ความคิดเห็นที่ 1 ไม่ทราบว่าประเทศอื่นๆเขาต้องแบกหนังสือกันแบบนี้ไปโรงเรียนหรือเปล่าน้อ ??? จากคุณ : วิทย์ศิลป์ เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 08:16:37

ความคิดเห็นที่ 2 เพิ่มอีกนิด คุณเคยเห็นเด็กอาชีวะ (ที่ยกพวกตีกัน)  ถือกระเป๋าหนังสือไปโรงเรียนไหม ? - จากคุณ : papa-chai เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 08:17:33

ความคิดเห็นที่ 3 ตอนผมอยู่ประถม ปี 2531 ผมก็แบกกระเป๋าหนักกว่าน้ำหนักตัว จนพี่ ๆ แถวบ้านหลายคนก็ทักแบบที่คุณเจ้าของกระทู้ทักนั้นแหละ จากคุณ : กล่องดำหมายเลข เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 08:50:00 A:180.180.124.167 X: TicketID:284516

ความคิดเห็นที่ 4 แบกเหมือนกัน จนมอปลายเลย แต่ที่แบก เพราะโรงเรียนไม่ให้ไว้หนังสือที่โรงเรียน เพราะโรงเรียนเป็นอยู่ในเมือง แล้วก็เป็นโรงเรียนใหญ่ ต้องใช้เป้นสนามสอบบ่อยๆ เลยไม่ให้เอาของไว้โรงอะ แต่เห็นดรงเรียนอื่นๆ แม้แต่ระดับประถม เขาก้เอาหนังสือไว้โรงเรียนได้นะ หรือบางโรงเรียนบังคับ เพราะกลัวเด็กไม่ได้เอาหนังสือกลับบ้านไปอ่าน แต่ไงๆ ก็เถอะทำหนังสือใหม่ก็ดีเหมือนกัน อิอิ จากคุณ : ปาบู่ผู้พลิ้วไหวไปกับการนอน (PaBo) เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 09:08:55

