ความคิดเห็นที่ 1 ฝากเพลงด้วยครับ Song : Heavens Divide Artist : Donna Burke Album : Metal Gear Solid : Peace Walker OST. Petals of white , Cover fields flowing in grieving tears ( ดอกไม้ขาว พลิ้วไหวท่ามกลางเศร้าโศก ) And all the hearts, once new, old and shattered now ( ทั้งหมดของหัวใจ ตอนนี้ เหนื่อยล้าและแหลกสลาย ) Love can kill, love will die , Give me wings to fly ( ความรักอาจถูกเข่นฆ่า ความรักกำลังจะตาย ได้โปรด ขอปีกให้ฉันบินไป ) Fleeing this world so cold , I just wonder why ( หลบหนีจากโลกที่หนาวเหน็บ ฉันแค่แปลกใจว่าทำไม ) Cold as the dark ( เย็นยะเยือก ราวกับที่ซึ่งมืดมิด ) Now my words are frosted with every breath ( ตอนนี้คำพูดของฉันช่างเย็นชาในทุกๆ ลมหายใจ ) Still the heat burns wild, growing inside this heart ( ยังคงคิดถึงความอบอุ่น ผลิบานในใจดวงนี้ ) When the wind changes course, when the stars align ( วันที่สายลมเปลี่ยนทิศ วันที่หมู่ดาวเรียงตัวกัน ) I will reach out to you and leave this all behind ( ฉันไปจะหาเธอ และทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ) When heavens divide When heavens divide I will see the choices within my hands ( ฉันจะเห็นทางเลือกมากมายในมือคู่นี้ ) How can we ever protect and fight with our tiny souls ( เราสามารถปกป้องและต่อสู้ด้วยใจที่บอบบางนี้อย่างไร? ) Let me shine like the sun through the doubts and fear ( ให้ฉันสว่างไสวดุจแสงตะวัน ก้าวข้ามความสงสัยและหวาดกลัว ) Do you feel the storm approach as the end draws near ( เธอรู้สึกได้ใช่ไหม? พายุที่ใกล้จะสงบแล้ว ) When heavens divide Time will come to softly lay me down ( เวลาที่ฉันจะได้ค่อยๆ ล้มตัวนอนอย่างแผ่วเบา ) Then I can see a face that I long to see ( เมื่อนั้น ฉันจะได้เห็นใบหน้าที่ฉันไม่ได้เห็นมานาน ) And for you, only you, I would give anything ( และเพื่อเธอ เธอเท่านั้น ที่ฉันมอบให้ได้ทุกอย่าง ) Leaving a trace for love to find the way ( ทิ้งร่องรอยนั้น เพื่อให้ความรักได้พบหนทาง ) When heavens divide I will dive into the fire ( ฉันดำดิ่งลงไปในกองไฟ ) Spilling the blood of my desire ( ทุ่มเทเลือดเนื้ออย่างเพื่ออุดมการณ์ ) The very last time ( ท้ายที่สุดแล้ว ) My name scorched into the sky ( ชื่อของฉัน ก็ได้แค่มอดไหม้ในนภา เท่านั้นเอง ) When heavens divide I will see the choices within my hands ( ฉันจะเห็นทางเลือกมากมายในมือคู่นี้ ) How can we ever protect and fight with our tiny souls ( เราสามารถปกป้องและต่อสู้ด้วยใจที่บอบบางนี้อย่างไร? ) Let me shine like the sun through the doubts and fear ( ให้ฉันสว่างไสวดุจแสงตะวัน ก้าวข้ามความสงสัยและหวาดกลัว ) Do you feel the storm approach as the end draws near ( เธอรู้สึกได้ใช่ไหม? พายุที่ใกล้จะสงบแล้ว ) When heavens divide Time will come to softly lay me down ( เวลาที่ฉันจะได้ค่อยๆ ล้มตัวนอนอย่างแผ่วเบา ) Then I can see a face that I long to see ( เมื่อนั้น ฉันจะได้เห็นใบหน้าที่ฉันไม่ได้เห็นมานาน ) And for you, only you, I would give anything ( และเพื่อเธอ เธอเท่านั้น ที่ฉันมอบให้ได้ทุกอย่าง ) Leaving a trace for love to find the way ( ทิ้งร่องรอยนั้น เพื่อให้ความรักได้พบหนทาง ) When heavens divide And for you, only you, I would give anything ( และเพื่อเธอ เธอเท่านั้น ที่ฉันมอบให้ได้ทุกอย่าง ) Leaving a trace for love to find the way ( ทิ้งร่องรอยนั้น เพื่อให้ความรักได้พบหนทาง ) When heavens divide ------------------------------- แปลเองละครับ เนื้อเพลงตามเวปนี้นะ http://mgarsenal.proboards.com/index.cgi?board=heaven&action=display&thread=4778 ปล.ส่วน MV ผมทำมาตั้งแต่ปีก่อน ประชดพวกที่บอกว่า " ไม่ว่าสีไหนๆ ที่ออกไปประท้วงล้วนโง่หมด " ( คงเพราะคนพูดพยายามจะสอนผมให้คิดแบบนักธุรกิจ รอเวลาหาโอกาสแสวงหาเงินและอำนาจดีกว่า ผมเกลียดแนวคิดแบบนี้ที่สุดครับ ) ปล.2 ไวยกรณ์ผิดกระจาย เพราะรีบทำอะ จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 10:48:30

ความคิดเห็นที่ 2 ขอร่วมคิดแบบคนธรรมดา ที่ไม่ได้มองจากมุม "จ๋า" ของนักปฏิวัติ หรือ นักธุรกิจ ความเท่าเทียม เสมอภาค หรือความเป็นธรรม ต้องถูกกระจายให้ทั่วถึงมากที่สุด "เท่าที่จะทำได้" ในการอยู่รวมกันของคนหมู่มาก จึงต้องมีกฎกติกา ที่จะเอื้อให้เกิด "ความเท่าเทียม" ให้มากที่สุด และจะมีคนกลุ่มนึงหรือหลายกลุ่ม มีอำนาจมากกว่าคนอื่นๆ เพื่อเอา "อำนาจและหน้าที่" นั้น ไปจัดสรรแบ่งปันให้เท่าเทียมกันมากที่สุด และคนที่มีอำนาจทุกคน ก็ต้องอยู่ในกรอบ ต้องได้รับการควบคุม ตรวจสอบอย่างโปร่งใส เพื่อให้บรรลุเป้าหมายของการอยู่ร่วมกันอย่าง "เท่าเทียม เสมอภาพ หรือเป็นธรรม" มากที่สุดเท่าที่มนุษย์จะพึงมีได้ ไม่ว่าจะเป็นนักปฏิวัติ นักธุรกิจ หรือ อื่นๆ จากคุณ : นานา เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 13:35:02 A:124.122.127.196 X: TicketID:193753

ความคิดเห็นที่ 3 จริงๆแล้ว    อะไรคือความขัดแย้ง... -คนจนกับคนรวย -ชนบทกับเมือง -อนุรักษ์นิยมกับก้าวหน้า -ทุนนิยมกับชาตินิยม -เอาสถาบันกับไม่เอาสถาบัน -ไพร่กับอำมาตย์ . . . ผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา (แม้จะยังไม่ได้รับรองผลอย่างเป็นทางการ) พบว่า แดงชนะขาด ซึ่งฐานเสียงก็มาจาก  ภาคอีสานกับเหนือ   ซึ่งบ่งบอกว่า  เป็นภาคชนบทซะส่วนใหญ่ นั่นอาจบอกเพิ่มเติมได้ว่า    คนส่วนใหญ่ที่ไม่ใช่คนการศึกษาสูง  เลือก พรรคแบบก้าวหน้า(เพื่อไทย) อาจบอกนัยยะต่อได้ว่า    สังคมไทยต้องการการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างสูง  และไม่ใช่แบบอนุรักษ์นิยม ที่ยึดติดกับหลักการ  หรือความถูกต้องที่ล้าหลัง   หรือไม่? พรรคการเมือง   คงไม่มีพรรคไหนที่บริสุทธิ์ผุดผ่อง   ก็ล้วนแต่ใช้วิชามารล่อหลอกปชช.เพื่อให้เลือก ตนทั้งนั้น    แต่อะไรหละคือ  ความกล้าที่จะเปลี่ยน หรือมีวิสัยทัศน์นำประเทศให้ก้าวไกล... ผมคิดว่า    ถ้าเร็วไปก็มักฉาบฉวย    อันยังมาซึ่งทุนสามานย์ และคุณภาพชีวิตที่สามานย์ แต่ถ้าไม่กล้าที่จะเปลี่ยน หรือสร้างสิ่งใหม่ๆ    ระบบก็จะอ่อนแอ   ไม่ทันกินไม่ทันใช้  ไม่เติบโตพอ ซึ่งก็กลายเป็นความล้าหลัง      ดังนั้น   สมดุลย์ของการพัฒนาจึงเป็นจุดที่ต้องสร้างขึ้น  กำหนดขึ้น.. จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 17:21:48

ความคิดเห็นที่ 4 สิ่งที่ต้องถามนักปฎิวัติคือ สิ่งที่คิด ฝัน นั้นมันจริงหรือไม่? ไม่ว่านักอะไรก็ต้องซื่อตรงต่อหลักฐาน ซื่อตรงต่อข้อเท็จจริง จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 17:35:44

ความคิดเห็นที่ 5 ผู้อาวุโสนามหนึ่งผู้รู้โลก และอำลาจากไปแล้ว กล่าวไว้สมัยผมเป็นหนุ่ม ว่า "คนหนุ่มนักปฏิวัติมีหัวใจแต่ยังไม่ฉลาด คนแก่นักธุรกิจไม่มีหัวใจมีแต่ความฉลาด...!!!" มนุษย์ในทุ่งSavannah เป็น'ฝูงมนุษย์'ที่เรียนรู้และพยายามวิวัฒน์เผ่าพันธุ์ โดยมุ่งสู่ความเป็น'สังคมมนุษย์' ผมเชื่อว่า ระยะนี้เป็นมหศตวรรษแห่งการเปลี่ยนผ่านยุค และย้อนเผ่าพันธุ์ไปมาระหว่างมนุษย์ฝูงที่ยังเห็นแก่ตัวกับมนุษย์สังคมที่คลายความเห็นแก่ตัวลงมากแล้ว อาณาจักรอารยธรรมหลายแห่งจึงสลับกันเจริญรุ่งโรจน์ขึ้น แล้วล่มสลายไปอีก ด้วยเหตุสมมุติฐานของผม มีรายงานว่ามนุษย์เร่งวิวัฒน์เผ่าพันธุ์ตนเองอย่างรุนแรงแบบฝืนอำนาจธรรมชาติ จึงมักเจ็บปวด ธรรมชาติจะดึงไว้ให้ช้าอยู่เสมอ เจ้าของกระทู้เป็นคนหนุ่ม มีบุคลิกออกไปทางนักคิดแนวปรัชญา มีอุดมคติมีหัวใจ ชีวิตทางเลือกที่คุณปรารถนามีหลากหลาย อยากแนะนำให้ติดตามนักปราชญ์สตรีตะวันตก ปัจจุบัน คนหนึ่งให้รู้จัก >> Joanna Macy ,ใน you tube ก็ได้, เธอกำลังนำเสนอว่าโลก(สังคมมนุษย์)กำลังแปรเข้าสู่ยุค The Great Turning Society ต่อจากยุค Industrial Society โดยทิ้งความเจ็บปวดรวดร้าวไว้เป็นบาดแผล เพื่อที่อาจไปพบพานรอยแผลใหม่อีกหนแห่งสังคมยุคหน้านั้น ฟังตัวอย่างปาฐกถาข้างล่างนี้แล้ว คุณอาจมีคำตอบทางเลือกที่น่าท้าทายขึ้น http://www.youtube.com/embed/LwlXTAT8rLk แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 54 18:25:30 จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 17:54:30

ความคิดเห็นที่ 6 คห.4 ถ้าเรายึดติดอยู่แต่กับ " ข้อเท็จจริง " มนุษย์ย่อมไม่ต่างจากสั.ตว์ชนิดอื่น ที่ๆ คนอ่อนแอ คนสติปัญญาน้อยสมควรสูญพันธุ์ไปตามกฏธรรมชาติ สั.ตว์ใช้เวลาของมันในแต่ละรุ่น วิัวัฒนาการจนเหลือแต่สายพันธุ์ที่ดีที่สุด สายพันธุ์ที่อ่อนแอไม่ได้รับสิทธิ์ในการสืบพันธุ์ แต่คนเรานั้นไม่ คนเรามีความซับซ้อนกว่านั้น หากมองตามแง่ของเหตุผลทั้ง 100% คนที่มี gene ที่อ่อนแอ มี IQ ต่ำ สมควรถูกจำกัดสิทธิ์ในการสืบพันธุ์ เพื่อคัดสรรให้เหลือแต่สายพันธุ์ที่ดีที่สุด นั่นคือข้อเท็จจริง พวกนักธุรกิจดำเนินการใดๆ ก็ล้วนแต่อาศัยข้อเท็จจริงตามกฏ Natural Selection ปรับตัวได้ทุกสถานการณ์ ไม่มีฝักฝ่าย อะไรก็ได้ที่มองเห็นช่องทำประโยชน์ ล้วนรับได้ทั้งหมด เพราะนั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ที่จะต้องต่อสู้ดิ้นรนกันเอง สั.ตว์ต่อสู้ด้วยกำลัง แต่คนต่อสู้ด้วยเล่ห์เหลี่ยมสติปัญญา แต่ในบางครั้ง เสน่ห์ของคนเราก็อยู่ด้วยการทำเรื่องที่ไร้เหตุผล คนพิการ คนเสียสติ คนป่วย หรือแม้แต่สั.ตว์อื่นๆ ก็ยังถูกพิทักษ์ ทั้งที่มันไม่น่าจะสมเหตุสมผล ทำไมเราถึงไม่ฆ่าเด็กที่เกิดมาแล้วสุขภาพต่ำกว่ามาตรฐาน , ทำไมเราไม่ฆ่าคนพิการทางสมอง หรือทำไมเมื่อเกิดภัยพิบัติ เราเลือกที่จะช่วยสตรี เด็ก คนชราและคนพิการก่อน ทั้งที่คนเหล่านี้เป็นกลุ่มบุคคลที่อ่อนแอที่สุด สิ่งเหล่านี้สมเหตุสมผลจริงหรือ? แล้วถ้ามันไม่สมเหตุสมผล ทำไมพวกเขาจึงทำ? มนุษย์ไม่ได้มีแต่เหตุผลครับ ส่วนมนุษย์ที่มีแต่เหตุผล 100% ผมว่ามันไม่น่าคบหาเอาเสียเลย เป็นตัวอันตรายเสียมากกว่าด้วยซ้ำไป ปล. คห.5 ผมดูไม่ได้ครับ มันบอกว่า link ผิดพลาด แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 54 18:05:38 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 54 18:05:16 จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 18:03:42

ความคิดเห็นที่ 9 Joanna Macy on The Great Turning จากคุณ : ขามเรียง (ขามเรียง) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 18:35:10

ความคิดเห็นที่ 10 #6 จขกท. เป็นคำอธิบายที่มีเหตุผลดีมากครับ สาระคือ   มนุษย์ยอมรับในความแตกต่าง  หลากหลายใน ความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ด้วยกัน และนั่นคือ   ความสมบูรณ์แบบในมนุษย์ หล่ะ ตรงนี้  คือ การไปพ้นจากกฏ การคัดสรรตามธรรมชาติก็ว่าได้.... และนั่นสะท้อนถึง   การมีอยู่ของจิต  หรือ ความรัก..หล่ะ จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 19:18:43

ความคิดเห็นที่ 11 คห.9 ฟังไม่รู้เรื่อง ( ผมอ่อน Eng ด้านการฟัง - พูดจริงๆ ) http://www.ecoliteracy.org/essays/great-turning แต่ไปเจอ link นี้ อ่านแล้วรู้สึกว่าใช่เลยครับ เพียงแต่แนวทางมันออกไปทางสันติวิธี ซึ่งไม่รู้ว่าจะทำได้แค่ไหน ปล.ไว้พ้นเรื่องสอบสัปดาห์นี้ คงได้แปลมาให้อ่านกันครับ จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) เขียนเมื่อ : 17 ก.ค. 54 20:05:28

ความคิดเห็นที่ 12 อันนี้ต้องขออนุญาต แก้ไขคำแปลนิดหนึ่งนะครับ ขอทำส่วนแรกก่อนก็แล้วกัน Petals of white cover fields flowing in grieving tears (กลีบผกาสีขาวปกคลุมท้องทุ่ง และหลั่งไหลลงในธารน้ำตาแห่งความเศร้า) And all the hearts, once new, old and shattered now (อีกทั้งหัวใจทุกดวง ที่เคยสดใส ทั้งใหม่เก่า มาบัดนี้ต้องกลับแหลกสลาย) Love can kill, love will die , Give me wings to fly (ความรักมีอำนาจสังหาร ทว่าความรักก็มีวันโรยรา ขอปีกให้ข้าไปโผผิน) Fleeing this world so cold , I just wonder why (บินหนีจากโลกอันเย็นชา ข้าเพียงกังขาว่าเหตุใด) จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 00:30:45 A:49.49.111.83 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 13 (ต่อ) Cold as the dark (ช่างเหน็บหนาวราวความมืด) Now my words are frosted with every breath (ณ ยามนี้ ถ้อยวจีที่ข้ากล่าวก็เย็นชาอยู่ทุกห้วงลมปราณ) Still the heat burns wild, growing inside this heart (กระนั้น ความร้อนเร่าระอุยังแผดเผาอยู่ภายในใจ) When the wind changes course, when the stars align (ยามที่ลมเปลี่ยนทิศ เมื่อถึงคราดาราเรียงราย) I will reach out to you and leave this all behind (ข้าจะออกเหินไปหาเจ้า โดยละสิ่งเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง) จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 00:41:25 A:49.49.111.83 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 14 คห 12 ขอแก้นิดนึง ขอปีกให้ข้าได้โผผิน จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 02:18:43 A:49.49.111.83 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 15 สิ่งที่คุณพูดมามันสมเหตุสมผล แต่ที่คุณมองว่าไม่สมเหตุสมผลก็เพราะว่าคุณไม่รู้จักคำว่า Natural Selection ดีพอ Natural Selection ไม่ใช่ Eugenic Natural Selection ไม่ได้หมายความว่าสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุดจะอยู่รอด ไม่อย่างนั้นโลกนี้คงปกครองด้วยไดโนเสาร์ ข้อความที่คุณยกมามันสามารถแย้งได้หลายรูปแบบทั้งในแง่ของ Natural Selection หรือในแง่ของ Social Science มาอธิบายก็ได้ ยกตัวอย่างทำไมเราถึงไม่ฆ่าเด็กที่พิการ ฯลฯ ในแง่ Natural Selection ไม่สนใจว่าพิการหรือไม่ ว่ากันแบบลิเก้ ลิเกหน่อยต้องบอกว่าไม่มีคำว่าพิการในพจนานุกรมของ Natural Selection ขอยกตัวอย่างสักอันหนึ่ง มีชาวเขาเผ่าหนึ่งซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเม็ดเลือดของประชากรส่วนใหญ่มีเม็ดเลือดแดงผิดปกติ(Sickle cell anemia) ทำไม Natural Selection ถึงทำให้ประชากรเผ่านี้ผิดปกติเกือบทั้งเผ่า? ซึ่งมนุษย์เรียกว่าความผิดปกติ ทำไม Natural Selection ไม่ทำให้ร่างกายของพวกเขาแข็งแรงสมบูรณ์เหมือนเราๆท่านๆ?   จากการศึกษาเพิ่มเติมนักวิทยาศาสตร์ก็ได้พบว่าคนที่มีเม็ดเลือดที่ผิดปกติแบบนี้จะมีภูมิต้านทานโรคมาเลเรีย ซึ่งเป็นโรคที่พบมากในบริเวณที่ชนเผ่านั้นอาศัยอยู่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสิ่งที่เราเรียกว่าพิการ(เม็ดเลือดพิการ) นั้นไม่ได้เป็นปัจจัยของ Natural Selection เลย จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 14:48:15

ความคิดเห็นที่ 16 ต่อมาในมุมมองของ Social Science การทำ Eugenic นั้นเป็นการลด Moral ของสังคมและมันสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการ Abuse ได้ (แบบเดียวกับฮิตเลอร์ใช้) ดังนั้น Eugenic จึงไม่เป็นทางเลือกในปัจจุบัน แต่ในอนาคตเมื่อเราสามารถวิเคราะห์ DNA ของตัวอ่อนได้ ก็ไม่แน่ว่าอาจจะมีการกำจัดตัวอ่อนที่มีลักษณะที่ (มนุษย์สมัยนั้นถือว่า) ผิดปกติทางพันธุกรรม จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 14:51:45

ความคิดเห็นที่ 17 ต่อมาว่าด้วยทำไมเราช่วยเด็ก สตรี คนชราและคนพิการ เรื่องพวกนี้อธิบายอย่างสมเหตุสมผลได้ไม่ยาก เด็กและสตรีเนี่ยเราช่วยเพราะแรงผลักดันตามธรรมชาติที่ต้องการสืบเผ่าพันธ์ต่อไป คงไม่ต้องอธิบายว่าเพราะทำไม ส่วนคนชราเราต้องมองประวัติศาสตร์มนุษยชาติว่าสมัยก่อนนั้นหาคนชรายากมาก (ก่อนผลิตยาปฎิชีวนะ) ดังนั้นคนชราจะเป็นเหมือนแหล่งความรู้ เป็นศูนย์กลางของเผ่าซึ่งควรปกป้องไว้ถ้าเป็นไปได้ และมันก็ค่อยๆพัฒนาออกมาจนเป็นสิ่งที่เราเห็นในปัจจุบัน ส่วนคนพิการเนี่ยเป็นเรื่องที่อธิบายยากสักหน่อยแต่มันเป็นพัฒนาการทางสังคมในปัจจุบัน ที่เกิดจากการพัฒนาแนวคิดด้านมนุษยชน รวมทั้งการปฎิวัติระบบการผลิตอาหารที่มีประสิทธิภาพสูงทำให้การช่วยเหลือผู้พิการในสังคมไม่ได้เป็นภาระกับสังคมมากนัก (ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีกว่าฆ่าคนพิการทิ้งเพราะมันเพิ่มความรุนแรงในสังคมโดยรวม และโดยธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตเราก็ไม่นิยมฆ่าสิ่งมีชีวิต Species เดียวกันอยู่แล้วด้วย) ป.ล. ดูเหมือนว่าคุณยังเข้าใจ Natural Selection ผิดไปโขอยู่ ผลของ Natural Selection คือการสืบทอดเผ่าพันธ์ต่อไป ไม่ได้หมายความว่าคนที่แข็งแรงที่สุดจะอยู่รอด จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 15:01:07

ความคิดเห็นที่ 18 พูดกันตามตรง คนส่วนมากที่พูดเรื่อง Natural Selection ไม่เข้าใจว่า Natural Selection คืออะไร เช่นเดียวกับคนส่วนมากที่พูดเรื่อง Capitalism ก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า Capitalism คืออะไรเช่นกัน จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 18 ก.ค. 54 15:03:15

ความคิดเห็นที่ 19 เลื่อมใส่ๆ คุณ Nexus อธิบายง่ายเคลียร์ ไม่เพลียใจฟังเลย แต่หากจะอ้างชื่อนักทฤษฏีอะไรบ้างที่คิดเรื่อง Natural Selection ก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง (ขอเอาว่าเป็น Charles Darwin หรือเปล่า) จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 00:03:43 A:49.49.111.83 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 20 ".........ไม่ว่านักอะไรก็ต้องซื่อตรงต่อหลักฐาน ซื่อตรงต่อข้อเท็จจริง"   #4  คุณเน็กซัส จขกท.ว่า  "ถ้าเรายึดติดอยู่แต่กับ " ข้อเท็จจริง " มนุษย์ย่อมไม่ต่างจากสั.ตว์ชนิดอื่น...."  #6 แล้วก็พูดถึง การคัดสรรตามธรรมชาติ    เสน่ห์ของความไร้เหตุผล เช่น  การช่วยคนพิการ คนอ่อนแอ ฯ วิพากษ์ มนุษย์ต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่น  ตรงการรู้จักคิด  และการคิดจากฐาน ข้อเท็จจริง เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผล หรือมีประสิทธิภาพต่อการนำไปใช้ประโยชน์  หรือ การเปลี่ยนแปลงโลก หรือ ความอยู่รอด เหตุผลจากฐานของข้อเท็จจริง   กลายเป็นประสบกาณ์   หรือ  ภาษาที่มีเหตุผลไว้สื่อสารกันนั้น เป็นเรื่องหนึ่ง     แต่เสน่ห์ของสิ่งที่ดูเหมือนไร้เหตุผลของ การช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอต่างๆนั้น มันเป็นเหตุผลในเรื่อง คุณค่า   ไม่ว่าจะเป็น  จริยธรรม  ศีลธรรม  มนุษยธรรม  หรือความรักความผูกพัน     ซึ่งมนุษย์มีช่วงเวลาที่ยาวนานในห้วงการพัฒนาจากทารกไปสู่การพึงตนเองได้   ตรงนี้ที่เป็นนัยยะสำคัญ     ที่สะท้อนพลังการรู้คิด  สติปัญญาที่สะสมตัว กลายเป็นพลังรวมหมู่ที่ทรงอานุภาพ และยึดครองโลกอย่างยาวนาน   เช่นที่เป็นอย่างที่เห็น จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 08:37:50

ความคิดเห็นที่ 21 ใครหนึ่งคนในอดีตอ้างตัวเป็นบุตรจากมหาเทพผู้สร้างโลก  สถาปนาตัวเองเป็นมหาราชา  "คำสั่งข้าศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าสิ่งใด" ผลต่อมาก่อเกิดใครอีกคนในอดีตอ้างตัวเป็นบุตรแห่งพระเจ้า  สถาปนาตัวเองเป็นผู้นำทางความเชื่อ  "เรามาเพื่อปลดปล่อยท่าน" 2 ความคิดของ 2 บุคคลที่ยิ่งใหญ่นี้  หลงเหลือตกทอดมาจวบจนทุกวันนี้เสมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งในจิตใจเรา  หนึ่ง เห็นแก่ตัว หนึ่ง เห็นแก่ผู้อื่น .... หนึ่ง เห็นแก่ตัว เป็นสัญชาตญาณประกอบการเรียนรู้และเลียนแบบในแต่ละสังคม หนึ่ง เห็นแก่ผู้อื่น เป็นเพียงแต่การเรียนรู้ด้านเดียว สังคมสงบสุขต้องมาจากการเห็นแก่ผู้อื่นเป็นหลัก  ความเห็นแก่ผู้อื่นไม่ใช่สัญชาตญาณ  แต่เกิดจากการเรียนรู้   ดังนั้น การอบรมสั่งสอนเพื่อการเรียนรู้นั้นกำหนดความเป็นไปของสังคมทุกสังคม  ..แต่ยังไงก็ควรเหลือที่ว่างให้แก่ผู้มีสัญชาตญาณอันแรงกล้า  ที่การอบรมสั่งสอนเพื่อการเรียนรู้ไม่อาจพรากความเห็นแก่ตัวไปจากจิตใจเขาได้   (แว๊บหนึ่งในใจ) เขาอาจเผลอคิดว่าเขาคือ "ราชา" ณ กาลปัจจุบัน .. แก้ไขเมื่อ 19 ก.ค. 54 11:05:49 จากคุณ : vincentlenon เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 10:54:30

ความคิดเห็นที่ 22 คุณวินฯ .แต่ยังไงก็ควรเหลือที่ว่างให้แก่ผู้มีสัญชาตญาณอันแรงกล้า  ที่การอบรมสั่งสอนเพื่อการเรียนรู้ไม่อาจพรากความเห็นแก่ตัวไปจากจิตใจเขาได้   (แว๊บหนึ่งในใจ) เขาอาจเผลอคิดว่าเขาคือ "ราชา" ณ กาลปัจจุบัน .. ใครกันน่ะ? แล้วที่ว่างให้เขานั้นคืออย่างไร? จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 11:27:05

ความคิดเห็นที่ 23 ชอบบทสรุปของคุณวินฯตรงนี้ครับ สังคมสงบสุขต้องมาจากการเห็นแก่ผู้อื่นเป็นหลัก  ความเห็นแก่ผู้อื่นไม่ใช่สัญชาตญาณ  แต่เกิดจากการเรียนรู้ "ความคิดของคุณวินฯ...เป็นการเดินทางไกลทางความคิดอีกก้าวหนึ่ง สังคมมนุษย์ที่กล้าเดินทางไกลกว่าผู้อื่นย่อมกำชัยชนะ" ผมคิดว่าตรงนี้เราคิดตรงกัน นอกจากการเรียนรู้ ที่ครอบครัวทำเป็นตัวอย่าง ระบบการศึกษาไทยต้องปฏิรูปเวไนยสัตว์ไทยครั้งใหญ่ ออกแบบหลักสูตรเพื่อการนี้อย่างเร่งด่วน จากคุณ : ขามเรียง เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 11:47:25

ความคิดเห็นที่ 24 ตอบคุณ ขามเรียง บุคคลนิรนามนี้ไม่จำเพาะที่ใครคนใดคนหนึ่งครับ ..(แม้ผมเองมีตัวอย่างใกล้ตัวอยากนำเสนอก็ตาม)  เป็นนามธรรมสำหรับใครก็ตามที่คิดว่าตนมีอำนาจ  แล้วคิดจะเถลิงตัวเป็นใหญ่ในภายภาคหน้า  เปรียบเสมือนการยกตนเป็นมหาราชาในอดีต  ซึ่งแตกต่างจากกษัตริย์ในยุคปัจจุบัน (ตรงนี้ป้องกันการเข้าใจที่ผิด) คนเหล่านี้มักมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะนำพาตัวเองขึ้นไปยืนอยู่บนจุดสูงสุด  ไม่ว่าสาขาอาชีพใดก็ตาม  แรงปรารถนานี้จะไม่สำเร็จผลกับทุกคน  เพราะที่จุดสูงสุดนั้นมีที่อันจำกัด  อาจมีเพียงแค่คนคนเดียวที่จะยืนอยู่ได้  เมื่อเขาเหล่านั้นเบียดเสียดไปจนถึงจุดนั้นแล้ว  มักคิดว่าตนสามารถทำอะไรก็ได้  .. (แว๊บหนึ่งในใจ) เขาอาจเผลอคิดว่าเขาคือ "ราชา" ณ กาลปัจจุบัน .. ตรงนี้ผมอาจได้รับอิทธิพลจากสำนวนประกิตตามหนังฟากตะวันตก  ที่ใครสามารถสร้างตนให้มีอำนาจได้โดยเฉพาะพวกผิวสี  มักประกาศตัวว่า  I'm the King. ส่วนที่ว่างให้เขานั้น คือ ที่ว่างในใจเรา  ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นวัฏจักรมาแล้วไปและก็มาใหม่อยู่ร่ำไป .. เพราะเราจำต้องปลอบประโลมใจเรา ที่เศร้าโศกเสียใจกับความไม่สมบูรณ์แบบในสังคมด้วยการยอมรับความไม่เที่ยงแท้นี้ จากคุณ : vincentlenon เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 12:48:49

ความคิดเห็นที่ 25 ว่ากันตามหลักฐาน ความเห็นแก่ผู้อื่นก็ไม่ได้มีอยู่ในเฉพาะมนุษย์ หรือไม่ได้เกิดจากมนุษย์คนใดคนหนึ่ง สัตว์หลายชนิดก็มีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงความเสียสละต่อเผ่าพันธ์ ถ้าจะมีอะไรที่ยกประโยชน์ให้มนุษย์แล้ว ก็คงอยู่ที่ความสามารถในการทำให้การเสียสละเป็นสิ่งที่ซับซ้อนขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่สัตว์ชนิดอื่นทำไม่ได้ เช่นการทำ Suicide Bomb เป็นต้น เพราะมนุษย์มีความสามารถในการสร้างคุณค่า จากนามธรรมได้ นั่นเป็นสิ่งที่ยังไม่มีสิ่งมีชีวิตใดที่เรารู้จักสามารถทำได้ (อาจจะยกเว้น Primate บางชนิดซึ่งก็ยังต้องศึกษากันอีกมาก) จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 13:53:26

ความคิดเห็นที่ 26 วันนี้วันดีมีเวลาให้รายละเอียดขอพื้นที่คุณ tonymoa สักเล็กน้อย ที่คุณ nexus กล่าวไว้มีประเด็นน่าสนใจ  การ suicide bom หรือการเสียสละต่อเผ่าพันธุ์นั้น  ถึงขั้นเรียกว่าการเห็นแก่ผู้อื่นหรือไม่ ? ขยายความด้านภาษา  การเสียสละมีแต่มนุษย์เท่านั้นที่รู้คุณค่าของคำๆนี้  เพราะภาษากำหนดความนึกคิด  หากคำว่าเสียสละเราเข้าใจว่าคือ สิ่งที่ยิ่งใหญ่  แล้วสัตว์น้อยใหญ่นี้จะรู้ค่าและความหมายของมันหรือไม่ ? หากใช่แล้ว สัตว์เหล่านี้มีความเห็นแก่ผู้อื่น หากไม่แล้ว การกระทำที่คล้ายการเสียสละเพื่อเผ่าพันธุ์นั้นจะกลายเปลี่ยนเป็นการเห็นแก่ตัวเพื่อดำรงค์ไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ตัวเท่านั้น เช่นกัน การ suicide bom นั้นถึงขั้นเรียกว่าการเสียสละเพื่อผู้อื่นหรือไม่ ? การเสียสละและการเห็นแก่ผู้อื่นนั้นหากมันมีคุณค่าที่แท้จริง  ต้องก้าวข้าวการทำเพื่อดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ตัวหรือผลประโยชน์เฉพาะตัว(กลุ่ม)   อาจมีการสร้างค่าความเชื่อเพื่อผลบางอย่างต่อใครบางคน  เช่น  เห็นสัตว์เลี้ยงลูกก็เปรียบเทียบเพื่อให้ผู้ฟังนั้นเกิดความตระหนักถึงหน้าที่และความรับผิดชอบโดยไม่อาจทราบได้ว่าสัตว์เหล่านั้นคิดอะไรและเข้าใจในสิ่งที่พึ่งทำลงไปหรือไม่ ..(มีแต่มนุษย์เข้าใจคำว่าเสียสละจากการใช้ภาษา) เช่นกัน การ suicide bom ก็อาจมีการสร้างค่าความเชื่อเพื่อผลบางอย่างต่อใครบางคนเช่นกัน  และเมื่อเป็นคนย่อมสื่อสารได้  แต่การสื่อสารนี้มนุษย์ทั่วไปก็ไม่อาจพิสูจน์ได้เพราะผู้ส่งสารต้องการสื่อถึงพระเจ้าที่เขาเชื่อ  จึงยังไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าพระเจ้าที่เขาเชื่อเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นการเสียสละหรือไม่ ? จากคุณ : vincentlenon เขียนเมื่อ : 19 ก.ค. 54 14:33:16

ความคิดเห็นที่ 27 การเสียสละ   ไม่ใช่  การไม่ได้อะไร  เพื่อตนเอง เพราะ  ว่าถึงที่สุดแล้ว    มันคือ การรวมเป็นหนึ่งเดียวกับอุดมการณ์  อุดมคติ หรือสิ่งพึงปรารถนา คุณค่า  ได้กลืนกิน  ปัจเจกภาวะ  เพื่อ  สิ่งที่เชื่อว่า สูงกว่าข้อเท็จจริง  ข้อมูล หรือ โลกทางวัตถุ มันเป็น  การเห็น  การผุดบังเกิด  การสังเคราะห์  การเข้าถึง  การลืมตน  การอุทิศตน และการปฏิเสธความ ไร้สาระของชีวิต(เยี่ยงสัตว์)  การเสี่ยงภัย   การพิสูจน์หรือทดลองความจริง   เป็นเรื่องส่วนตัวสุดๆหรือ เรื่องส่วนรวมอันยิ่งใหญ่(สุดแท้แต่การเห็นของผู้สังเกตุ) มองโดยรวม   โลกนี้ ไม่สมบูรณ์พร้อม  และไม่มีวันเป็นเช่นที่อยากให้เป็น อย่างสถิตย์ มีวาระสำหรับสรรพสิ่ง   ในทุกเรื่องราว   จังหวะคือโชคชะตา  หรือ  ใครกำหนด? ความแตกต่าง   ความหลากหลาย   และการเข้าถึง เพื่อจะรับรู้มัน  นั่นคือ  ความหมายที่ทำให้แตกต่าง การเห็นพ้อง   กลายเป็น จิตสำนึกร่วมสมัย   และคือ การปรากฏตัวของเจตจำนงร่วม ไม่มีความดีงาม   ที่ปราศจาก  การทำงานของสิ่งชั่วร้าย มนุษย์หนีทุกข์  และเข้าหาความสุข  และคิดถือเป็นสิ่งที่ดีมาแต่ไหน มีแต่  การปราฏของวิริยภาพที่สะท้อนเจตจำนง  คือ  สารัตถะแห่งความเป็นมนุษย์ที่พึ่งรับรู้ได้ ความสุขที่ถูกห่อหุ้มด้วยวิริยภาพท่ามกลางการดิ้นรน  เพื่อทั้งหมด ของทั้งหมด  คือ  ทางเลือกของผู้ได้เลือก   ไม่ใช่ความชั่วหรือความดี   มากกว่า   การพิสูจน์ความจริง จากคุณ : dicky5 เขียนเมื่อ : 21 ก.ค. 54 08:35:12