ความคิดเห็นที่ 1 ลืมบอกไปค่ะว่าเราทำงานแล้วน่ะค่ะ ก็เลยกลัวว่าตอนเย็นจะไปเรียนไม่ทัน (อาจจะต้องออกจากที่ทำงานเร็วขึ้น) และเกรงว่าถ้าอาจารย์สั่งการบ้านทุก ๆ วัน และทุกวิชาก็สั่งเหมือนๆ กัน จะทำไม่ทันน่ะค่ะ รบกวนแนะนำด้วยนะค๊า ขอบคุณค่ะ จากคุณ : แด่ความทรงจำดีๆ ของเรา เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 54 12:38:31 A:124.120.32.204 X: TicketID:325036

ความคิดเห็นที่ 2 ปริญญาโทการแปลเหมาะสำหรับคนที่ทักษะทางด้านภาษาคู่ที่จะแปลดีพอสมควรและพอแปลอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวบ้างอยู่แล้ว เพราะหลักสูตรจะเป็น 1. การเรียนทฤษฎีการแปลเพื่อไปเป็นนักวิชาการด้านการแปล 2. เพื่อไปเรียนต่อปริญญาเอกด้านภาษาและไปสอนภาษาหรือการแปลในมหาลัยต่อไป 3. เพื่อไปถกกับพวก academia โดยเฉพาะอย่างยิ่ง discourse เรื่องทฤษฎีการแปลโดยมันจะช่วยให้คุณดูน่าเลื่อมใสยิ่งๆขึ้นเพราะคุณสามารถคุยเรื่อง technical jargon สำหรับนักวิชาการด้านการแปลได้อย่างมั่นใจ ในขณะที่คนที่ไม่รู้ทฤษฎีการแปลอย่างเราพอคุยกับนักวิชาการด้านการแปลแค่ไม่กี่คำเราก็ต้องวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวถึงแม้ว่าเราจะทำงานแปลได้ในระดับมืออาชีพก็ตาม 4. เพื่อเอาวุฒิการศึกษาเป็นใบเบิกทางเพื่อให้หางานง่าย ^ ซี่งถ้าคุณมีคุณสมบัติตามวรรคแรกสุดที่เราพูดถึง เรื่องที่คุณกังวลก็ไม่น่าที่จะมีปัญหาใดๆทั้งสิ้น แต่ในทางกลับกันถ้าทักษะทางด้านภาษาคู่ที่คุณจะแปลยังไม่ดีพอ และคุณยังแปลอะไรไม่ได้เลย แต่คุณดันฟลุ๊กสอบเข้าไปได้ โดยที่คุณหวังที่จะเรียนเพื่อพัฒนาทักษะด้านภาษาและการแปลให้ใช้เขียนภาษาอังกฤษเก่งขึ้นหรือแปลเก่งขึ้น (เพราะคุณยังไม่รู้วิธีเรียนภาษาและเรียนการแปลด้วยตนเองคุณจึงหวังพึ่งหลักสูตรปริญญาโท) ละก้อ คุณอาจจะมีปัญหาในการเรียนให้จบ หรืออาจเรียนจบ แต่จบมาแล้วก็ได้แต่ถกกับ academia เรื่องทฤษฎีการแปลได้ แต่พอลงมือแปลจริงๆตอนส่งตัวอย่างการแปลไปสมัครงานแปลหนังสือกับสำนักพิมพ์ หรือส่งตัวอย่างการแปลไปประมูลงานแปลเอกสารราคาแพงๆในโครงการใหญ่ๆแข่งกับนักแปลรายอื่นๆ คุณก็อาจไม่ได้งานทำ ^ แต่จะอย่างไรก็ตามถ้าจบมาแล้วดวงจู๋ขนาดแข่งขันแล้วอยู่ไม่รอดในตลาดงานแปล วุฒิปริญญาโทยังช่วยให้คุณสมัครงานกับหน่วยงานราชการที่จัางคนตามวุฒิได้ หรือสมัครงานกับบริษัทเอกชนที่รับสมัครพนักงานตามวุฒิโดยไม่มีการทดสอบเพราะผู้บริหารบริษัทไม่มีความรู้ด้านภาษา จึงต้องดูแต่วุฒิการศึกษาเป็นหลักใหญ่ๆในการรับสมัครพนักงาน ซึ่งในประเทศไทยจะมีหน่วยงานหรือบริษัทเหล่านี้ให้งานคุณทำได้ ดังนั้น โปรดทำความเข้าใจว่า "ปริญญาโทการแปลไม่ได้เรียนเพื่อให้เขียนภาษาอังกฤษเก่งขึ้นแล้วก็ไม่ได้เรียนเพื่อให้คนแปลไม่เป็นกลายเป็นแปลเก่งขึ้นมาได้เมื่อจบหลักสูตรแค่ 2 ปีแล้ว" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 28 ก.ค. 54 21:36:40