ความคิดเห็นที่ 5 ปัญหามันเกิดจาก จนท กระทรวง...พิการของประเทศสารขันธ์ได้รับผลประโยชน์จากผู้ผลิตหนังสือ วิธีแก้บรรดาผู้ปกครองต้องระดมพลกันประท้วง แต่ที่ไม่ทำกันเพราะอะไร โปรดอ่านเหตุผลใน คคห3 ของกระทู้อันโด่งดังอันนี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10884235/K10884235.html ที่ คคห 1 ถามว่า "ไม่ทราบว่าประเทศอื่นๆเขาต้องแบกหนังสือกันแบบนี้ไปโรงเรียนหรือเปล่าน้อ ???" ตอบ ตอนเราเรียนหนังสือระดับมัธยมที่ในประเทศอังกฤษเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว เราจำได้ว่าเรียนแค่ประมาณ 5 วิชาที่จะสอบ เช่นเรียนวิทย์ ก็เรียนแค่ 1 ฟิสิกส์ 2 เคมี 3 ชีวะ 4 คณิตศาสตร์ 5 ภาษาอังกฤษ มาตรฐานต่ำสุดที่จะเข้ามหาลัยได้ต้องมี 5 'O' levels และ 2 'A' levels โดยที่หากวิชาใดๆใน 'A' levels ซ้ำกับวิชาใน 'O' levels ก็จะต้องมีวิชาเพิ่ม ดังนั้นพวกเด็กๆก็จะต้องเลือกเรียน '0' levels อีก 2 วิชาเพื่อไม่ให้ซ้ำกัน อย่างเช่น เพิ่มวิชาเหล่านี้เป็นต้น 6 Technical Drawing 7 Computer Studies หรือ ICT ^ นี่แสดงรายการวิชาที่น่าจะเป็นไปได้สำหรับเด็กวิทย์นะ ส่วนเด็กศิลป์ก็คงจะมีพวกภาษาต่างประเทศหรือ Art เข้ามารวมด้วยมากหน่อย หมายเหตุ 'O' level เทียบเท่า ม.6 ประเทศสารขันธ์ 'A' level เทียบเท่า ปี1 มหาลัยประเทศสารขันธ์ (เพราะมหาลัยในอังกฤษปริญญาตรีส่วนใหญ่เรียนแค่ 3 ปี) สมัยนี้ 'O'level กลายเป็น GCSE ไปแล้ว ....................................................................... วิธีแก้เด็กแบกหนังสือจนหลังโกง ถ้าประท้วงกระทรวง...พิการ (ชอบชื่อนี้แฮะ คนคิดชื่อนี้หลักแหลมจริงๆอ้ะ...555+++...) ไม่สำเร็จ เราว่าทางโรงเรียนน่าจะช่วยได้นะ ถ้าอยากจะช่วยจริงๆ นั่นก็คือแปลงหนังสือทั้งหมดให้เป็น ebooks เก็บไว้บนคอมพิวเตอร์ ครูจะสอนเรื่องอะไรก็ print ออกมาเป็นแผ่นๆมาแจกนักเรียน ส่วนหนังสือเป็นเล่มๆที่นักเรียนซื้อมานักเรียนก็เก็บไว้อ่านทบทวนที่บ้าน ........................................................................ เรื่องหนังสือนี่ ที่เราไม่แบกหนักตอนเรียนมัธยมในประอังกฤษมีเหตุผล 2 ประการคือ 1. หนังสือเรียนเขาแจกฟรี ไม่ต้องไปซื้อ 2. ครูฝรั่งไม่กางหนังสือสอนเหมือนครูในประเทศสารขันธ์ ยกตัวอย่างเช่นครูฝรั่งสอนคณิตศาสตร์บน whiteboard โดยไม่เปิดหนังสือดูเลยแม้แต่นิดเดียว เช่นบอกว่าวันนี้จะสอนเรื่อง binomial theorem ก็เขียนอธิบายตั้งแต่บทพิสูจน์เริ่มต้น แล้วแตกกระจายออกมาเป็นการใช้งาน แล้วถึงให้นักเรียนไปเปิดหนังสือทำแบบฝึกหัด เราเคยลงเรียนวิชาประวัติศาสตร์ ครูฝรั่งให้ dictation พวกเรา (คือพูดแล้วให้นักเรียนจด) เรื่องราวทางประวัติศาสตร์เป็นเรื่องๆยาวๆ จากนั้นก็พานักเรียนไปดูวิดิโอบันทึกเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ (เป็นหนังสารคดี) แล้วก็กลับมานั่งถกกันในเรื่องที่เรียนมา โดยที่ครูฝรั่งคนนี้ไม่เคยกางหนังสือดูเลยแม้แต่นิดเดียว ตกลงหนังสือเรียนมีแค่ให้นักเรียนไปอ่านทบทวนหรือไปทำแบบฝึกหัดเท่านั้นเอง แล้วเขาก็มีตู้ให้เก็บหนังสือในโรงเรียนด้วย บางทีเราไปโรงเรียนตัวเปล่าและกลับบ้านตัวเปล่าบ่อยๆโดยไม่แบกหนังสือเลยเพราะครูให้การบ้านนอกหนังสือเรียนโดยการเขียนโจทย์การบ้านบน whiteboard แล้วให้เด็กลอกโจทย์กลับไปทำที่บ้าน จริงๆแล้วส่วนใหญ่พวกเราก็ต้องทำงานกันในเวลาเรียนอยู่แล้วเช่นทำการทดลองทางเคมีหรือฟิสิกส์ในห้องปฎิบัติการ หรือแม้กระทั่งนั่งทำโจทย์คณิตศาสตร์ในห้องเรียนกันวันละตั้งหลายๆชั่วโมงอยู่แล้ว ก็เลยไม่ค่อยจะมีการบ้านมากจนถึงกับต้องใช้หนังสือเรียนมากนักหรอก ......................................................................... สมัยเราไปทำงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งในประเทศสารขันธ์ ซึ่งเผอิญโชคดีมีฝรั่งชาวอังกฤษเป็นผู้บริหารนะ ทางโรงเรียนมี learning packages ให้ครบเลยตั้งแต่ textbooks และ tapes ที่นักเรียนต้องซื้อไปทั้งชุด (นานมาแล้ว แต่สมัยนี้คงใช้ audios กับ videos ที่เปิดบนคอมพิวเตอร์กันหมด)แต่ผู้บริหารโรงเรียนอบรมครูทุกคนว่า "ให้เปิด textbooks กับ tapes ดูและฟังผ่านๆ เพื่อดูว่า "เป้าหมายคืออะไร" แล้วให้พยายามบรรลุเป้าหมายนั้นให้ได้โดยไม่ต้องใช้ textbooks สอนในห้องเรียน (แต่ tapes อาจใช้ตอน drill ในห้องเรียน คือให้นักเรียนฟังแล้วฝึกพูดตาม เพราะถึงครูจะเป็นฝรั่งเจ้าของภาษาที่พูดชัดอยู่แล้ว แต่พวกเราก็ยังต้องใช้ tapes นั่นก็เพราะว่าต้องการให้นักเรียนฟังเสียงฝรั่งคนอื่นๆอีกหลายๆคน นักเรียนจะได้ไม่ยึดติดกับสำเนียงครูคนเดียว) นั่นก็หมายความว่าครูต้องใช้สมองพลิกแพลงสร้างสื่อการสอนขึ้นมาเองอย่างเชี่ยวชาญ" ^ จากประสบการณ์การสอนอันนี้หลายปี เราท้าพนันว่า "เราสามารถสอนภาษาอังกฤษเด็กประถมและมัธยมในประเทศสารขันธ์ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างงดงามโดยที่เด็กของเราไม่ต้องเสียเงินไปซื้อหนังสือเรียนเลยซักเล่มเดียว!" ^ ถ้าเป็นวิชาอื่นอย่างเช่นคณิตศาสตร์ เราจะสอนแบบครูฝรั่งเราสอน คือสอนโดยไม่มีหนังสือเรียนเลย (ถ้าเราทบทวนมันหน่อยหลังจากห่างเหินวิชานี้ไปนาน) เราก็ทำได้เช่นกัน ยิ่งสมัยนี้หาสื่อการสอนเป็น digital media จาก google ได้สบายๆหายห่วงเลยหละ! แต่ก็คงไม่มีโรงเรียนที่ไหนในประเทศสารขันธ์กล้าจ้างเราไปสอน นั่นก็เพราะว่า "ถึงเราใช้สมองเราคิดพลิกแพลงเป็น และสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เราก็ไม่มีใบอนุญาตครู การจ้างเราเป็นครูสอนเด็กประถมและมัธยมมันผิดกฎหมายของประเทศสารขันธ์" ฮาๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 10:01:54 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 54 09:44:56 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 09:39:35

