า ว่ากันว่า เกิดขึ้นมาจากงูดินและพญามังกร จึงมีร่างเช่นนั้น จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 54 14:24:12

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นตำราเกี่ยวกับสัญลักษณ์ การทำนาย และพวกศาสตร์ลึกลับหน่ะครับ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 24 มิ.ย. 54 14:31:14

ความคิดเห็นที่ 4 เป็นวิชาที่ว่า ด้วยการเปลี่ยนแปลงครับ ต้องแยกให้ออก เวลาผ่านไไปก็ไปรวมกับลัทธิเต๋า เป็นวิชาเหมาซันไว้ปราบผีบ้าง ไปรวมกับตันตระเป้นวิชาร่วมเพศบาง มีหลายรูปแบบตามการเวลาครับ แผ่นภาพปากั่วนั้นซับซ้อนและลึกซึ้งมากครับ จากคุณ : ไปแอ่วมา (SuiE) เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 54 00:09:45

ความคิดเห็นที่ 5 เมื่อครั้งบรรพกาล กษัตริย์อวี่ ประสบปัญหาอุทกภัย มีมังกรแบกภาพใบหนึ่งโผล่มาจากแม่น้ำฮวงโห ตะพาบวิเศษก็คาบหนังสือลั่วซูขึ้นจากลำน้ำลั่วสุ่ย   อวี่อาศัยภาพและตำรา แก้ปัญหาอุทกภัยทั้งเก้าแคว้นสำเร็จ แล้วเขียนตำราเหลียงซานขึ้นเป็นความหมายว่าเชื่อมต่อแม่น้ำภูเขา     ซางทังล้มล้างราชวงศ์เซี่ยของเซี่ยฉีโอรสของกษัตริย์อวี่ ก่อตั้งราชวงศ์ซางขึ้น ตำราเหลียงซานตกอยู่ในมือมหาเสนาบดีนอีอิน ทำการปรับปรุ่งกลายเป็นตำรากุยฉัง หมายความว่ารวมสรรพสิ่งของฟ้าดิน ใช้เป็นเครื่องมือทำนายโชคเคราะห์ต่อๆกันมา     ปลายราชวงศ์ซาง จีซางถูกติ้วอ๋องจับกุมขังไว้  ระหว่างที่ถูกขังทำการศึกษาตำรากุยฉัง แต่งตำราอี้จิง ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลง ครอบคลุมถึงความเปลี่ยนแปลงทั้งมวล จากคุณ : ยาจกเงา (ryombr) เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 54 18:26:33

ความคิดเห็นที่ 6 4#ปากั่ว ba gua (八卦) มีความหมายอย่างไรบ้างครับ เห็นมีหลายแบบ จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 25 มิ.ย. 54 20:42:57

ความคิดเห็นที่ 7 ปากว้า ก็คือสัญลักษณ์ที่ใช้แทนปรากฎการณ์หรือสิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ 8 สิ่ง เวลามีการคำนวณหรือวิเคราะห์เหตุการณ์ก็จะนำมาจับคู่กัน 8x8 = 64 รูปแบบ ทุกสัญลักษณ์ก็จะเป็นตัวแทนทางธรรมชาติ ทิศและธาตุเหมือนอย่างตารางด้านล่าง อี้จิงไม่ได้เป็นแค่ตำราทำนาย แต่ยังสามารถนำศาสตร์นี้ไปใช้ในด้านอื่นๆได้ครับ ตัวอย่าง เครื่องหมาย 离 และ 坎 (เครื่องหมายที่สามและหกในรูป) เป็นสัญลักษณ์ของไฟและน้ำ ทิศประจำของน้ำคือทิศเหนือ ทิศประจำของไฟคือทิศใต้ ตามหลักอี้จิง น้ำสยบไฟ ทางแพทย์แผนจีนก็ใช้หลักการเดียวกันนี้ในการรักษาสุขภาพ เช่น เวลานอนให้ห่มผ้าคลุมถึงเท้า เพื่อรักษาอุณหภูมิในร่างกาย (ไฟ) แต่อย่าคลุมโปง เพราะความร้อนจะขึ้นสู่ที่สูงคือ ระบายออกทางศีรษะ ส่วนศีรษะจึงควรให้โปร่งไว้ (น้ำ) เวลาเราเป็นไข้จะเห็นว่าหน้าผากร้อน เท้าเย็น นั่นเพราะน้ำกับไฟสลับตำแหน่งกัน ไฟไปอยู่บน น้ำไปอยู่ล่าง น้ำสยบไฟไม่ได้ ก็เลยส่งผลออกมาเป็นอาการป่วยให้เราเห็น สรุปสั้นๆง่ายๆแต่อาจเข้าใจยากว่า อี้จิงเป็นศาสตร์ที่ลึกซึ้งมากครับ จากคุณ : อุปรากรจีน เขียนเมื่อ : วันสุนทรภู่ 54 09:33:53

