ความคิดเห็นที่ 1 1.ถ้าเรียนนิติศาสตร์ ตั้งแต่ปริญญาตรีที่ต่างประเทศ(เช่นอเมริกา) จะมีสิทธิ์เป็นทนาย หรือสอบเป็นอัยการ/ผู้พิพากษา ในประเทศไทย ได้ไหมครับ ไม่ได้ จะต้องได้ น.บ.จากมหาวิทยาลัยในประเทศไทย + น.บ.ท. เท่านั้น 2.เห็นว่าที่อเมริกา จะเรียนเป็นทนายได้ ต้องจบ ป.ตรี สาขาไหนก็ได้ มาก่อน แล้วเมื่อเรียนนิติ จะได้วุฒิเป็น J.D. อยากทราบว่ามันต่างกับ LL.M และ Ph.D(Law) ยังไงบ้างครับ เป็นระบบเฉพาะของอเมริกาเค้าเท่านั้น ที่ปริญญาตรีทางกฎหมายของเค้ากำหนดว่าจะต้องจบตรีสาขาใดสาขาหนึ่งมาก่อนจึงจะเรียนป.ตรีกฎหมายได้ และป.ตรีกฎหมายของเค้าไม่ใช่ในความหมายที่คนทั่วไปเข้าใจกัน ไม่สมควรนำมาเทียบกับ B.A. B.Sc. BBA ที่เป็นปริญญาใบแรกจริงๆอย่างในประเทศไทยให้ ส่วน LL.B. นั้นไม่มีที่ใดเปิดสอนในอเมริกา แต่จะมีสอนในมหาวิทยาลัยของอังกฤษที่ระบบเหมือนกับประเทศไทย ที่ให้เด็กเพิ่งเรียนจบม.ปลายเรียน LL.B. เป็นปริญญาใบแรกได้เหมือนในประเทศไทย LL.M. คือปริญญาโททางกฎหมาย ที่อเมริกาใช้เวลาเรียนประมาณเก้าเดือน Ph.D.(Law) ,SJD หรือ JSD คือปริญญาเอกทางกฎหมาย 3.J.D. ย่อมาจากอะไร และแปลว่าอะไรครับ Juris Doctor 4.หลักสูตรปริญญาตรีที่อเมริกา มีหลักสูตรที่เรียนเกี่ยวกับกฎหมาย(โดยไม่ต้องเป็น LL.B ก็ได้)บ้างไหมครับ เคยเห็นมีเป็น B.A ด้วย มีที่ไหนบ้างครับ และแบบ B.A จบไปทำอะไรได้บ้าง (ไม่อยากเรียนสาขาอื่น จะเรียนทั้งที เรียนตรีโทเอก ให้เป็นเกี่ยวกับกฎหมาย/การว่าความ หมดเลยดีกว่า) เท่าที่ผมทราบ คือ ไม่มีครับ อย่าง Harvard Law School จะเปิดสอนเพียงสามหลักสูตรที่ให้ปริญญา คือ JD LL.M และ J.S.D. เท่านั้น และเท่าที่ผมทราบ ไม่มีที่ไหนให้ปริญญาทางกฎหมายเป็น BA เลยครับ ขนาดมหาวิทยาลัยในเมืองไทยเอง ปริญญาตรีทางกฎหมายเค้ายังให้เป็น LL.B. เลย 5.จะเรียนด้านนี้ ทั้ง ตรีโทเอก ระหว่าง ออสเตรเลีย กับ อเมริกา ที่ไหนการศึกษาดีกว่ากันครับ (อยากไปอังกฤษ แต่แพง เซง เศร้า) 6.แล้วระหว่าง ออสเตรเลีย กับ ไทย ที่ไหนดีกว่ากันครับ ไม่ทราบเหมือนกัน รอคนอื่นมาตอบ 7.อยากเป็นทนาย และอัยการ ที่ต่างประเทศ มีประเทศไหนที่ให้เป็นได้ โดยที่ไม่ต้องมีสัญชาติของประเทศนั้นๆบ้างครับ (โดยเฉพาะอเมริกา อยากอยู่ที่นั่นมาก) อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน รอคนอื่นมาตอบ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 54 12:51:08 A:61.90.78.128 X: TicketID:148075

ความคิดเห็นที่ 2 ตอบเฉพาะข้อที่ตอบได้นะคะ 2. J.D. ในอเมริกาเรียกว่าเป็นปริญญาทางกฎหมายปริญญาแรกที่คนๆ หนึ่งจะเรียนได้ก็ว่าได้ค่ะ เพราะปริญญาตรีทางกฎหมายไม่ค่อยมีแล้ว (หมายถึงที่อเมริกานี่นะคะ) สมัยก่อนมีการสอนเพื่อให้ปริญญา LL.B. เป็นหลักสูตร 1 ปี เป็นปริญญาเพื่องานอาชีพ ก็เลยไม่มีการสอนวิชาพื้นฐานอื่นๆ เหมือนที่ระดับปริญญาตรีสาขาอื่นต้องเรียนกัน ก็เลยเกิดเป็นปัญหาว่าคุณภาพนักศึกษาจบออกมาแล้วจะไม่ดีพอ ตอนหลังๆ คือต้นศตวรรษที่ ๒๐ ก็เลยมีการสร้างหลักสูตร J.D. (Juris Doctor) ขึ้นมา เป็นหลักสูตร 3 ปี คนที่จะเข้าเรียนได้จะต้องจบปริญญาตรีสาขาไหนก็ได้มาก่อน หลักสูตร LL.B. ก็เลยค่อยๆ หายไป ทีนี้ในเมื่อ J.D. เป็นปริญญาแรกของคนที่นี่ที่เป็นทางด้านกฎหมาย ใครที่ต้องการต่อปริญญาโทกฎหมายเฉพาะสาขาก็ต้องได้ J.D. ก่อนจึงจะไปต่อ LL.M. ได้ หมายถึงถ้าอยากเรียนต่อนะคะ แต่ส่วนใหญ่จบ J.D. ก็ไม่เรียนต่อกันแล้ว แต่นักศึกษาจากชาติอื่นซึ่งเรียนปริญญาตรีทางกฎหมายมาก่อนแล้วก็อาจสมัครมาเรียนต่อ LL.M. ได้เลย หลักสูตร LL.M. เป็นหลักสูตร 1 ปีค่ะ 3. J.D. - Juris Doctor 4. การเรียนกฎหมายที่อเมริกาไม่เหมือนเมืองไทยค่ะ เมืองไทยมีหลักสูตรนิติศาสตร์ในระดับปริญญาตรี แต่อเมริกาหาหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายในระดับปริญญาตรีไม่ค่อยมีแล้วค่ะ อาจมี แต่ก็นึกไม่ออกในตอนนี้ว่าเป็นหลักสูตรอะไร 7. เป็นทนาย หรืออัยการในอเมริกาถ้าไม่ถือสัญชาติอเมริกันหรือมีใบอนุญาตทำงานแล้วยากมากค่ะ แทบเป็นไปไม่ได้เลยมั้งคะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 54 12:59:13

ความคิดเห็นที่ 3 ต่ออีกนิด พูดถึงอัยการ อัยการเขต (district attorney) ที่อเมริกานี่เป็นตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งนะคะ ก็เหมือนนักการเมืองดีๆ นี่เอง พูดถึงเรื่องนี้ก็เพราะผู้คนแถวบ้านบางคนพากันเก๊กซิมอัยการเขตที่นี่ เพิ่งได้รับเลือกเข้ามาเป็นสมัยที่ 2 ทำหน้าที่รอบสองนี่ได้ปีกว่า ไปสมัครลงเลือกตั้งเป็น U.S. Congress เฉยเลย แถมได้รับเลือกด้วย เล่าเรื่องนี้ก็เพราะจะชี้ให้เห็นค่ะว่าคนต่างชาติจะเป็นอัยการเขตนี่ยากกกกมากกกก จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 54 13:17:41

ความคิดเห็นที่ 4 เข้ามาเก็บข้อมูลค่ะ ^^ จากคุณ : flying~bunniie เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 54 16:18:02

ความคิดเห็นที่ 5 ข้ออื่นๆคนอื่นตอบไปหมดแล้ว เราจะตอบข้อ 7 จากประสบการณ์การแปลภาษากฎหมายมากว่า 15 ปี 7.อยากเป็นทนาย และอัยการ ที่ต่างประเทศ มีประเทศไหนที่ให้เป็นได้ โดยที่ไม่ต้องมีสัญชาติของประเทศนั้นๆบ้างครับ (โดยเฉพาะอเมริกา อยากอยู่ที่นั่นมาก) ตอบ สมมุติว่าคุณเผอิญโชคดีแต่งงานกับฝรั่งชาวอเมริกันนะ แล้วได้ green card แล้วได้สัญชาติอเมริกัน แล้วคุณจบกฎหมายที่อเมริกา เราว่าคงยากที่จะเป็นทนายที่นั่นได้เพราะภาษาอังกฤษจะใช้งานระดับยากโหดๆขนาดนั้นได้คุณต้องไปเรียนที่นั่นตั้งแต่ระดับประถมหรือมัธยมเลยหละ ถ้าไปเรียนตอนโตแล้วกว่าคุณจะเขียนภาษาอังกฤษแบบภาษากฎหมายให้รัดกุมเป็นธรรมชาติ เราว่ามนุษย์ธรรมดาๆที่ไม่ใช่อัฉริยะทางด้านภาษา ถ้าไปเรียนอเมริกาตอนจบปริญญาตรีจากไทยแล้ว กว่าจะเก่งภาษาอังกฤษขนาดว่าความสู้กับฝรั่งได้ คุณคงต้องเรียนภาษาอังกฤษอย่างหนักทุกวันไปจนอายุ 50 ปีซะก่อนเป็นอย่างน้อยที่สุด! ^ เราเคยพูดแบบนี้ในกระทู้เก่าๆเมื่อหลายปีก่อน แล้วคนไทยที่จบปริญญาตรีในเมืองไทยกำลังจะไปเรียนต่อกฎหมายในอเมริกาหรืออังกฤษไม่เชื่อ หาว่าเราพูดเหลวไหลเกินความจริง แต่หลายๆคนเรียนไป แล้วแทบจะเรียนไม่จบ ถึงเรียนจบก็ต้องเผ่นกลับมาทำงานเมืองไทย ทำงานใช้ภาษายากๆระดับนี้แข่งกับฝรั่งเจ้าของภาษามันเป็นไปได้ยากมากๆ มีนักศึกษาหลายรายที่เรียนกฎหมายในมหาลัยอังกฤษหรืออเมริกาแล้วเขียน thesis หรือ dissertation ไม่ผ่าน แล้วมาจ้างเราช่วยเขียน มันต้องแก้กันเยอะมากๆ เพราะบางทีนักศึกษาอ่านคดีตัวอย่างมาแล้วสรุปมาผิดแบบโจทก์ชนะอ่านเป็นจำเลยชนะ หรืออ่านพวก jurisprudence มา เข้าใจผิดไปกันคนละเรื่องเลย มีเยอะมากๆ แต่ที่เราทำได้ก็เพราะว่าเราเรียนต่างแดนตอนระดับมัธยมตั้งแต่อายุสิบกว่าขวบมาก่อน และเคยแปลเอกสารกฎหมายมาเกิน 15 ปี แต่ถ้าใครอยู่ดีๆจบปริญญาตรีเมืองไทยแล้วต้องเรียนภาษาอังกฤษยากขนาดนี้ให้ได้ภายในเวลาแค่ 2-5 ปี เราว่ามนุษย์ธรรมดาทำได้ยากมากๆ เว้นเสียแต่ว่าจะเป็นอัฉริยะทางด้านภาษาจริงๆ แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 54 17:04:49 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 54 17:01:35

ความคิดเห็นที่ 6 อีกนิดค่ะ อาชีพทนายความในอเมริกาต้องสอบ bar exam ค่ะถึงจะทำงานได้ และคนที่จะเข้าสอบ bar ได้ก็ต้องมีปริญญา JD อย่างเดียวเท่านั้น เพราะเป็นปริญญาเดียวที่ American Bar Association รับรอง และก็อย่างที่คุณ fortuneteller ว่าค่ะ เรียน JD ต้องภาษาอังกฤษขั้นเทพจริงๆ ส่วนเรียน LLM เห็นมีนักศึกษาต่างชาติเรียนกันเยอะ อาจอลุ้มอล่วยเรื่องภาษาบ้าง เพราะถึงอย่างไรคนที่จบ LLM แต่ไม่มี JD ก็ทำงานเป็นทนายความในอเมริกาไม่ได้อยู่แล้ว จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 54 23:21:22

ความคิดเห็นที่ 7 LL.M. นี่ก็ไม่ได้อลุ้มอล่วยเรื่องภาษาอังกฤษนะครับ หลักสูตรเค้าก็รีไควร์โทเฟิลที่คะแนนสูงมากเหมือนกัน ขั้นต่ำก็ 100 iBT น่ะครับ (หกร้อยขึ้นไปแบบกระดาษ) ยิ่งถ้าต้องการยูดังๆ อย่างฮาวาร์ด ชิคาโก้ โคลัมเบีย อะไรทำนองนี้ ขั้นต่ำ 104 iBT พาร์ทละ 26 คะแนนขึ้นไปทุกพาร์ทเหมือนกัน ยิ่งถ้าได้แตะๆ 120 ได้ยิ่งแจ๋ว law school จะชอบมาก แต่ LL.M. ก็ได้เปรียบสาขาวิชาอื่นๆ คือไม่ต้องสอบ GRE เน้นแค่คะแนนปริญญาตรีคะแนนสูงๆ คะแนนภาษาอังกฤษสูงๆ มีจดหมายรับรองที่ โอเคในระดับหนึ่ง SOP น่าสนใจ และที่สำคัญมีตังไปประมาณสามถึงสี่ล้านบาทไทยไปเรียน(เมื่อก่อนแค่สองล้าน แต่เดี๋ยวนี้สองล้านบาทไทยไม่น่าจะเอาอยู่แล้ว) ก็ไม่น่าพลาด ไม่ต้องไปหวังทุนมหาลัยเพราะไม่มี หายาก เพราะหลักสูตร LL.M. เป็นธุรกิจการศึกษาที่หาเงินเข้ามหาลัย อย่าลืมว่า Harvard Chicago Columbia อะไรพวกนี้เป็นม.เอกชน LL.M. (Harvard) หนึ่งใบ ใช้ระยะเวลาเรียนเก้าเดือน ราคาสักสามล้านกว่าบาท ไม่ทราบว่าคุ้มที่จะลงทุนไปเรียนหรือไม่??? ส่วน LL.M. มีแต่นักศึกษาต่างชาติมาเรียนทั้งนั้น ร้อยเปอเซ็นไปเลยดีกว่า มีแต่นักศึกษาต่างชาติ(แต่เรียนร่วมชั้นกับนักศึกษา JD นะ) เพราะสกุลกฎหมายในประเทศแต่ละประเทศในโลกมันไม่เหมือนกัน LL.M. เค้ามีจุดประสงค์ให้นักศึกษาที่เรียนจบมาจากสกุลกฎหมายที่แตกต่างกันได้มาต่อยอดความรู้ในโปรแกรม LL.M. กันมากกว่า ส่วนนักศึกษา อเมริกัน ก็ตามที่กุลธิดาว่านั่นแหละ จบแค่ JD ก็ออกหางานทำในสายวิชาชีพกฎหมายกันหมดแล้ว ไม่มีใครคิดเรียนต่อหรอก ส่วนใหญ่พวกที่จบ LL.M. ก็ไม่คิดทำงานที่อเมริกาหรอกครับ เค้ามาเรียนเก็บความรู้แล้วกลับไปทำงานใช้ทุน(หรือถอนทุน?)ที่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนตัวเองมากกว่า ซึ่งปัญหาสำคัญของบัณฑิตกฎหมายไทยในปัจจุบันนี้ คือ อ่อนภาษาอังกฤษ ต่อให้เรียนเก่งได้เกียรติหนึ่งเหรียญทอง จากจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ แต่ถ้าอ่อนภาษาอังกฤษ HLS เค้าก็ไม่รับเข้าเรียนหรอกครับ เพราะจะมีปัญหาเรื่องการสื่อสารมาก กฎหมายเป็นสาขาวิชาที่ใช้ภาษาในระดับที่สูง ถ้าสื่อสารไม่ได้เก่งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์ จากคุณ : อืม เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 54 00:46:35 A:61.90.91.126 X: TicketID:148075

ความคิดเห็นที่ 8 อันนั้นเดาเอาค่ะ เพราะเห็นมีนักเรียนต่างชาติเรียนกันเยอะ หมายถึงตอนที่เข้าเรียนแล้วน่ะค่ะ เดาเอาว่าภาษาคงไม่ถึงขนาดเรียน JD เพราะระดับเรียน JD ได้นี่ไม่ต้องพููดแล้วเรื่องความสามารถทางการใช้ภาษา จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 54 01:09:18

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณทุกท่านมากครับ ท่านไหนมีอะไรอีก ก็ช่วยเสริมทีนะครับ อยากได้ความรู้เยอะๆ ขอให้รวยครับ :D จากคุณ : อัยกาม(จขกท) เขียนเมื่อ : 2 ส.ค. 54 05:02:14 A:124.121.52.39 X: TicketID:319716