ความคิดเห็นที่ 6 หนังสือเรา ทิ้งไว้ที่โรงเรียน เอากลับเฉพาะตอนที่จะอ่าน บางเล่มทิ้งไว้ที่บ้าน ไปเรียนก็แบ่งกับเพื่อนเอา (ก็สลับกัน เราเอามาบางเล่ม เขาเอามาบางเล่ม) ตอนประถมหนังสือหนักจนทุกคนในโรงเรียน ใช้กระเป๋าลาก ฮ่ะๆๆ จากคุณ : blackbillaz เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 09:48:17

ความคิดเห็นที่ 7 สมัยเรียน ... บ้านกับรร.อยู่ติดกัน  จัดหนังสือตามตารางเรียนไม่เพิ่มไม่ลด  .. นน.กำลัง ดี ตอนเที่ยงมุดรั้วกลับมากินข้าวบ้าน  ถ้าวันไหนลืมเล่มไหนค่อยหยิบไปเพิ่ม   สมัยนี้หลานเรียนหนังสือ .. บ้านกะโรงเรียนก็ไม่ไกลกันมีรถรับส่งอีกต่างหากมันหอบ อะไรไปหนักหนา ทั้งสะพายทั้งหิ้ว บ้าบอคอแตก  มันบอกนี่จัดตามตารางเรียนแล้วนะเนี่ย ล่าสุด .. เด็กอนุบาลใช้กระเป๋าล้อลากไป รร. นึกว่าเตรียมตัวเป็นแอร์โฮสเตส !!! . จากคุณ : สวยสะพรึง เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 10:07:24

ความคิดเห็นที่ 8 สมัยผมเรียน ผมก็ทิ้งไว้ที่โรงเรียนหน่ะครับ หรือบางทีก็ใช้วิธี แกะเป็นแผ่นๆแล้วแบกไปแทน หุหุ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 10:28:48

ความคิดเห็นที่ 9 ได้ยินมาว่าเด็กนักเีรียนในกรุงเทพบางคนใช้กระเป๋าลาก... ตอนมัธยมเรียนโรงเรียนประจำ ตอนเช้าต้องหิ้วกระเป๋าจากหอไปไว้ที่ห้องเรียนก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว และมีคำสั่งมาว่าห้ามเอาหนังสือไว้ใต้โต๊ะ (มีห้องเรียนประจำนะคะ) ฉะนั้นต้องแบกหนังสือเดินจากหอไป แล้ว ผอ. มาเห็นบอกว่าเด็กเดินกอดกระเป๋ามันดูไม่ดี ให้หิ้วไว้ทางขวามือของทุกคน! ค่ะ! เพื่อภาพพจน์ของโรงเรียน ต้องทำกันขนาดนี้เลยเหรอคะ กระเป๋าหนักก็หนัก หิ้วไม่กี่วันหูกระเป๋าจะขาด แล้วด้วยความที่เป็นโรงเรียนประจำ ผู้ปกครองไม่ได้มาเห็นตอนเด็กเดินไปกินข้าวอยู่แล้ว ถามว่าจะเอาความสวยงามไปเพื่ออะไรคะ?? สมัยถ้าไม่เห็นอาจารย์ก็จะเดินกอดกระเป๋า (หิ้วไม่ไหว) พอเห็นอาจารย์ก็จะหิ้วไว้ด้านขวามือ (ทนเอานิดนึง) แต่ตอนนี้จบมาหลายปีแล้วล่ะค่ะ ไม่รู้ว่าเด็กรุ่นหลังๆ ต้องทำแบบนี้อีกหรือเปล่่า จากคุณ : tiennokkeaw เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 13:47:16

ความคิดเห็นที่ 10 สมัยผมจัดหนังสือตามรางสอนไปเรียน แต่ครูดันไม่ได้สอนตรงตามตารางสอน พอไม่มีหนังสือก็โดนตี หลังจากนั้นก็ต้องแบกไปกันทุกเล่ม ทุกวัน จากคุณ : [:Rexagon:] เขียนเมื่อ : 4 ส.ค. 54 23:47:38