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ได้เรียนทุกวันจันทร์ถึงศุกร์เลยนะคะ จะเป็นเทอม ๆ ไป เช่น เทอมนี้ จันทร์ พุธ เสาร์  เทอมหน้าอังคาร พฤหัส เสาร์ เป็นต้น  แต่ไม่ได้เรียนทุกวัน การบ้านส่วนมากจะเป็นอาทิตย์ต่ออาทิตย์ค่ะ สั่งพุธนี้ ส่งพุธหน้า  แต่ก็มีบางครั้งสั่ง พุธ มีเรียนเสาร์ ก็ให้เอามาใส่ตะกร้าส่งด้วยนะ เป็นต้น เพราะบางครั้งอาจารย์ต้องเอางานไปตรวจก่อนแล้วจะได้มาคืน หรือมาคอมเม้นท์ให้ในวันที่มีเรียน หรือบางครั้งก็ส่งงานทางอีเมล์ค่ะ การแปล มีทั้งจากไทย-อังกฤษ และ อังกฤษ -ไทย ค่ะ ปีหนึ่งต้องทำใจ จะเน้นพวกทฤษฎีการแปล และองค์ความรู้ต่างๆที่เป็นพื้นฐาน เช่น ความรู้ด้านภาษาศาสตร์ ภาษาไทยเพื่อการแปล ทฤษฎีการแปล  เพราะฉะนั้นก็อ่านหนังสือเยอะ ทำรายงาน นำเสนองานเยอะหน่อยค่ะ แต่เน้นความเข้าใจ ยังไม่ได้ลงลึกถึงการแปลแต่ละประเภทนัก ส่วนมากเป็นคนทำงานแล้วค่ะ ก็พวกๆที่ทำงานที่เกี่ยวกับงานแปลก็เยอะ บรรณาธิการเอย อาจารย์เอย หรือนักแปลฟรีแลนซ์เองก็มีค่ะ สอบประมวล ก็หินพอสมควร แบ่งออกเป็นคนที่สอบประมวลของภาค ก และ ภาค ข ข้อสอบไม่เหมือนกันค่ะ  ให้สอบได้สามครั้งต้องผ่าน หลายๆคนก็เห็นผ่านในครั้งที่สามเลย บางคนก็ครั้งเดียวผ่านแล้วแต่การเตรียมตัวค่ะ ส่วนมากก็จะจบตามหลักสูตร คือ 2 ปีครึ่ง เพราะกำหนดไว้เท่านั้นอยู่แล้ว บางคนก็สามปี  เราเองก็สามปีล่ะ  แต่ที่ยังไม่จบเพราะตัวเองยังไม่ยอมทำอะไรให้จบเองค่ะ เลยยังค้างๆคาๆ เลือกทำภาค ก วิทยานพินธ์ ไม่ค่อยมีใครทำกันนัก เลยยังค้างคาอยู่ แต่ไม่ได้ซีเรียสค่ะ ก็พยายามให้จบภายในเทอมหน้า มีอะไรหลังไมค์มาก็ได้ค่ะ แก้ไขเมื่อ 29 ก.ค. 54 01:04:01 จากคุณ : Untranslatibility เขียนเมื่อ : วันภาษาไทยแห่งชาติ 54 01:03:18

ความคิดเห็นที่ 4 ^^^^^^^ ขอให้จบเทอมหน้าอย่างสมใจนึกนะครับ และขอขอบคุณในการให้กำลังใจคนที่เข้าสู่วงการแปลโดยผ่านเส้นทางวิชาการ (แบบมีหลักมีการบ้าง) ส่วนเรื่องชั่วโมงบินในการทำงาน อันนี้ก็แล้วแต่ละบุคคล อย่างที่ คห ข้างต้นว่ามา จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง เขียนเมื่อ : 30 ก.ค. 54 03:20:50 A:49.49.96.223 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณคุณปรารถนาดีฯ นะคะสำหรับคำอวยพร จริงๆ ตอนนี้ตัวเองก็หันเหออกจากอาชีพนักแปลไปเป็นอาจารย์ค่ะ ส่วนตัวเรามองว่า การเป็นนักแปลอาชีพ สำหรับบางท่านอาศัยความรู้ความสามารถเฉพาะตัวและทำให้เชี่ยวชาญได้ขนาดนั้น ต้องยอมรับว่าเก่งมากๆค่ะ เราเองเป็นนักแปลที่ไม่ได้เก่งกาจอะไรเลย ไม่ได้แปลเป็นอาชีพ แค่รับงานแปลเล็ก ๆ น้อย ๆ ตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวย   ที่เลือกเรียนด้านนี้ เพราะความสนใจเท่านั้นเอง แล้วก็จริงๆ อยากจะบอกว่าเราได้แรงบันดาลใจจากการไปเรียนแปลเพราะกระทู้ของคุณหมอดูเมื่อนานมาแล้ว เรื่องคนแปลไม่ได้เรียน คนเรียนไม่ได้แปล ประมาณนี้ล่ะค่ะ จริง ๆ ก็ต้องขอบคุณคุณหมอดูเหมือนกันนะคะ สำหรับเราการเรียนวิชาการเหล่านี้ ก็เหมือนการทำความเข้าใจพื้นฐานว่าองค์ความรู้ใดบ้างที่จะเป็นประโยชน์ในการแปลเพื่อการผลิตหรือสร้างผลงานแปลที่มีคุณภาพ เราเคยเรียนภาษาศาสตร์มา เราก็อยากรู้ว่าสิ่งที่เราเคยเรียนมานำมาประยุกต์ใช้ในศาสตร์การแปลได้อย่างไร  การเพิ่มเติมความรู้ด้านวิชาการนี้เป็นประโยชน์กับเรา  อย่างไรก็ตามเราก็มองว่า ความรู้ด้านวิชาการนั้น ๆ ต้องควบคู่ไปกับการฝึกและการแปลบ่อยๆ จึงจะทำให้เราเป็นนักแปลที่มีคุณภาพได้  แต่เรายังไปไม่ถึงจุดนั้นค่ะ ปล. เห็นกระทู้ก่อนหน้าของคุณปรารถนาดีที่พูดถึงเรื่องการแปลในแง่มุมวิชาการและการตอบคำถามในกระทู้อื่น ๆ แล้วชื่นชมค่ะ จากคุณ : Untranslatibility เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 54 01:24:37

ความคิดเห็นที่ 6 อ้อ คุณ จขกท ค่ะ เรื่องไปเรียนให้ทันนั้น รุ่นเราค่อนข้างมีปัญหาเรื่องไปเรียนสาย ถือเป็นรุ่นที่อาจารย์เอือมรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเราแนะนำว่าอาจจะต้องออกจากที่ทำงานเร็วหน่อยนะคะ เพราะกว่าจะไปถึงที่ท่าพระจันทร์ก็นะ ลำบากทีเดียว แต่ถ้าคิดจะเรียนแล้วอะไรก็คงไม่ยากเกินจะลองหรอกนะคะ โชคดีค่ะ แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 54 01:27:57 จากคุณ : Untranslatibility เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 54 01:27:34

ความคิดเห็นที่ 7 ยิ่งสบายใหญ่เลยครับ ถ้าคุณเคยทำงานแปลมาบ้างแล้ว เคยจะมองเห็นภาพและปัญหาในการทำงานในการเปลี่ยนภาษาแต่คง "สาร" เดิมเอาไว้ ได้ชัดเจน ทฤษฏีที่ธรรมศาสตร์ใช้จะนำมาจาก ESIT (สถาบันการแปลและล่ามชั้นสูง) แห่งปารีส ผู้ก่อตั้งเป็นล่ามมืออาชีพ ได้นำเอาประสบการณ์ของตนมากอรปขึ้นเป็นทฤษฏีและหลักการ โดยล้มล้างความเชื่อที่ว่า "การแปลนั้นการการทำงานเฉพาะระดับภาษาเท่านั้น" หากมีเวลาขอให้หาหนังสือ "ศาสตร์การแปล" ที่ผู้ก่อตั้งสถาบันดังกล่าวเขึยนขึ้น" โดยมี รศ นพพร ประชากุล เป็นบรรณาธิการ เอ้ย ลืมไปว่าคุณ จขกท น่าจะกำลังเรียนอยู่อาจจะรู้จักหนังสือเล่มนี้แล้ว กลายเป็นเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนเสียแล้ว อย่างนั้นขอให้สนุกกับการทำวิทยานิพนธ์ก็แล้วกันนะครับ (หากจะเป็นอาจารย์ ต้องเลือกทำแผน ก ที่ต้องทำวิทยานิพนธ์) จากคุณ : ปรารถนาดี ไม่มีแอบแฝง เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 54 17:45:51 A:49.49.96.149 X: TicketID:301976