| 
						
							|  หัวอกลาว กรณีปราสาทพระวิหาร โดย สุจิตต์ วงษ์เทศ   |  |  
พึ่งอ่านเจอสด ๆ เห็นว่าน่าสนใจเลยขอเอามาแปะ อ่านแล้วได้แง่มุมอีกแง่ในการมองปรากฎการณ์เขาพระวิหาร แถมยังรู้สึกว่าเรารู้จักประเทศเพื่อนบ้านเราน้อยเหลือเกิน
 
 
 http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1309511902&grpid&catid=02&subcatid=0207
 
 
 ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทย ฟูมฟายว่าไทย "เสียดินแดน" แต่ไม่เคยบอกว่า "ได้ดินแดน" คนอื่นมาก่อนแล้ว
 
 ปราสาทพระวิหาร ยุครัชกาลที่ 5 ชาวสยามทั่วไปไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นอะไร? อยู่ที่ไหน?
 
 คนชั้นนำยุคนั้นจะรู้จักสักกี่คน? เพราะความวิตกกังวลยุครัชกาลที่ 5 ไม่ใช่เรื่องปราสาทพระวิหาร แต่เป็นเรื่องใหญ่กว่านั้น คืออธิปไตยที่แน่ชัด (หรือที่มหาอำนาจรับรอง) บนดินแดนอีสาน ขณะนั้นอันตราย เปราะบางอย่างยิ่ง
 
 เพราะไม่รู้ว่าฝรั่งเศสที่ยึดครองเวียดนาม, เขมร, ลาว จะบุกเข้ามาถึงอีสานของสยามหรือไม่? เนื่องจาก อีสานเหนือเป็นเขตวัฒนธรรมลาว ส่วน อีสานใต้เป็นเขตวัฒนธรรมเขมร
 
 พูดกันตรงๆ อย่างปากชาวบ้านว่าครั้งนั้น อีสานเหนือเป็นลาว อีสานใต้เป็นเขมร
 
 พ.ศ.2447-2450 รัฐบาลสยามยุครัชกาลที่ 5 ทำสนธิสัญญาเรื่องเขตแดนกับฝรั่งเศส ซึ่งมีพันธะให้ต้องยอมรับแผนที่แนบท้าย 1 : 200,000 ที่มีปราสาทพระวิหารอยู่ในเขตกัมพูชาของฝรั่งเศส
 
 รัฐบาลสยามยกเป็น "ความสำเร็จ" ยิ่งใหญ่ เพราะเท่ากับสยามมีอธิปไตยบนดินแดนอีสานอย่างแน่ชัดที่มีมหาอำนาจรับรอง เป็นอันหมดกังวลไป
 
 ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยสมัยต่อมา เขียนว่าไทยต้องยอม "เสียดินแดน" บางส่วนให้ฝรั่งเศส เพื่อรักษาดินแดนบางส่วนไว้
 
 แต่คนลาวไม่คิดอย่างนั้น จะขอคัดเนื้อหาตอนนี้ในหนังสือ ประวัติศาสตร์ลาว โดย สิลา วีระวงส์ (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์เมื่อ พ.ศ.2539 หน้า 301) มีความว่า
 
 "ในหนังสือสัญญานั้น แม้สยามกับฝรั่งเศสแบ่งปันกันเอาแผ่นดินลาวและคนลาวที่อยู่ในแผ่นดินนั้น หรือเอาดินแดนลาวและคนลาวแลกเปลี่ยนกับดินแดนเขมรและคนเขมร ซึ่งฝรั่งเศสกับสยามทำได้ตามใจในฐานะผู้เป็นนาย
 
 ลาวเราที่อยู่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงก็ได้แต่ลืมตาดูอยู่เฉยๆ ไม่มีสิทธิที่จะพูดจาอะไรได้ เพราะเป็นข้าเขาด้วยประการดังนี้
 
 และตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมา (ค.ศ. 1903) แผ่นดินลาวที่กว้างใหญ่ไพศาล รวมเนื้อที่ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขงมี 343,000 ตารางกิโลเมตร และมีพลเมืองลาวนับเป็นสิบๆ ล้านคน ก็ได้ถูกแบ่งแยกกัน
 
 โดยฝ่ายหนึ่งได้กลับกลายเป็นคนไทย แต่อีกฝ่ายหนึ่งเป็นคนลาว ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อันเดียวกัน มีจารีตประเพณีอันเดียวกัน พูดภาษาเดียวกัน มีอักษรศาสตร์ใช้ประจำชาติมาแต่โบราณเป็นอันเดียวกัน แต่ก็ต้องได้มาแยกกันเป็นคนละชาติ"
 
 คนเขมรจำนวนไม่น้อยน่าจะมีความรู้สึกนึกคิดไม่ต่างจากคนลาว
 
 ครูบาอาจารย์ในสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องประวัติศาสตร์โบราณคดี น่าจะลดละเลิกเสียเวลาให้ท้ายประเพณีรับน้องใหม่
 
 แล้วหันมาร่วมกันศึกษาค้นคว้าวิจัยเรื่องจริงๆ ในอดีต อย่างกรณีนี้ เพื่อผลักดันให้มีความราบรื่นร่มเย็นในประชาคมอาเซียน
 
						 
						
							| จากคุณ | : 
I will see U in the next life.       |  
							| เขียนเมื่อ | : 
1 ก.ค. 54 22:29:57 |  
							|  |  |  
 |