ความคิดเห็นที่ 11 วันนึงเรียน 6 วิชา เช้าสองคาบพักเช้า แล้วเรียนอีกคาบแล้วพักเที่ยง บ่ายเรียนสามคาบ แล้วเลิกกลับบ้าน ถ้า 6 คาบ - 6 วิชา วิชานึงพกไป 1 หนังสือเรียน 2 แบบฝึกหัด 3 สมุดจด ก็สามเล่ม 6x3 ก็ 18เล่มแล้ว คิดดูก็แล้วกันว่ามันจะขนาดไหน นึกแล้วก็เบื่อ ทุกวันนี้แต่งงานมาสิบปี ไม่อยากมีลูกก็เพราะอย่างนี้แหละ ไม่อยากให้มันต้องเกิดมาเจอเรื่องไร้สาระแบบเรา จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 10:42:50

ความคิดเห็นที่ 12 ผมเห็นลูกผมแบกกระเป่าเรียนแล้ว สงสารแทน หนังสือแต่ละเล่มหนาเตอะ ใช้ครั้งเดียวทิ้งขนาดแค่ ป.2 ผมรู้จักกับตัวแทนจำหน่ายหนังสือเรียน เขาบอกว่ามันมีเรื่องใต้โต๊ะและผลประโยชน์เกี่ยวกับหนังสือเรียน จากคุณ : งูเล็ก2509 เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 14:29:22

ความคิดเห็นที่ 13 เขาจะใช้tabletแทนละมังครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10858973/K10858973.html#2 คห.2 เหมือนได้ยินมาว่าราคาราว6พันบาท แต่ก็เหมือนว่ายังไม่ได้แปลงcontentรอไว้นี่หว่า -_-" http://www.techxcite.com/topic/6534 ถูกลงมาหน่อยแร้ว http://www.techxcite.com/topic/6612/ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 20:03:46 แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 19:44:50 จากคุณ : temp003184 เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 14:50:23

ความคิดเห็นที่ 14 เด็กชั้นประถมเขาจะจัดตารางเรียนไม่ได้ครับ เพราะไม่รู้ว่าครูคนที่จะสอนวันนั้นจะอยู่ไหม โดยเฉพาะช่วงใกล้สิ้นปีงบประมาณ  ซึ่งเงินงบมักจะมาในช่วงนี้ ซึ่งทางโรงเรียนจะเอาไปทำอะไรก็ไม่ทัน  เลยจัดทัวร์  อุ๊บๆๆๆ ....เลยจัดให้ครูไปศึกษาดูงานกันเป็นส่วนใหญ่ และเท่าที่ผมเคยดูหนังสือเรียนของเด็ก  เขาออกแบบมาดีมากเลยครับ คือเล่มหนาปึ๊ก  ต้องใช้หนังสือเล่มนั้นๆเรียน และทำงานในนั้นเลย เช่นเติมคำ  โยงเส้น ฯลฯ  ดังนั้นเด็กจำต้องแบกหนังสือไปกลับโรงเรียนทุกวัน (สมัยก่อน  ตำราเป็นตำรา  ทำแบบฝึกหัดจะทำบนสมุด  การโน๊ตสิ่งสำคัญหรือเทคนิคในหนังสือเรียน กลับทำให้หนังสือเล่มนั้นมีคุณค่ามากขึ้น  คนที่เคยอ่านฮาฟบลัด พริ้นซ์ คงรู้นะครับ) ผู้ปกครองจะทำเป็นนกรู้ซื้อ 2 ชุดไว้ที่บ้าน 1 ชุดก็ไม่ได้ เพราะการบ้านอยู่ในเล่ม ไม่ได้ให้ทำในสมุด เมื่อเรียนผ่านชั้นไป  จะต่อให้น้องใช้ก็ไม่ได้   คนออกแบบหนังสือ  โดยเฉพาะคนอนุมัติให้ใช้นี่เยี่ยมมั๊กๆๆๆ แก้ไขเมื่อ 05 ส.ค. 54 16:19:52 จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 15:01:19

ความคิดเห็นที่ 15 ก็เป็นกันตั้งแต่ตอนผมเป็นเด็กแล้วครับ ส่วนตัวผมไม่คิดว่าเป็นเพราะฝ่ายที่ทำหน้าที่ออกแบบหนังสือเรียนหรอก เป็นเพราะทางโรงเรียนและพวกครูไม่ชอบให้นักเรียนเอาหนังสือไว้ที่โรงเรียน ทำให้ต้องแบกไปและแบกกลับทีละมากๆ .. จากคุณ : เด็กชายหัวหอม เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 16:02:28

ความคิดเห็นที่ 16 อย่างที่คุณข้างบนบอก ตอนผมอยู่ชั้นประถม มีตารางเรียนออกมาเป็นรูปธรรมนะ แต่การจัดการเรียนการสอนจริงๆ นั้นไม่ได้เป็นไปตามตารางเรียน ทุกๆ วันต้องเรียนคณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมและวิทยาศาสตร์<<< ที่ไม่รู้ว่าวันนี้คุณครูจะนึกครื้มอกครึ้มใจหยิบเล่มไหนมาสอนดี เลยต้องเอามาทั้งสองเล่ม แต่ละวิชามีหนังสือเรียนเล่มเดียว แต่ยังรวมถึงสมุดอีกมากกว่าหนึ่งเล่ม คณิตศาสตร์ มีสมุดที่ต้องทำที่โรงเรียนและสมุดที่เอากลับมาทำการบ้าน ภาษาอังกฤษ มีสมุดแบบฝึกหัด และสมุดจดคำศัพท์ ภาษาไทย(สมัยนั้นใช้หนังสือมานะมานี) มีสมุดจดคำและความหมายในแต่ละบท มีสมุดแบบฝึกหัดของวิชาหลักภาษา และวิชาการอ่าน(มานะมานี) ยังไม่นับรวมถึงสังคมและวิทยาศาสตร์ ตอนประถมผมจึงไม่ต้องจัดตารางเรียนเลย เพราะต้องทั้งหมดนั่นไปกลับทุกวัน หนักมากครับ .. จากคุณ : เด็กชายหัวหอม เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 16:08:55

