ความคิดเห็นที่ 1 แก้คำผิด ความแตกต่างอย่างเดียวระหว่าง 1. กับ 2. คือ เมื่อเกิดเหตุวิกฤติ 1. จะสามารถนำพารถให้รอดจากอุบัติเหตุมาได้ ในขณะที่ 2 อาจทำไม่ได้ จากคุณ : พเนจร เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 08:05:58 A:115.87.32.13 X: TicketID:324569

ความคิดเห็นที่ 2 เข้าใจว่าคุณบรรณาธิการของคุณนพดล คงเกิดอารมณ์ค้างมาจากกระทู้นี้ คุณนพดล เวชสวัสดิ์ แปล twilight ออกมา ไม่ดีเหรอครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10846881/K10846881.html แปะลิ้งค์ไว้ เผื่อคนไม่ทราบครับ จากคุณ : เย็นสิทธิ์ เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 08:40:42

ความคิดเห็นที่ 3 ต้องย้อนถามว่า 4. ขับรถภายใต้เงื่อนไขไหนล่ะครับ ถ้า 4. ขับรถในพิธีการที่คนขับต้องเคร่งครัดต่อหน้าที่   ทำตัวล่อกแล่กไม่ได้   ก็ต้องเป็นไปตามนั้น แต่ถ้าขับรถไปเที่ยวกับเพื่อนหรือครอบครัวก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง   ทำแบบ 2. บ้างก็ได้ เมื่อผมแปลเอกสารวิชาการที่เฉพาะทางมากๆ   ผมก็ทำตัวแบบ 4  แต่ก็ไม่เคยมีใครเข้าใจว่าผมคือ 3   ของแบบนี้มันวัดความรู้กันได้ครับว่าแตกฉานแค่ไหน ถ้าแปลนิยาย   ก็ทำตัวแบบ 2 จากคุณ : Tanis เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 08:49:44

ความคิดเห็นที่ 4 ข้อแตกต่างระหว่างขับรถ กับ การแปล คือ หากมีอุบัติเหตุอาจตายได้ แต่กับการแปล หากขับห่วยหรือเจออุบัติเหตุ อย่างมากสุดก็แค่โดนด่าแต่ชีวิตก็ยังเดินหน้าต่อได้ ยังสามารถขับให้ดีกว่าเดิมได้ แต่ก็นะ..ขับรถโดยสารแล้วพาผู้โดยสารจำนวนมากไปด้วยมันก็ต้องมีความรับผิดชอบที่มากกว่าการขับรถส่วนบุคลอยู่แล้ว ^_^ จากคุณ : เขียนบน iPhone (LightBlaze) เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 09:02:47

ความคิดเห็นที่ 5 ซำ้.. ขออภัย ปล. ส่วนตัวไม่คิดว่าการขับรถคะนองจะเอาตัวรอดได้ดีกว่าหรอกครับ แถมมีโอกาสพาคนที่ไม่เกี่ยวข้องอีกมากมายซวยไปด้วย วิธีการเอาตัวรอดที่ดีที่สุดคือ ต้องมีสติอยู่ตลอดเวลาครับ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามที แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 09:15:27 จากคุณ : เขียนบน iPhone (LightBlaze) เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 09:05:55

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่ทราบว่า จขกท ตั้งคำถามอะไร แต่จะบอกให้ว่าลักษณะการขับรถ 4 อย่างที่คุณยกมาแล้วมาเทียบกับการแปล การตัดสินใจมันไม่เหมือนกันหรอก จะยกตัวอย่างให้ดู ตอนเราทำงานรับเงินเดือนในบริษัทแปล เจ้านายเราไปรับงานแปลโครงการขนาดใหญ่มา ในสัญญาว่าจ้างแปลที่เซ็นกับลูกค้ามีเงื่อนไขว่า "ต้องแปลให้ทันภายในกำหนด...(วันที่)...หากมิเช่นนัี้นแล้วบริษัทแปลจะโดนปรับเป็นเงิน...(จำนวนเงิน)..." เรากับนักแปลคนอื่นๆในบริษัทต้องช่วยระดมกำลังกันแปล พวกเราไม่สนหรอกว่าจะแปลผิด (ขับรถชนใคร) หรือไม่ ต่างคนต่างใส่ teen หมาโกยแน่บ ตะลุยพิมพ์คำแปลหูดับตับไหม้ เพราะ "เงื่อนไขว่าต้องแปลให้เสร็จทันกำหนดม่ายงั้นโดนปรับเป็นเงินมหาศาล" มันทำให้มาพิถีพิถัน (ขับรถตัวเกร็ง) ไม่ได้หรอก ถ้าบริษัทตัวเองต้องเสียค่าปรับเป็นเงินตั้งมหาศาลพวกเราก็ใจไม่ดีอะนะ ถ้าแปลผิดแล้วลูกค้าทักท้วงมาก็ค่อยมาแก้ให้ลูกค้าทีหลัง เล่นทำสัญญาบีบคอกันแบบนี้มันก็ต้องแปลแบบนี้แหงๆอยู่แล้ว แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 09:28:18 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 09:26:28

ความคิดเห็นที่ 7 ...ลบทิ้ง พิมพ์ผิดเยอะเกินไปเช้านี้งัวเงีย... แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 10:27:00 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 10:12:55 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 10:09:50 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 10:04:04 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 10:01:35

ความคิดเห็นที่ 8 แม้กระทั่งขับรถก็เถอะ การขับตัวเกร็งเราว่ากลายเป็นมีอุบัติเหตุมากขึ้นนะ มนุษย์เราร่างกายและสมองประสานงานกันแบบที่เรียกว่า mind-body coordination มีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อคุณ feel completely relaxed นักมวยที่ทำท่าเบ่งกล้ามแล้วเกร็งหมัดชกนี่หมัดไม่หนักหรอก แต่นักมวยที่ปล่อยกล้ามเนื้อหลวมๆสบายๆแล้วต่อยด้วยสมาธิ focused ให้หมัดทะลวงผ่านเป้าไปเลยนี่หละหมัดหนักของแท้ คนที่ feel completely relaxed จะตอบสนองในยามฉุกเฺฉินจาก subconscious ได้ดีกว่า เราเคยเห็นตัวอย่างของการตัดสินใจอย่างเฉียบขาดแบบ "ไม่เกร็ง" ของเพื่อนเราคนหนึ่งที่เขาช่วยให้เรารอดชีวิตมาได้ คืนหนึ่งเขาขับรถมาส่งเราที่แจ้งวัฒนะ กำลังมาทางคลองประปาห้นห้วไปทางแจ้งวัฒนะ(พงไม้อยู่ทางซ้าย คลองอยู่ทางขวา) ก็ขับตามเลนตัวเองมาอย่างสุภาพ อยู่ดีๆมีรถ 10 ล้อขับสวนทางมาแบบทะแยงกินเลนพุ่งเข้าใส่โดยเจตนาจะชนให้ตายคาที่ เพื่อนเราตัดสินใจจาก subconscious หักหลบเข้าพงไม้ข้างทาง (สมัยนั้นมีพงไม้แต่ตอนนี้เขาถางออกไปแล้ว) แล้วจอดนิ่งอยู่ในขณะที่ไอ้รถ 10 ล้อมารร้ายมันบึ่งหายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว เรานึกแช่งให้แมร่งไปลงนรกซะเร็วๆ พอหายตลึงเราเปรยขึ้นมาว่า "เฮ้ยแมร่งกะจะฆ่ากันนิหว่า...ถ้าเกิดมีเด็กเล็กๆเดินเตาะแตะอยู่ในพงไม้นี้มรึงจะว่าไงวะ" เพื่อนเราตอบว่า "ก็ต้องอโหสิกรรมให้กรูด้วยเพราะกรูดูไม่ทันหรอก...คือต้องเอาชีวิตตัวเองให้รอดไว้ก่อน" เราเห็นลักษณะที่เพื่อนเราขับรถมาเขาก็ felt completely relaxed นะ ในรถนั่งกันมา 4 คน พูดคุยกันมาอย่างสนุกสนานตลอดทาง ไม่เห็นจะต้องเกร็งอะไรเลย คิดๆถึงความแตกต่างของขนาดและน้ำหนักของรถ 2 คัน แล้วเสียวไส้แฮะ รถเพื่อนเราเป็น BMW รถ 10 ล้อสินค้าบรรทุกมาเต็มคัน ถ้าหักหลบมันไม่ทันหละรับรองว่าเละแน่ๆ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 10:26:25

ความคิดเห็นที่ 9 ชอบชื่อประเด็นมากมาย รู้จักใช้ความเปรียบดี แต่ไม่กล้าเม้นต์ต่อแล้วอ่ะ เหนื่อย จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 11:47:42 A:49.49.96.223 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 10 ^ ถ้าคิดเช่นนั้นได้ก็ลองเรียนรู้เรื่องการแปลจากหนังกำลังภายในเรื่องตั๊กม้อดู ตั๊กม้อจาริกจากอินเดียไปก่อตั้งวัดเส้าหลินที่จีน สอนศิษย์อยู่หลายปี พอถึงเวลาจะจากไปก็ต้องหาคนมาสืบทอดเป็นเจ้าอาวาสองค์ต่อไป ตั๊กม้อให้ศิษย์ทุกคนผลัดกันออกมา present เรื่อง Zen ที่เรียนไป ศิษย์ทุกคน cited ทฤษฎีต่างๆมากมาย แต่พอถึงรายสุดท้ายเขาเข้ามาคุกเข่านิ่งๆด้วยจิตที่สงบอยู่หน้าตั๊กม้อโดยไม่พูดอะไรเลยสักคำ ตั๊กมอเพ่งดูเขาอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า "เจ้าเป็นเพียงผู้เดียวที่ได้เรียนรู้ทุกอย่างที่ข้าสอนไป ดังนั้น ข้าจะแต่งตั้งให้เจ้าสืบทอดเป็นเจ้าอาวาสวัดเส้าหลินองค์ต่อไป!" แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 19:37:31 แก้ไขเมื่อ 27 ก.ค. 54 14:01:24 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 27 ก.ค. 54 13:59:04