ความคิดเห็นที่ 8 ตอนนี้มีจัดตั่ง Community ศึกษากันเป็นเรื่องราวถูกต้องเป็นภาษาไทยแล้วครับ http://iching69taijiquan.wordpress.com/ ก่อนหน้านี้ผมหาในGoogleไม่เจอ เลยศึกษาเป็นภาษาจีนเอาเองเลยครับ เท่าที่ได้ตามอ่านBlogข้างบนของท่านนี้ สอนมาในแนวทางที่ถูกต้องครับ แต่ผมเน้นศึกษาไปทางปรัชญาและำการนำไปใช้ประโยชน์ในสาขาวิชาอื่น มากกว่า เรื่องทำนายอนาคต ครับ 易經อี้จิง หรือ 周易โจวอี้ ถือว่าเป็นจิตวิญญาณและภูมิปัญญาของชนชาติจีนเลยครับ ที่ชนชาติอื่นสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้เต็มๆครับ เป็นคัมภีร์เล่มแรกๆเลย ที่ทำให้เกิดวิชาอื่นๆตามมามากมาย (และซ้อนอยู่ในทุกหนทุนแห่งในอารยธรรมจีนครับ) - ลัทธิเต๋า ก็รับความคิดเรื่องหยินหยางมาเต็มๆ และเนื้อหาสาระต่างๆมากมายใน โจวอี้ครับ - ลัทธิขงจื้อ ขงจื้อศึกษาคัมภีร์โจวอี้อย่างจริงจังเลยครับ แถมยังช่วยพัฒนาต่อให้ดีมาถึงทุกวันนี้ด้วยครับ - ศาสนาพุทธ ก่อนหน้านี้เข้าไปเผยแพร่ในจีนลำบาก พระท่านเลยพยายามผูกสิ่งที่ โจวอี้กับศาสนาพุทธ สอนสัจธรรมให้เข้าด้วยกันได้ครับ ถึงเข้าไปเผยแำพร่ในจีนได้สะดวกขึ้นครับ - เป็นหนังสือที่ทำให้เกิด วิชาว่าด้วยการไหลเวียนของลมและน้ำด้วยครับ (ฮวงจุ้ย) - โจวอี้ สอนเกี่ยวกับสรรพสิ่งต้องพึ่งพาอาศัยด้วยกันและกัน ก็เลยส่งผลถึงภาพวาด มักมีภาพมนุษย์อยู่คู่กับธรรมชาติและสัตว์ต่างๆ อย่างมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นครับ - โจวอี้ ยังก่อให้เกิด วิชาโป๊ยข่วยไทเก็ก ไทเก็กชี่กง เอาไว้สร้างเสริมสุขภาพด้วยครับ - โจวอี้ ยังก่อให้เกิด 武術 อู่ซู้ วิชาการต่อสู้ของจีนแท้ๆอีกด้วย  - รู้เขารู้เราของซุนอู่ ตำราพิชัยสงคราม ก็ได้รับความคิดมากจากโจอี้ครับ - การบริหารคนการใช้่คน การเมืองการปกครองแบบจีน ก็ได้รับอิทธิพลมาจาก โจวอี้ ทั่งนั้นครับ - ก่อนหน้านี้แพทย์แผนจีน อาศัยแต่ประสบการณ์สั่งสมมาเรื่อยๆลองถูกลองผิด หลังจากได้แนวความคิดเรื่องหยินหยาง จากโจวอี้ ก็เลยทำให้หนังสือแพทย์แผนจีนเล่มแรก<<黃帝內經>>ออกมาเป็นหลักการที่ถูกต้องได้ครับ และแพทย์แผนจีนก็มีทฤษฏีหยินหยางเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญครับ - <<神農本草經>> หนังสือทฤษฏียาจีนเล่มแรกเล่มนี้  ทฤษฏีเกี่ยวกับ 四氣, 五味, 升降浮沉 ก็รับมาจากโจวอี้เต็มๆ - 張仲景 จางจงจิ่ง ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพแห่งแพทย์แผนจีน ยังได้รับอิทธิพลมาจาก โจวอี้ ทำให้สามารถเขียนหนังสือแพทย์แผนจีนที่ทุกคนต้องเรียนคือ <<傷寒雜病論>>  - 張仲景 จางจงจิ่ง ยังได้รับอิทธิพลจาก 六爻 (เส้น6เส้น ที่มี64แบบ) ที่นำเอากว้าที่มี3เส้นมาซ้อนกันเป็น6เส้น  กล้ายมาเป็นวิธีการตรวจโรคในแพทย์แผนจีนที่ชื่อว่า 六經辯證 แบ่งหยิน3แบ่งหยาง3 - เลข3ยังเป็นเลขมหัศจรรย์ในทางการแพทย์อีกเช่นกัน ที่ข้อมือเราเวลาตรวจชีพจร(แมะ) 切脉 ที่ข้อมือเราสามารถตรวจชีพจรได้3จุด ซ้าย3 ขวา3 เท่ากับ6 เหมือนกับ 3เส้นจากปากว้า และเวลาตรวจจะออกแรงกดอยู่3ระดับ เบา กลาง หนัก เพื่่อเช็คว่าชีพจรเต้นอยู่ ลึกๆ กลางๆ หรือ ตื่นๆ  __  __ ขีดเส้นขาด(หยิน)  _____ ขีดเส้น(หยาง) ซึ่งก็ตรงกับ Binary code  (0,1) มี8หลักครับ ที่เป็นภาษาพื้นฐานที่สุด ของคอมพิวเตอร์และระบบดิจิตอลต่างๆ ก็ตรงกับ หยินหยางปากว้าครับ DNAของมนุษย์มี64แบบ ตรงกับ กว้าทั่ง64ครับ ซึ่งเกิดจากจับคู่ของ U,C,A,G ก็ตรงกับ 四像ของอี้จิงเหมือนกันครับ ซี่งทั่งสองอย่างข้างบนจะจับกลุ่มกันแค่ 3อัน เหมือนกันอีก... และอื่นๆอีกมากมาย 9ล9  จากคุณ : (EVIL 4 EVIL) & (LIVE 4 LIVE) เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 18:14:55

ความคิดเห็นที่ 9 ลืมบอกไปว่า อี้จิ้งเป็นหนังสือที่บรรยาย ความหมายแต่ละขึดใน64กว้า เป็น384กว้าครับ บรรยายเป็นแบบนามธรรม เพื่อให้คนแต่ละเพศ แต่ละวัย แต่ละยุคสมัย แต่ละอาชีพ เอาไปคิดแล้วเอาไปใช้ประโยชน์ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 54 19:08:41 แก้ไขเมื่อ 27 มิ.ย. 54 18:16:44 จากคุณ : (EVIL 4 EVIL) & (LIVE 4 LIVE) เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 18:15:57

ความคิดเห็นที่ 10 ตงไห่เฉวียน(董海川) นำเอาหลักอี้จิง มาผสมกับวิชามวยของเขา เกิดเป็นมวยปากว่าจ่าง (八卦掌) ซึ่งภายหลังเขาได้สอนลูกศิษย์คนสำคัญหลาย ๆ คน เป็นที่น่าอัศจรรย์ว่า ลูกศิษย์แต่ละคน ก็นำเอาหลักปากว่าของเขา ไปบัญญัติเป็นมวยปากว่าจ่างสายเฉพาะของตระกูลตนเองขึ้นมาอีกมากมาย จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 21:21:58

ความคิดเห็นที่ 11 สายสำคัญ ๆ ได้แก่ สายตระกูลเฉิง บัญญัติขึ้นโดย เฉิงถิงฮัว (程廷華) วีรบุรุษผู้ต่อต้านผู้รุกรานในคราวทัพ ๘ ชาติโจมตีนครหลวงเป่ยจิง  ท่านเฉิงพลีชีพในสนามรบ แต่ก่อนจะเสียชีวิตก็ได้สังหารศัตรูชาวเยอรมันไปหลายศพเช่นกัน จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 21:24:36

ความคิดเห็นที่ 12 ตัวอย่าง ปากว่าจ่าง สายตระกูลเฉิง จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 21:30:36

ความคิดเห็นที่ 13 สายต่อมาก็คือ ตระกูลอิน โดย ท่านอินฝู่ (尹福) สายนี้ต่อมาได้รับใช้เป็นราชองครักษ์ของจักรพรรดิปูยีด้วยเช่นกัน คือ อ. กงเป่าเถียน และมาดังยิ่งขึ้นเมื่อ อ. กงเป่าเถียน รับ ปรมาจารย์ หลิว เหวียน เฉียว (  劉雲樵 )เป็นลูกศิษย์ ในภาพคือ อ. หลิว เหวียน เฉียว ตอนยังมีชีวิตอยู่ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 21:37:04

ความคิดเห็นที่ 14 สายที่เหลือได้แก่ สายตระกูลซ่ง โดย ซ่งจางหลง (宋長榮), สายตระกูลหลิว โดย หลิวเฟิงจุน (劉鳳春), สายตระกูลหม่า โดย หม่าเว่ยฉี (馬維棋), สายตระกูลหลิว โดย หลิวเปาเจิน (劉寶珍), สายตระกูลเหลียง โดย เหลียงเจิ้นผู (梁振蒲) สายตระกูลหลิว โดย หลิวเต๋อกวาน (劉德寛) จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 27 มิ.ย. 54 21:41:25

ความคิดเห็นที่ 15 ปากั่ว ba gua (八卦)มีสองรูปแบบ 1.ลำดับอนุกรมแบบของ Fu Xi หรือ Earlier Heaven Order 2.ลำดับอนุกรมแบบของ โจวหวินหวาง King Wen of Zhou  周文王; pinyin: Zhōu Wén Wáng หรือ Later Heaven Order หนึ่งในจำนวนหลายๆ เรื่องของ 'อี้จิง' ที่น่ากวนใจสำหรับผมก็คือ 'โป้ยก่วย' หรือที่หลายๆ คนมักจะเรียกกันว่า 'ยันต์แปดเหลี่ยม' นั่นแหละครับ เพราะเรามักจะพบเห็นว่า ลำดับขีด 'หยิน-หยาง' บน 'โป้ยก่วย' นั้น มีลำดับที่แตกต่างกันอยู่สองแบบด้วยกัน แล้วก็ถือกันว่าเป็น 'แบบมาตรฐานทางตำรา' ทั้งสองแบบซะด้วย ??!! แบบดั้งเดิมที่เชื่อกันว่าถูกบัญญัติขึ้นมาโดย ฝูซี(Fu Xi) อันเป็นกษัตริย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์นั้น ถูกขนานนามในเวลาต่อมาว่าเป็น 'อนุกรมแห่งฟ้า' แต่ฝรั่งเรียกว่า Earlier Heaven Order เพื่อให้ไปเทียบเคียงกับแบบที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่โดย 'โจวเหวินหวาง' หรือ King Wen ซึ่งฝรั่งเรียกชื่อเป็น Later Heaven Order … แต่ตามที่มีบันทึกไว้ในเอกสารหลายๆ แห่งปรากฏว่า King Wen ตีความให้อนุกรมของ Fu Xi เป็น 'อนุกรมแห่งสวรรค์' ซึ่งเป็นอนุกรมตามธรรมชาติก่อนที่มนุษย์จะถือกำเนิดขึ้นมา และเรียกอนุกรมแบบของตัวเองในทำนองว่าเป็น 'อนุกรมแห่งมนุษย์' เพื่อจะประสานความสมดุลแห่ง 'ฟ้า-ดิน' อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแนวความคิดที่ต้องการจะดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนกับ 'หยาง' และ 'หยิน' ในธรรมชาติตามหลักคำสอนของปรัชญาเต๋านั่นเอง … แล้วนักวิชาการทั้งหลายในยุคต่อๆ มาก็เลยเอา 'อนุกรมแห่งสวรรค์' ของ Fu Xi ไปจับคู่กับ 'อนุกรมเลขฐานสอง' ที่มีเพียง 0 กับ 1 … โดยกำหนดให้ 'หยิน' ที่เคยใช้ 'เส้นประ' เป็นสัญลักษณ์ ถูกแทนที่ด้วยเลข 0 และกำหนดให้ 'หยาง' ที่เคยใช้ 'เส้นเต็ม' เป็นสัญลักษณ์ ถูกแทนที่ด้วยเลข 1 … ซึ่งมันก็บังเอิญที่ทำได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี !!?? … ดังนั้น เมื่อเรานำเอา 'อนุกรมแห่งสวรรค์' ของ Fu Xi มาเขียนเรียงลำดับทางแนวราบ เราก็จะเห็นเป็น 'อนุกรมเลขฐานสอง' ที่ไม่ผิดเพี้ยนเลย ปัญหาหนึ่งของการแบ่ง 'หยิน' กับ 'หยาง' อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอย่างที่ Fu Xi ทำไว้นั้น กลับกลายเป็นโจทย์ใหม่ขึ้นมาสำหรับ King Wen ไปซะได้ … เนื่องจากไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ที่สามารถดำรงอยู่ได้โดยลำพัง ซึ่งแต่ละองค์ประกอบของธรรมชาติก็ไม่ได้รับการยกเว้นเหมือนกัน … ดังนั้น หากเรานับจำนวนขีดของ 'หยิน' และ 'หยาง' ในแต่ละข้างของ 'อนุกรมแห่งสวรรค์' ที่ Fu Xi ทำเอาไว้แล้ว เราก็จะพบว่ามันไม่สมดุลกันทันที !!!! … และนั่นน่าจะเป็นจุดที่ทำให้ King Wen เชื่อว่า ต้องมีอะไรบางอย่างที่ควรจะได้รับการปรับปรุง … โดย 'มนุษย์' !!! … จนในที่สุดก็ได้กลายมาเป็น 'อนุกรมประหลาด' ที่สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับบรรดานักคณิตศาสตร์ทั่วโลกในศตวรรษถัดๆมา โดยที่ไม่มีใครรู้เลยว่าจริงๆแล้ว King Wen กำลังคิดอะไรของแกอยู่ในเวลานั้น เพราะแกใช้เวลาว่างๆ ที่ถูกขังอยู่ในคุกของราชวงศ์ซางนานถึง 7 ปี นั่งนึกนอนคิดอยู่กับภาพสัญลักษณ์ต่างๆ ที่ว่านั่น แล้วก็เขียนบันทึกออกมาเป็น 'ต้นร่าง' ของ 'คัมภีร์อี้จิง' อันลือลั่นสนั่นโลกฉบับนั้นขึ้นมา … ผมเองก็ไม่รู้ !!! … แต่ผม 'เชื่อ' ว่า King Wen ที่ค่อนข้างจะยึดมั่นในอุดมการณ์ และหลักการดำเนินชีวิตตามแนวทางของลัทธิเต๋านั้น ไม่น่าจะเป็นมนุษย์ประเภทที่ชอบคิดอะไรให้มันยุ่งยาก หรือมีความสลับซับซ้อนเหมือนอย่างมนุษย์ในอีกหลายๆ ศตวรรษต่อมา … เพราะฉะนั้น … แกก็น่าจะคิดอะไรที่มันง่ายๆ แค่นี้ … รึเปล่า … ไม่รู้นะ ??!!??    … 'หยิน' และ 'หยาง' ย่อมจะต้องถ่ายโอนพลังให้แก่กัน เพื่อรักษาสมดุลให้กับทั้งระบบเสมอ … จึงเป็นเหตุผลที่จะต้องเกิดการ 'แลกข้าง' ระหว่างสมาชิกฝั่ง 'หยิน' กับสมาชิกฝั่ง 'หยาง' เพื่อให้ 'พลังหยิน' และ 'พลังหยาง' ของ 'ฟ้า-ดิน' เกิดความสมดุล … โดยการถ่ายโอนพลังดังกล่าว จะต้องก่อให้เกิดเป็น 'กระแสแห่งพลัง' ที่สอดประสานกันอย่างต่อเนื่อง วัฏจักรแห่งสรรพชีวิตจึงจะเกิดการวิวัฒน์อย่างไม่สิ้นสุด … http://zwiki.zybrary.com/ZhuqiChing "แผนภูมิปากั้ว" หรือ "แผนภูมิ 8" ที่ "ฝูซี" (伏羲) เป็นผู้คิดค้นขึ้นเพื่อใช้ในการแสดงปรากฏการณ์ของธรรมชาติและปรากฏการณ์ของมนุษย์ต่าง ๆ มาเป็น "ลิ่วสือซื่อกั้ว" หรือ "แผนภูมิ 64" ตั้งชื่อว่า "กุยฉาง" แบบที่พัฒนาเป็น 384แบบ ให้หลังน่าจะพัฒนามาจากของ โจวหวินหวาง จากคุณ : ต็กโกวคิ้วป้าย เขียนเมื่อ : 28 มิ.ย. 54 10:08:06

ความคิดเห็นที่ 16 http://iching69taijiquan.wordpress.com/ ถ้าข้อมูลภาษาไทยก็บล็อกบนครับ ข้อมูลแน่นสุดๆละ แต่อัพเดทช้าหน่อย ผมก็รออ่านเนื้อหาด้านอื่นๆด้วยเหมือนกัน เห็นเกริ่นไว้พอสมควรแต่ยังไม่ได้เอามาลง วิชาว่าด้วยกว้าทั้งแปดเป็นพื้นฐานของศาสตร์แทบทุกศาสตร์ของจีนครับ ไม่ว่าจะคัมภีร์โจวอี้(อี้จิง) หรือเต๋า ก็ล้วนเกิดขึ้นมาภายหลังครับ ถ้าอยากเข้าใจศาสตร์ต่างๆของจีนก็ต้องเข้าใจหยินหยาง ปากว้าให้แตกก่อน แล้วก็ศึกษาอี้จิงด้วย แต่ทุกวันนี้เรียกรวมๆว่าอี้จิงไปหมด เลยอาจจะทำคนสับสนอ่ะครับ จากคุณ : ตัถย์ (เราเห็นตัถย์) เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 54 15:09:36

ความคิดเห็นที่ 17 อีกประเด็นคือ รูปแบบขีดไม่ได้เกิดสมัยโจวครับ แต่เกิดสมัยฝูซี คือให้กำเนิดรูปแบบขีดและสัญลักษณ์ปากว้ามาก่อน แล้วโจวอี้ซึ่งต่อมาเรียกว่าอี้จิงนั้นค่อยมาเกิดสมัยโจว สมัยที่มีการใช้ตัวอักษรบันทึกเป็นตำราแล้วน่ะครับ แต่ปัจจุบันเราเห็นอะไรที่เป็นขีดหยินหยาง ปากว้า เราก็เรียกรวมๆว่าอี้จิงตามความเคยชินอ่ะครับ แต่จริงๆแล้วคำว่าอี้ในอี้จิงมาจากคัมภีร์โจวอี้ครับ ต่อมาก็เรียกคัมภีร์เก่าอีกสองรวมว่าอี้จิงด้วย ต่อมาก็เรียกมันรวมๆไปหมดว่าอี้จิง ทั้งฮวงจุ้ยเอย ดูดวงเอย ก็เรียกว่าอี้จิงไปหมด ทั้งๆที่ของพวกนี้เกิดขึ้นภายหลังโดยการอ้างอิงหลักของปากว้าและโจวอี้เดิมทั้งสิ้นอ่ะครับ สรุปคือ เป็นแค่วิชาที่แตกแขนงออกมาครับ ส่วนตำราภาษาไทยก็เคยมีแปลบ้างครับ หาดูข้อมูลได้จากบล็อกด้านบนครับ แก้ไขเมื่อ 29 มิ.ย. 54 15:18:36 จากคุณ : ตัถย์ (เราเห็นตัถย์) เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 54 15:17:12

ความคิดเห็นที่ 18 เป็นตำราที่ซับซ้อนอย่างน่าอัศจรรย์จริงๆครับ เหวินอ๋องตอนติดคุกอยู่ที่เฉาเกอคงจะมีเวลาว่างเยอะ เลยศึกษาสัญลักษณ์ของฝูซีได้อย่างแตกฉาน และสร้างตำราอี้จิงขึ้นมาอีกที จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 29 มิ.ย. 54 21:02:38