ความคิดเห็นที่ 17 มองย้อนกลับไปดูสภาพตัวเองสมัยประถมแล้วสงสารตัวเองพิลึก ไม่รู้ทนมาได้ไง ผมเรียนโรงเรียนเอกชน ค่าเล่าเรียนแพงหูฉี่ เข้าำไปเรียนแต่ละวันก็เจอแรงกดดันเยอะแยะ หนักอึ้งทั้งกระเป๋าและแรงกดดันจากครู สมัยนั้นยังไม่มีการหักไม้เรียวนะครับ ต่อให้เป็นโรงเรียนเอกชนก็เถอะ ฟาดกันไม่ยั้งขอรับเจอมาแล้วทั้งไม้เรียว ไม่บรรทัดหนาๆ ที่แถมมากับนมโฟร์โมสต์กล่องเล็กๆ ไม้ที วงเวียน ฯลฯ พอพ้นจากชั้นประถม สอบเข้าเรียนมัธยมในโรงเรียนรัฐบาลได้ รู้สึกว่าตัวเองสุขภาพจิตดีขึ้นมาก มีอิสระในการเรียนพอสมควร ไม่มากเกินไป มีความสนุกกับเพื่อนๆ จากคุณ : เด็กชายหัวหอม เขียนเมื่อ : 5 ส.ค. 54 16:16:51

ความคิดเห็นที่ 18 อ่าน คคห 14 ของคุณครับผมแล้วอึ้งเลยอ้ะ อะโห! ออกแบบหนังสือเรียนแบบนี้มันเล่นกินรวบกันเลยนิหว่า ทำไมผู้บริหารการศึกษากระทรวง...พิการถึงสมองอัฉริยะหาเงินเข้าประเป๋าเก่งเรื่องล๊อคสเป็กหนังสือเรียน แต่พอมาเป็นเรื่องพัฒนาระบบการศึกษากลายเป็นสมองพิการไปได้หว่า...555+++... จริงๆแล้วระดับประถมนี่ ถ้าครูศึกษาเนื้อหาหลักสูตรให้ดีๆว่าต้องบรรลุเป้าหมายอะไร เราว่าไม่ต้องใช้หนังสือเรียนเลยก็สอนได้ ขนาดระดับมัธยมที่ยากกว่านั้นเราก็ยังเห็นครูฝรั่งสอนนักเรียนฝรั่งทั้งชั้นเรียน (โดยมีเรานั่งเรียนรวมอยู่ด้วย) โดยที่ครูฝรั่งไม่ใช้หนังสือเรียนในการสอนเลยหละ แล้วเด็กฝรั่งในประเทศอังกฤษก็ไม่เรียนกันตั้งหลายวิชาจนสติแตกเหมือนเด็กประเทศสารขันธ์ด้วย(ตามที่เล่าให้ฟังใน คคห 5 ว่าครูฝรั่งสอนยังไงและเรียนกันประมาณกี่วิชาเพื่อสอบเก็บรายวิชาให้ได้ตามเกณฑ์เข้ามหาลัยในประเทศอังกฤษ) คราวนี้จะยกตัวอย่างเรื่องจริงให้ดู ตอนเราเรียน ป.4 เราอยู่ไม่สุขชอบชวนเพื่อนคุยชวนเพื่อนเล่น ครูประจำชั้นเราจัดการกับเราได้เก่งมากๆ (โดยไม่ต้องมาตบบ้องหูเราเหมือนที่พวกเราเพิ่งเห็นกันใน video...555+++...) โดยการจัดห้องเรียนใหม่ตั้งโต๊ะเก้าอี้นักเรียนทั้งหมดเป็นวงกลม แล้วจับเราไปอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง เพื่อไม่ให้เราเข้าใกล้ไปรบกวนสมาธิเด็กๆคนไหนได้เลย แล้วครูบอกให้เด็กๆทุกคนเรียกเราว่า "ท่านประธาน" เรียนๆไปเราแหย่เพื่อนไม่ได้เราก็หลับกรนครอกๆ ครูก็ปลุกเราขึ้นมาลืมตาดูโลกเป็นครั้งคราวเพื่อตอบคำถามครูในเรื่องที่ครูสอนไป เราก็ตอบไม่ได้จนครูปล่อยเราเลยตามเลย แต่พอสอบกัน แล้วประกาศผลการสอบ เรากลายเป็นได้ลำดับต้นๆที่ 1, 2 หรือ 3 อะไรแบบนั้น นักเรียนโห่กันเกรียวทั้งห้องหาว่าครูตรวจข้อสอบผิดแหงๆ หรือไม่เราก็ลอกเก่งถึงสอบได้ที่ต้นๆ ครูเรียกเราไปสอบปากคำเครียดว่าเราโกงข้อสอบยังไง เราบอก "เปล่าโกงนะคุณครู พ่อผมแอบติวให้ต่างหากล่ะ" เล่นเอาครูงงไปเลย คุณครูถึงกับมาชะเง้อรอเจอตัวพ่อเราเพราะอยากสัมภาษณ์พ่อเราว่าสอนไงฟะถึงเก่งจริงๆ วิธีการก็ง่ายๆ พ่อเราแค่ดูการบ้านที่ครูให้เท่านั้น ก็รู้แล้วว่าเนื้อหาที่เราไม่ได้เรียนตอนหลับในห้องเรียนน่ะ มันมีอะไรบ้าง และพ่อสอนเราได้ครบหมด (เผลอๆสอนเกินด้วย) โดยที่พ่อไม่เคยเปิดหนังสือเรียนเราเลย พ่อเราไม่เคยเรียนครูมาหรอก แต่จบนิติศาสตร์จากธรรมศาสตร์รุ่นเดียวกับคุณมารุต บุญนาค นั่นแหละ คนจบรุ่นนี้มีทั้งหมด 800 กว่าคน ตอนนี้แก่ตายไปเกือบ 500 คนแล้ว มีอายุยืนเหลือแค่ประมาณ 300 คนเอง ซึ่งพ่อเราก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนรุ่นนี้ที่อายุยืนเหล่านั้น แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 10:36:13 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 10:29:45

ความคิดเห็นที่ 19 ก็อปปี้ไปไว้ที่ คห.21 ครับ แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 15:01:39 แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 14:52:43 แก้ไขเมื่อ 06 ส.ค. 54 13:20:38 จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 13:08:52

ความคิดเห็นที่ 20 ^ อ้า พอ คคห 19 พูดว่า "คนแก่เนี่ยชอบเล่าเรื่องเก่าๆนะ" ทำให้เราฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าเราให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อยเพราะลืมนับ ปี ค.ศ. นั่นเอง ข้อความนี้ที่เราเขียนใน คคห 5 คือ "ยกตัวอย่างเช่นครูฝรั่งสอนคณิตศาสตร์บน whiteboard โดยไม่เปิดหนังสือดูเลยแม้แต่นิดเดียว" ต้องแก้ไขให้ถูกต้องเป็น "ยกตัวอย่างเช่นครูฝรั่งสอนคณิตศาสตร์บน blackboard โดยไม่เปิดหนังสือดูเลยแม้แต่นิดเดียว" ^ คือสมัยเราเรียนมัธยมน่ะเขายังใช้ blackboards กันอยู่เลย...555+++... จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 14:14:35

ความคิดเห็นที่ 21 ขอยกมาลงแทนที่ คห.19 ครับ  เพราะคห.19 ผมเข้าไปแก้ไขเน้นสีข้อความแล้วมันมีตัวยึกยือ คห.18 อิอิ คนแก่เนี่ยชอบเล่าเรื่องเก่าๆนะผมเล่าบ้างดีกั่ว .... 555สมัยที่ผม เรียนชั้นม.ต้น  มีครูผู้ชายคนไทยเพิ่งจบจากอเมริกามาผมยาวประบ่า เลย  เข้ามาแล้ว เพิ่นก็นั่งหมิ่นๆบนโต๊ะนักเรียนกลางๆห้อง  บอกให้นักเรียนหันล้อมวงเข้ามา  ลืมไปครับ  เพิ่นหิ้วกีต้าร์โปร่งเข้ามาด้วยล่ะ 555  ครูก็รายงานตัวว่าชื่อไร มาจากไหนว่าแล้ว เพิ่นก็เล่น-ร้องเพลงฟรั่งให้นักเรียนฟัง  ทีละท่อน  แล้วร้องช้าๆ  ให้ฟังว่าเพลงเขาว่าอะไรบ้างตรงไหนน่าสนใจ  ทำไมจึงใช้คำนั้น อิอิ เหมือนกับเวลาผ่านไปแป๊บเดียว  หมดชั่วโมงซะแหล่ว  อิอิไม่เห็นต้องใช้หนังสือเรียนเลย และภาษาอังกฤษอีกนั่น แหละ  คุณหญิงมหาเศรษฐีเจ้าของโรงเรียน (บอกแบบนี้เด๋วก็ทายออกหรอกว่าเป็นโรงเรียนอะไร)  ท่านใส่ใจมากเพราะท่านเป็นคนที่รักการเป็นครูมาก  หนังสือ+สื่อการสอน  ท่านนำเข้ามาจากต่างประเทศมีแต่เลิศๆเลย  ไม่ต้องให้นักเรียนซื้อครับ  ใช้ฟรีครับขนาดตอน เรียน ป.ตรี  ผมยังได้เรียนกับสื่อ+หนังสือชุดเดียวกัน แต่ไม่ครบถ้วนเหมือนตอนสมัยเรียน ม.ต้นที่โรงเรียนของคุณหญิงเลย น่ากลัวครับถ้ามีผู้บริหารกระทรวงศึกษาที่ในใจเป็ นนักทุจริตมากกว่าความเป็นครู (นักทุจริต บ่แม่นนักธุรกิจเด้อ  เพราะนักธุรกิจที่ดีต้องมีคุณธรรม)  จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : 6 ส.ค. 54 14:59:16

ความคิดเห็นที่ 22 รู้สึกว่ากระทู้นี้จะด่าครูเป็นพิเศษนะเนี่ย ปกติมาจะค่อนข้างเห็นด้วย เรื่องใบอนุญาตฯนึกว่าจะจบก็ไม่จบสักทีเน้อ! ผมก็เคยเป็นครูอัตราจ้างโดยไม่มีใบอนุญาตฯทำไมผมจะสอนหนังสือไม่ได้  และเมื่อผมตั้งใจจะเป็นครูมันก็ไม่ได้ยากเย็นที่จะได้มันมา เพียงแต่ใช้เวลาเท่านั้น!   ส่วนหนังสือเรียนของประถมผมไม่รู้ แต่ของมัธยมผมตอบได้เลยว่า เล่มหนึ่งก็ไม่ได้หนามาก วันหนึ่งก็เรียนสี่ห้าวิชา(บางวิชา2คาบ) เด็กบางคนก็ไม่ได้แบกมาด้วยซ้ำ   อีกอย่างครูทำใบงานให้เด็กทำแบบฝึกหัดมากกว่าใช้หนังสือ เพราะนอกจากเก็บเป็นผลงานได้แล้ว ยังประหยัดเวลาในการให้เด็กมานั่งเขียนโจทย์  (แต่คิดว่าผลประโยชน์จริงๆคือเก็บผลงาน) บางครั้งแทบจะไม่ได้ใช้เลยนะหนังสือ กลับมาเรื่องหนังสือ สำหรับหนังสือฟิสิกส์พื้นฐานและเพิ่มเติม ผมว่าตอนนี้เขาออกแบบมาดี มีสีสัน มีโจทย์ตัวอย่าง แบบฝึกหัดมีเฉลยอยู่ท้ายเล่ม เพียงแต่เข้าเล่มได้ห่วยมาก นักเรียนเปิดใช้ไม่กี่ครั้งก็หลุด ในประเทศสารขันธ์เนี่ยครูทุกคนคงเปิดหนังสือสอนกันทุกคนเน้อ  แล้วเผอิญผมเองก็ไม่เคยได้ไปเรียนต่างประเทศก็เลยไม่รู้จะเปรียบเทียบยังไง   ส่วนสื่อก็มีมากมายมหาศาล อยากเปิดของครูคนไหนให้เด็กดูก็ได้ แต่เคยเปิดแล้วเด็กบอกเองเลยว่า "ครูสอนเองเถอะ" ครูเปิดให้ดูแบบนี้ครูขี้เกียจสอนใช่ไหม อ้าว เป็นงั้นไป เด็กบางคนขาดเรียนบ่อย แต่สามารถทำข้อสอบผมได้ (ผมมักจะออกข้อสอบอัตนัย) ทั้งๆที่ไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาก่อน ก็ทำให้รู้ว่าเด็กคนนี้เก่ง หากได้พัฒนาเขาก็จะทำให้เขาไปได้ไกลกว่านี้  หากไม่ติดปัญหาทางบ้าน เป็นครูช่วยได้ก็ต้องช่วย จริงไหม? ที่สำคัญอย่าลืมว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม  อยู่กันเป็นกลุ่ม  มีทั้งคนเก่ง ไม่เก่งปะปนกัน  การจะสอนอะไรให้เหมือนกันแต่ความสามารถในการรับไม่เท่ากัน มันก็ถือว่ายากในระดับหนึ่งนะครับ  จะมาทิ้งไม่สนใจเด็กที่ไม่เก่งก็ไม่ได้นะครับ   ก็นั่นแหละอยากจะบอกว่า "บางครั้งก็อย่าเอาชีวิตตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบ แต่ละที่ แต่ละถิ่น แต่ละภาษา แต่ละพ่อ แต่ละแม่ แต่ละโรงเรียน แต่ละครูมันไม่เหมือนกัน" แล้วถ้าพ่อแม่สอนลูกได้ แล้วจะมีโรงเรียนมีครูไปทำไมกัน กลับไปคิด กลับไปทบทวน กลับไปตรึกตรองกันใหม่? ทุกคนต่างมีหน้าที่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณทำหน้าที่ของคุณได้ดีที่สุดหรือยัง จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : วันรพี 54 14:57:04

ความคิดเห็นที่ 23 ^^^คห.22 ส่วนหนังสือเรียนของประถมผมไม่รู้ แต่ของมัธยมผมตอบได้เลยว่า เล่มหนึ่งก็ไม่ได้หนามาก วันหนึ่งก็เรียนสี่ห้าวิชา(บางวิชา2คาบ) เด็กบางคนก็ไม่ได้แบกมาด้วยซ้ำ   อีกอย่างครูทำใบงานให้เด็กทำแบบฝึกหัดมากกว่าใช้หนังสือ เพราะนอกจากเก็บเป็นผลงานได้แล้ว ยังประหยัดเวลาในการให้เด็กมานั่งเขียนโจทย์  (แต่คิดว่าผลประโยชน์จริงๆคือเก็บผลงาน) บางครั้งแทบจะไม่ได้ใช้เลยนะหนังสือ ถูกต้องครับ  เพราะชั้นมัธยม  นักเรียนโตพอสมควร  จะจับให้เป็นเหยื่อแบบเด็กเล็กๆไม่ได้ครับ 555 ผมว่าที่เป็นปัญหาก็คือเด็กเล็กชั้นประถมนี่แหละครับ  ตัวเล็กแต่วันๆต้องแบกหนังสือหนักเกินตัว จขก.คงไม่ได้หมายถึงเด็กมัธยมหรอกครับ อีกอย่างหนึ่งก็คือภาระค่าใช้จ่ายของเด็กโตมีมาก  ขืนไปวางแผนขูดรีดอีกผู้ปกครองหลังจะหักเอานะครับ แก้ไขเมื่อ 07 ส.ค. 54 21:11:28 จากคุณ : ครับผม เขียนเมื่อ : วันรพี 54 20:52:08

ความคิดเห็นที่ 24 คคห 22 พูดว่า "ก็นั่นแหละอยากจะบอกว่า "บางครั้งก็อย่าเอาชีวิตตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบ แต่ละที่ แต่ละถิ่น แต่ละภาษา แต่ละพ่อ แต่ละแม่ แต่ละโรงเรียน แต่ละครูมันไม่เหมือนกัน" ตอบ 1. นี่ไม่ใช่ประเด็นของ "การเอาชีวิตตัวเองมาเป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบ" หากแต่เราเล่าให้ฟังถึงจำนวนวิชาที่นักเรียนในประเทศอื่นเขาเรียนกัน ซึ่งน้อยกว่าของประเทศสารขัณฑ์ (จริงๆแล้วน่าจะสะกด "สารขัณฑ์" นะ) มากๆ แต่ประเทศที่กล่าวถึง (ซึ่งนักเรียนเขาเรียนน้อยวิชากว่าตั้งหลายเท่า) ประชากรของเขาก็ยังไม่ล้าหลังด้านความรู้ความสามรถในด้านสาขาวิชาการต่างๆ หากเทียบกับประชากรในประเทศสารขัณฑ์ แล้วที่คุณพูดว่า "แล้วถ้าพ่อแม่สอนลูกได้ แล้วจะมีโรงเรียนมีครูไปทำไมกัน กลับไปคิด กลับไปทบทวน กลับไปตรึกตรองกันใหม่?" ตอบ 2. ในเชืงตรรกะแล้วเราไม่ได้ argue ว่า "ควรหรือไม่ควรให้พ่อแม่สอนหนังสือแทนครู" แต่เราพูดว่า "คนที่ไม่จบครูมาก็สอนเด็กระดับประถมได้โดยไม่เปิดหนังสือเรียน" arguments ของเราคือ "หนังสือเรียนประถมซึ่งมากเกินจนเด็กตัวน้อยๆต้องแบกจนหลังโก่ง (ตามที่ จขกท บ่นๆ) น่ะ สมควรพิจารณาลดจำนวนลงซะบ้าง ถ้าโปร่งใสจริงไม่มีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง" แต่คุณดันไป argue เพื่อ "ส่อความว่าพ่อแม่คงสอนหนังสือไม่ได้ทุกคน ถ้าได้ก็คงไม่ต้องมีครู" ^ ซึ่งมัน "เป็นการระบายอารมณ์ของคุณ" และมัน "ไปกันคนละเรื่องกันเลยหละ" ส่วนเรื่องที่คุณพูดว่า "เรื่องใบอนุญาตฯนึกว่าจะจบก็ไม่จบสักทีเน้อ! ผมก็เคยเป็นครูอัตราจ้างโดยไม่มีใบอนุญาตฯทำไมผมจะสอนหนังสือไม่ได้  และเมื่อผมตั้งใจจะเป็นครูมันก็ไม่ได้ยากเย็นที่จะได้มันมา เพียงแต่ใช้เวลาเท่านั้น!  " ตอบ สิ่งที่คุณพูดส่อความว่า "ไล่ให้เราไปเรียนเอาใบอนุญาตครู" ^ ซึ่งมันไปกันคนละเรื่องเลยหละ แต่สิ่งที่เราพูดสื่อความหมายได้ว่า "การยอมรับผู้ที่มีประสบการณ์และมีผลงานเฉพาะทางในสาขาใดสาขาหนึ่งในระดับมืออาชีพให้มาเป็นครูได้มันจะช่วยแก้ปัญหาเรื่องความขาดแคลนครูที่เก่งๆเฉพาะทางในสาขานั้นