เรียนพิเศษทุกแห่งต้องวัดดวงกัน มันไม่แน่นอนเหมือนเทียบสมรรถนะของรถยนต์ 2 ยี่ห้อ เพราะโรงเรียนสอนพิเศษบางทียี่ห้อเดียวกัน (แต่คนละสาขา) กลายเป็นสอนดีไม่เท่ากัน เพราะตัวแปรคือคนสอนซึ่งครูบางคนก็สอนเก่งบางคนก็สอนไม่เก่ง แต่รถยนต์มันเป็นเครื่องจักรที่ใช้อุปกรณ์ไฮเทคคำนวณสมรรถนะได้
ยกตัวอย่างเช่นตอนเราสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่ง ทางโรงเรียนเขามีตำราเรียนสั่งจากเมืองนอกมาให้ใช้สอนในระดับต่างๆ แต่ผู้บริหารฝรั่งที่เก่งมากๆ ก็อบรมครูบอกว่า
"ให้ใช้สมองพลิกแพลง สร้างสื่อการสอนใหม่ๆขึ้นมาเอง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตำราเรียน"
^ นั่นก็หมายความว่าครูหลายๆคนจะสร้างผลงานได้ไม่เท่ากันอย่างแน่นอน นอกจากจะใช้สมองพลิกแพลงสร้างความแตกต่างกันแล้วความรู้ของครูเองในวิชาที่จะสอนก็ยังเป็นตัวแปรอันสำคัญ
แม้กระทั่งสอนเลขก็เหมือนกัน เราเคยสอนเด็กประถมให้คิดเลขเร็วด้วยสูตรลับที่เราเรียนรู้มาหลายปีจากวิธีการคิดเลขเร็วที่เขาใช้คิดเงินกันในสนามม้าในประเทศอังกฤษ(ตอนก่อนเราทำงานอาชีพเกี่ยวกับม้าแข่งในอังกฤษ) วิธีนี้ช่วยให้คิดเลขได้รวดเร็วมากๆโดยไม่ต้องมาตั้งตัวเลขแสดงวิธียาวๆแบบที่ครูสอนในห้องเรียนแบบทั่วๆไป วิธีการของเราทำให้สามารถเดาคำตอบล่วงหน้าได้โดยประมาณอยู่แล้ว ดังนั้นจึงมีความแม่นยำสูงมากๆ
พอเด็กเรียนคิดเลขเร็วจากเราจนคิดคล่อง แล้วกลับไปเรียนที่โรงเรียนกลายเป็นเด็กโดนครูที่โรงเรียนจับให้คิดยาวๆแบบปัญญาอ่อนเหมือนเดิมซะงั้น
เราเลยต้องแอบกระซิบบอกเด็กว่าให้ตั้งตัวเลขแสดงวิธีทำยาวๆหลอกครูไว้ แล้วแอบคิดในใจเร็วๆแบบไม่มีทศเลข แบบที่เราสอนให้ แล้วตอนสอบถ้ามันไม่ต้องตั้งตัวเลขแสดงวิธีทำ เด็กเราก็ชนะเด็กอื่นขาดลอยในเรื่องความไวและความแม่นยำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ามาสอบข้อสอบปรนัยมีตัวเลือกให้เป็น a b c d เจอแบบนี้หมูเลย เพราะเด็กของเราเดาคำตอบได้ล่วงหน้าโดยประมาณอยู่แล้ว เผลอๆเลือกกาถูกข้อหมดได้โดยไม่ต้องคิดให้เมื่อยสมองเลยหละ...
^ ในการติวทุกวิชาเขาแข่งกันแบบนี้
ภาษาอังกฤษก็เหมือนกัน ถ้าติวเตอร์สอนเก่งก็สอนศัพท์เด็ก ม.6 ได้มากกว่า 3000 คำภายในปีเดียว แต่ถ้าสอนไม่เป็น สอนไป 5 ปีก็ยังไม่สำเร็จ
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
2 ส.ค. 54 11:55:40
|
|
|
|