ความคิดเห็นที่ 1 ก็ว่ากันไป... จริงๆ แล้ว 8% ที่ได้กันนั้น ข้าราชการ ก.พ. เขาได้มันก่อนครูตั้งเป็น 2 ปีแล้วมั้งคะ ถ้าจะไม่ปิด ตั้งแต่เปลี่ยนเป็น 4% 6% แต่ของครูยังไม่ได้ เพราัะว่าครูเราพวกเรา ต้องการที่จะมีตารางเงินเดือนเป็นของเรา้เอง โดยที่ไม่ต้องอิงกับส่วนอื่น  ก็เลยทำให้ครูยังไม่ได้ 8% พร้อมกับข้าราชการ ก.พ. ในขณะนั้น 8% มันไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็มาให้ครู แต่มันเพิ่งจะได้ ซึ่งเงินเดือนของครูมันช้ากว่า ก.พ. อยู่เกือบๆ 2 ปี และประจวบเหมาะกับนโยบายของรัฐบาลที่จะให้ขึ้นเงินเดือนข้าราชการทุกประเภท 5% มันเลยเหมือนครูได้ 2 เด้งพร้อมกัน 8% และ 5% แต่ก็ต้องเจ็บปวดซ้ำแล้วซ้ำเล่าของครูที่เพิ่งบรรจุใหม่ และเงินเดือนไม่ถึงขึ้นต่ำของ คศ. ต่างๆ ซึ่งก็หลายหมื่นคน และคนที่ไม่ได้นั้น ก็คือ ครูที่เงินเดือนน้อยๆ เงินเดือนไม่ถึง 1 หมื่นบาท ที่ทำงานมากกว่า ครูที่ได้รับเงินเดือนมากกว่า 4-5 เท่า ...จะว่าไปแล้ว เหมือนครูได้เปรียบ แต่เสียเปรียบค่ะ... ข้อมูลนี้สามารถหาข้อมูลอ้างอิงได้ ไม่ใช่พูดลอยๆ แน่นอน .................................... ตอนนี้ครูโดนกระหน่ำเละ และดิฉันอยู่นิ่งมานาน เพราะบางคนก็แค่พูดเอามันส์ ใส่ความเห็นส่วนตัวลงไป ใครเขาพูดอะไรก็ไม่เปิดใจรับฟัง บางทีก็เบื่อที่จะอธิบาย เพราะไม่อยากถูกมองว่าเกิดการแก้ตัว คนเป็นครู และคนทุกอาชีพ มันก็มีทั้งดีและไม่ดี ถูกมั้ยคะ.. สังคมครู.. เป็นสังคมที่มีความอิจฉาริษยากันมากที่สุด ใครได้ดีเกินหน้าเกินตาไม่ได้ เข้ากับสุภาษิตที่ว่า "ปากกัด ตีนถีบ" กัดเพื่อไม่ให้เขาอยู่เหนือกว่า และถีบเขาลงไปเพื่อไม่ให้ขึ้นมาอยู่เสมอตัวเอง ผลงานทางวิชาการ ทำให้สังคมครู และคนบางกลุ่ม กลายเป็นโสเภณีทางวิชาการ บางคนก็ทนอยู่ได้บ้าง บางคนก็อยู่ไม่ได้บ้าง มันทำให้บางคนแทบไม่เหลือความมีศักดิ์ศรีอยู่บนเกียรตินั้น  และเพราะความอยากได้ใคร่ดี อยากมี อยากเป็น อยากเอาชนะ... สุดท้าย มันกลายเป็นอาชีพที่คนภายนอกเมื่อมองเข้ามาแล้วมันดูเน่าเฟะ (เฮ้อ...) ส่วนตัวมองว่า ทุกอาชีพ.. ไม่แตกต่าง แต่ครูโดยส่วนมาก.. มันอิจฉากันมากกว่าอาชีพอื่นๆ เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะว่า การพิจารณาความดีความชอบ.. ที่ทำให้มันเน่ากันขนาดนี้ บางคนทำงานแทบตาย 2 ขั้นก็ไม่ได้ บางคนแค่เลียแข้งเลียขา หรือไปเลียอย่างอื่นเพิ่มเติมอีกก็ไม่รู้นะคะ ไอ้คนได้มาก็เหยียดหยัน เสียดสี กันไป.. ทำแทบตาย ไม่ได้อะไร แถมโดนตอกย้ำอีก.. ถ้าไม่ใช่คนที่จิตใจสูงส่งโปรดสัตว์ได้แล้วล่ะก็ ยากกกกมากกก ที่จะอยู่อย่างมีความสุข ..อ้อ. โรงเรียนส่วนมากนะคะ เหลือแค่ส่วนน้อยที่ไม่มีอิจฉาริษยากัน ก็รู้ๆ กันอยู่ ถามว่าทำไมเรื่องการพิจารณาความดีความชอบ ถึงมีผลอะไรนักหนา เพราะทุกอย่าง ผลงาน การเลื่อนขั้นเงินเดือน (2 ขั้น) มีผลต่อการเลื่อนขอวิทยฐานะ และก็จะได้รับเงินเดือนสูงขึ้น .. เฮ้อ.. มากมาย เรื่องผลประโยชน์ และที่เพิ่งได้ยินมาไม่นาน ขั้นเงินเดือน นี่ยังสามารถซื้อขายกันได้ด้วย โอ้แม่เจ้า.. ไม่ได้อยากจะเชื่อ เรื่องวิทยฐานะ เงินประจำตำแหน่งนั้น แค่คนกลุ่มเดียวจริงๆ ที่ได้ประโยชน์ จนทำให้การยื่นเพื่อขอหรือมีวิทยฐานะมันไม่มีคุณภาพ... เฮ้อ.. บางโรงเรียน คศ.3 ทั้งโรงเรียน แต่มีเ็ด็กอ่านหนังสือไม่ออก ข้อมูลเก่าแล้วนะคะอันนี้ ถ้าการพิจารณาให้มีทำให้มีคุณภาพจริงๆ พวกครูเราจะไม่เน่าเท่านี้เลย คุณเชื่อไหมว่าดิฉันสะเทือนใจทุกครั้งที่มีคนว่าครู ส่วนนึงก็จริงของเรา ส่วนนึงก็เสียใจเพราะเราไมไ่ด้เป็นแบบนั้น บางเขตการศึกษาก็เป็นนโยบายของผู้บริหารเลยว่า ส่งมาก่อนผลงานทางวิชาการ ยังไงก็ให้ปรับปรุง มันเหมือนเป็นผลงานของเรา มี คศ.3 เยอะ ก็ได้ผลงาน ที่มีแต่ปริมาณ แต่ด้อยคุณภาพ ส่วนตัวยังไม่รู้ว่าจะมีทางไหนที่จะให้มันเกิดทั้งคุณภาพต่อครูและเด็กในเรื่องของวิทยฐานะ และไม่ใช่แค่คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเท่านั้น อยากจะให้เฉพาะคนที่เขามีความสามารถ พัฒนาตัวเองกันจริงๆ อยากให้มีการสอบชิงทุนเพื่อศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น ของ ครู สพฐ เพราะเดี๋ยวนี้มันกลายเป็นธุรกิจทางการศึกษาไปแล้วของมหาลัย การศึกษาต่อมันก็เป็นการพัฒนาทักษะ ความรู้ และนำมาสอนนักเรียนได้ อยากให้คนเก่งจริงๆ เขาควรจะได้สิทธิ์นั้น ไม่ใช่แค่เด็กทุน ไม่อยากให้มีการแบ่งชนชั้น มันจะเข้าไปสมทบวงจรอิจฉาอีก ครูที่เก่งจริงๆ นั้น ดิฉันมองว่าต้องเอาไปสอนระกับ ประถมค่ะ ถามว่าทำไมต้องเอาไปสอนประถม เพราะเด็กเมื่อมีพื้นฐานความรู้ที่ดี เมื่อเขาโตขึ้นเขาก็จะเรียนรู้ได้ดีประมีประสิทธิภาพมากกว่า เด็กที่ไม่มีพื้นฐานอะไรแน่นเลย แล้วก็มายัดๆ เอาตอนโต ไม่เกิดประโยชน์.. เพราะครูที่เก่งจริงๆ คือครูที่สอนเด็กที่ไม่เก่งเลย เป็นคนที่เก่ง และเรียนรู้ด้วยตนเองได้ เมื่อไม่มีครูอยู่.. ครูต้องปลุกฝังจิตสำนึกให้เด็กศึกษาความรู้ด้วยตนเองด้วยไม่ใช่ให้ครูป้อนให้อย่างเดียว เพราะ "ครูที่ดี ต้องสอนวิธีหาปลาให้กับเด็ก เพราะหากครูเอาแต่ป้อนให้เด็ก เมื่อไม่มีครูอยู่ เด็กจะหากินเองได้อย่างไร" (คำพูดของ ผศ.ดร.เถลิงศก โสมทิพย์ ทั้งครอสที่เรียนกับอาจารย์ท่องประโยคนี้ได้ขึ้นใจเลยค่ะ) และกิจกรรมบางอย่างมันก็มากไป งานพิเศษ การประเมินต่างๆ มันจะมากไปไหนคะ ไอ้จำนวนเด็ก 10 มิถุนา เนี่ย ส่งก็ส่งไปแล้ว แต่ก็ขอมันทั้งปี ข้อมูลเกรดก็ขอกันทั้งปี ถ้าส่วนกลางเอาข้อมูลไปแล้วไม่เก็บ และต้องขอใหม่ทุกครั้ง งั้นก็อย่าให้พวกครูตามโรงเรียนส่งข้อมูลไปเลยค่ะ คุณทำงานกันสบายไปแล้ว และเพราะการทำงานสุดขี้เกียจของพวกคุณนี่แหละ ที่ทำให้ครูไม่มีเวลาจะสอนหนังสือ เด็กถึงไม่มีความรู้เหมือนอยู่ทุกวันนี้ไงคะ การบริหารงานที่ผิดพลาด ก็เหมือนกับการติดกระดุมผิดเม็ด เมื่อเม็ดแรกผิด เม็ดต่อๆ ไปก็ผิดไปด้วย ครูแก่ๆ จิตใจแย่ๆ ก็มีเยอะแยะ สิ่งที่ดิฉันเจอมากับตัวคือ ตอนดิฉันเป็นแค่ครูอัตราจ้าง เขาใช้ดิฉันยิ่งกว่าคนรับใช้ซะอีก ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ให้เงินเดือนดิฉันกิน เงินเดือนที่ดิฉันได้รับ เป็นเงินจากสมาคมผู้ปกครองนักเรียน ..เชื่อมั้ยคะ ว่าเขาใช้ดิฉัน เทข้าวใส่จาน ล้างจาน หาข้าวมาให้กิน เหลืออย่างเดียวค่ะ ยังไม่ได้ป้อนข้าวใส่ปากให้เขาเท่านั้น.. พ่อกับแม่ดิฉันยังไม่เคยใช้งานเท่านี้เลย เพราะดิฉันเต็มใจทำให้ ดิฉันไม่ได้ดูแลอะไรเขามาก แต่เขาใช้ดิฉันทุกอย่าง เหมือนเขาเป็นง่อย เดินไม่ได้ ขอโทษนะคะ อาจจะแรงไป ------------------------------- ไม่รู้ว่าความเห็นนี้จะจบชีวิตดิฉันลงไปหรือเปล่า ดิฉันอาจจะพูดไม่ถูกใจเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษาหลายๆ คนที่ได้อ่านความเห็นนีและ้ขออภัย ถ้าเห็นว่ามันแรงไป มากไป ก็ขอน้อมรับ และรับผิดชอบในคำพูดของตัวเอง ดิฉันได้คุยกับคนๆ นึง เขาบอกดิฉันว่า การยอมรับตัวเอง มันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ดีกว่าหลอกตัวเอง และกระทู้จากเว็บบอร์ดสาธารณะก็ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้วหลายครั้ง ที่ออกมาพูดไม่ได้มาสาวไส้ให้กากิน แต่สาวไส้ที่มันเน่าๆ ออกมาบ้าง ผู้บริหารชั้นฟ้าทั้งหลายเขาจะได้เห็น เขาจะได้แก้ไขบ้าง เขาจะได้รับรู้บ้าง เพราะบางอย่างเราก็ว่ามันควรจะได้รับการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีกว่า ..ทุกอย่างมันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ถ้าเรายังไม่ยอมรับตัวเราเอง... แก้ไขเมื่อ 16 ก.ค. 54 20:28:06 จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : วันเข้าพรรษา 54 20:16:30

ความคิดเห็นที่ 2 ความเห็นที่ 1 ตอบหมดแล้ว สะท้อนความจริงในวงการศึกษาได้ทะลุถึงกึ๋น ย้ำเรื่องเงินเดือน ..ครูไม่ได้มีบัญชีเงินเดือนที่สูงกว่าข้าราชการอื่นเลย เพียงแต่ปรับให้เท่าข้าราชการอื่นที่บัญชีเงินเดือนนำครูมา 2 ปีแล้ว เท่านั้นครับ เมื่อสภาผ่านกฎหมายเงินเดือนครูเมื่อปลายมีนา แต่ไม่ได้ตั้งงบประมาณของปี 2554 รองรับไว้ก่อน จึงต้องเสนอ ครม.เพื่อของบประมาณนี้มาจ่ายเป็นเงินเดือนครูที่เพิ่มตามกฎหมายครับ หมายเหตุเรื่องนี้ กคศ.เดิม ..ไม่ฉลาดหรือโง่ก็ไม่รู้.. ที่นำบัญชีเงินเดือนผูกไว้กับพระราชบัญญัติ แทนที่จะเป็นพระราชกฤษฎีกาเหมือนแต่ก่อน ส่งผลให้เวลาที่จะปรับจะแก้ไขบัญชีเงินเดือน ต้องผ่านสภาเพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติเท่านั้น ผลออกมาเช่นครั้งนี้ ใครทั้งหลายจึงนึกว่าครูได้เงินเดือนมากกว่าคนอื่น 8 % เรื่องผลงานวิชาการ ..เป็นเช่นนั้นจริงๆ ซึ่งเป็นเรื่องน่าละอายอย่างยิ่งที่เกิดกับคนที่..บอก..นักเรียนเรื่องการมีคุณธรรม(ไม่อาจใช้คำว่าสอน) สาเหตุเพราะ..เงิน..ครับ ครูได้เงินวิทยฐานะประจำตำแหน่งคูณสองเหมือนกลุ่มบริหาร ทั้งที่เป็นกลุ่มงานวิชาการ มันผิดตั้งแต่ต้น กรมบัญชีกลางเคยทักท้วงแล้ว แต่นักการเมื่องที่หวังประโบชน์จากครู ทำให้เรื่องนี้เงียบไป ตรงนี้ต่างหากที่ข้าราชการอื่นควรเรียกร้อง ข้าราชการสาย ว.อื่นๆ ตำแหน่งชำนาญการพิเศษ (C8 เดิม ยังได้เงินประจำตำแหน่ง 3500 บาทอยู่เลย) แต่ครูชำนาญการพิเศษ (C8เดิม สายวิชาการ สอนหนังสือ กลับได้มากกว่าคือ5600บาทและยังคูณสองเท่าเป็น5600*2 รวมได้รับ 11200บาทด้วย) ..หากมีใครร้องศาลปกครองเรื่องเงินวิทยฐานะครูได้คูณสองเท่า 5600*2หรือ9900*2 คงกระเทือนทั้งประเทศครับ.. เรื่องครูอัตราจ้าง ..เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งคนกลุ่มนี้น่าเห็นใจมากครับ ในโรงเรียนส่วนใหญ่ยิ่งคนเงินเดือนสูง ยิ่งอยากทำงานน้อย อะไรอะไรก็โยนให้ครูอัตราจ้าง เพราะน้องๆครูอัตราจ้างเหล่านั้นไม่มีปากไม่มีเสียง อำนาจการจ้างงานอยู่ที่..ปลายปากกาผูบริหารโรงเรียนเท่านั้นเอง ............................................................................................................ โรงเรียนขณะนี้ส่วนใหญ่ใกล้ตายแล้ว หากเป็นบริษัทห้างร้านเอกชน คงล้มละลายสูญหายตายจากไปแล้ว ปฏิรูปรอบสอง รอบสามคงช่วยอะไรไม่ได้ ทางแก้..ต้องรื้อใหม่ทั้งระบบ.. แต่..ใครจะเป็นคนทำ??? นักการเมืองหรือ?? ผู้บริหารการศึกษาหรือ?? ครูหรือ?? คำตอบล่องลอยอยู่ในสายลม?? จากคุณ : yott เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 08:40:07

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องผลประโยชน์เป็นอะไรที่พูดยาก เงินน่ะใครๆก็อยากได้ ต่อไปก็คงเป็นเรื่องจิตสำนึกของการเป็นครู ที่คนเป็นครูต้องตระหนักรู้ในตนเอง ไม่ใช่ปล่อยให้วิชาชีพถูก...ขอโทษนะ...ดูหมิ่น.อยู่อย่างที่เป็นอยู่ ถ้าบรรดาคุณครู/อจารย์ทั้งหลายได้หันไปมองวิชาชีพอื่นก็คงจะเห็นว่า  วิชาชีพอื่นนั้นเขาทำงานหนักและใช้องค์ความรู้เฉพาะตัวแบบสุด เขาจึงได้มาทั้งค่าตอบแทนและการยอมรับในสังคม เช่น นักกฎหมาย แพทย์และบุคลากรสาธารณสุข วิศวกร นักบัญชี เป็นต้น วิชาชีพเหล่านี้มีความเฉพาะ มีองค์ความรู้เฉพาะ ไม่ใช่แค่เรียนอย่างเดียว แต่มีการใช้ทักษะ การบูรณาการองค์ความรู้มาใช้กับการปฏิบัติ มีใบประกอบวิชาชีพที่จะreassure ให้สังคมมั่นใจว่ามีความรู้ความสามารถจริงๆ ไม่มีคนอื่นซึ่งไม่ได้เรียนมาทำแทนได้ (ทำแทนในระดับประกอบอาชีพนะ) ส่วนเรื่องทำงานหนักไม่กล่าวถึงดีกว่าใครๆก็ต้องว่าตนเองทำงานหนักกันทั้งนั้น จึงเข้าใจครูอยากเป็นอย่างนั้นบ้าง จึงพยายามให้มีป.บัณฑิต ซึ่งบอกได้เลยว่า  อาจเป็นกระบวนการคิดที่ไม่รอบรู้พอของผู้บริหารทางการศึกษาที่คิดเรื่องนี้ขึ้นมา และได้รับการต่อต้านจากสังคมในวงกว้าง ถึงแม้ว่าจะทำละเลยเมินเฉยกับข้อมูลเรื่องนี้ก็เถอะ เพราะการสอนเป็นทักษะที่มีมาพร้อมๆกับการเกิดมาของมนุษย์ ที่ต้องใช้ในการดำรงความเป็นเผ่าพันธ์ให้คงอยู่ต่อเนื่อง มีการสอนมากมายเกิดขึ้นในโลกใบนี้ และไม่ได้เรียนการสอนมาก็สามารถทำได้ดี หรือครู้จะปฏิเสธว่าไม่ใช่ ....กลายเป็นว่า การสอนระดับประถม1-4จริงๆแล้วอาจไม่ต้องใช้ครูระดับปริญญาตรีด้วยซ้ำ สิ่งที่ต้องการจากคนสอนที่สำคัญคือ ความใส่ใจ ความเข้าใจเด็กต่างหาก ส่วนในระดับสูงขึ้นไปจึงเป็นเรื่องจำเป็น ทางการศึกษาน่าจะหาวิธีที่จะยกระดับตนเองให้เข้าท่ากว่านี้ ควรต้องเริ่มตั้งแต่การincludeทั้งอาจารย์ที่เป็นคนสอนและนักศึกษาที่มีคุณภาพเข้าไปเรียน ไม่ใช่ยังไงก็ได้ เข้มในการสอน และการให้จบที่มีคุณภาพจริงๆ เพราะทั้งอาจารย์ที่สอนและนักศึกษาที่จะจบมาเป็นครูเป็นตัวจักรที่สำคัญในการบวนการกล่อมเกลาเด็กๆของเรา  ถ้าตัวจักรไม่มีประสิทธิภาพความคาดหวังที่จะให้ผลิตผลมีประสิทธิภาพก็คงน้อย อย่าแย้งนะว่างั้นนักเรียนเก่งมาได้อย่างไร เพราะยังมีครูเก่งๆใส่ใจทุ่มเทให้กับการสอนเด็กๆอยู่ไง แต่มันเป็นสัดส่วนที่เท่าไหร่ล่ะ ครูๆช่วยคิดเอาเอง สุดท้ายก็ได้แต่ภาวนา ให้คนในระบบการศึกษา ได้ตื่นรู้และพัฒนาตนเองให้สมกับค่าตอบแทนที่ได้เพิ่มขึ้นอย่างมากมาย ให้สมกับที่รัฐบาลทุ่มเทให้พวกคุณ  อย่ายอมให้คนอื่นเขาดูหมิ่นอยู่อย่างนี้ ภาวนาให้เด็กๆของชาติได้รับการสอนสั่งที่มีคุณภาพมากๆยิ่งขึ้น จากคุณ : mangpongja เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 09:13:04

ความคิดเห็นที่ 4 เอากีบไปเลยค่า ครูดีๆ ก็มีแต่ครูแย่ ๆ ก็เพียบ เงินตอบแทนน่าจะมาจากฝีมือและผลงานมากกว่าจริงๆ นะ จากคุณ : นกปิ๊ดตาลิวเบิร์ด เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 16:12:48

ความคิดเห็นที่ 5 เรื่องงบประมาณของประเทศ ในแต่ละปี ก็จะตั้งขึ้น โดยมีอัตรากำหนดให้ว่า ในปีต่อไปจะเพิ่มขึ้นได้ ๑ ๒ หรือ๓เปอร์เซ็นต์ เพราะถ้าไม่มีกำหนดให้ แต่ละกระทรวงก็อ้างความสำคัญความจำเป็นขอเพิ่มกันอย่างสุดกู่ แบบร้อยหรือสองร้อยเปอร์เซ็นต์กันเลย ฐานะทางการเงินการคลังของประเทศ จะเป็นตัวกำหนดเพดานเงินงบประมาณแผ่นดิน เมื่อได้เพิ่มกันกระทรวงละ ๑ หรือ๒ เปอร์เซ็นต์ เงินที่เพิ่มขึ้น จะสมดุลย์กับที่บุคคลากรภายในกระทรวงขอเพิ่มงบประมาณกันไหม กระทรวงศึกษาฯนี่แหละ ไม่เคยหรือไม่คิดจะมีเพดานสำหรับการเพิ่มขึ้นของเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งเลย..ใส่กันเต็มที่ ใครใคร่อยากได้เพิ่มเงินวิทยฐานะก็ไปเขียนกันมา โดยไม่ได้นำพาว่าวันหนึ่ง เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งจะเกินวงเงินงบประมาณของกระทรวงศึกษาฯ เพราะเขาคิดว่า ถ้าเกิน รัฐบาลหรือสังคมก็ต้องรับผิดชอบไปหามาให้ครู จะไปกดหรือบีบหรือไปทุบกระปุกออมสินที่ไหนมาก็แล้วแต่. จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 23:17:43

ความคิดเห็นที่ 6 ทุกหน่วยงานทุกอาชีพ ถูกกฎหมายบอนไซข้าราชการ กำหนดไม่ให้เพิ่มข้าราชการ ข้าราชการที่เหลือจึงทำงานกันอย่างหนักสุดความสามารถ แต่ครู น้อยมากที่จะรับผิดชอบต่ออนาคตของขาติ ที่เห็นๆ บางโรงเรียน มีแต่ครู คศ.๓ทั้งโรงเรียน แต่เด็กอ่านหนังสือไม่ออก บ่ายๆ นังให้นักเรียนถอนผมหงอก ถักโคร์เชท์  งานหลักคือ การร้องตะโกน ขอสิทธิ ขอเงินกู้ ขอให้ปลดหนี้ ขอวงเงินกู้สูงๆ ขอให้รัฐยกเลิกหนี้  งานอย่างที่สองคือขายตรงฯ กับขายประกัน  งานอย่างที่สามคือ ทำกิจกรรมอื่นๆ  งานอย่างที่สี่คือ หาช่องทางเขียนปรับวุฒิ เพิ่มวิทยฐานะ ฃ  สุดท้ายถึงจะสอนหนังสือ แล้วก็เรียกร้องให้มี ใบ. ประกอบวิชาชีพครู... จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 23:29:02

ความคิดเห็นที่ 7 ครูบรรจุใหม่  ครูผู้ช่วย  โดนใช้งานไม่ต่างอะไรกับครูอัตราจ้าง โทรมาใช้ตั้งแต่ตีห้า  บางงานส่วตัวล้วนๆ งานแต่ง งานบวช ฯ ก็ใช้ครูนี่แหละเสิร์ฟน้ำ  ทำกับข้าว  ล้างจาน  ส่วนท่านก็หนังเอาหน้าหน้าบาน ยิ่งหากมีวงศาคณาญาติ  หรือคนร่วมนามสกุลอยู่ด้วย  ยิ่งหนักคูณสอง ครูใหม่เหล่านี้แหละ  ที่แบกภาระงานทั้งโรงเรียน เมื่อไหร่จะเลิกมีซะที ครูผู้ช่วย จะบรรจุก็บรรจุเลย ให้เขาทำงานอย่างมีความสุข  เต็มความสามรถจะดีกว่าไหม ทำงานแบบโดนกดตั้งสองปี  ยิ่งกว่า( ^o^ )ซะอีก จากคุณ : เจ้าหญิงเฟลิโอน่า เขียนเมื่อ : 20 ก.ค. 54 16:57:05

ความคิดเห็นที่ 8 คุณ เจ้าหญิงเฟลิโอน่า คศ.1 แล้ว ก็เจอไม่แตกต่างกันค่ะ สิ่งที่ควรจะเปลี่ยน คือพฤติกรรมจิกใช้ของครูแก่ๆ ที่มันกลายเป็นวัฒนธรรมองค์กรให้หมดไปซะ สิ่งที่มันแย่อยู่ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ระบบ แต่มันเป้นพฤติกรรมของคนในระบบ ที่แย่เสียยิ่งกว่าแย่ ...เลยทำให้ทุกอย่างมันดูเลวร้ายไปหมด ทุกวันนี้ก็ตั้งใจกับตัวเองไว้ค่ะ ว่าถ้าแก่ตัวลงเมื่อไร ก็จะไม่ทำกับคนที่อยู่ใต้สายบังคับบัญชาอย่างที่เจอะเจอะมา มันดูไร้มนุษยธรรมเกินไป จากคุณ : ][NuUnAn-- เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 10:25:49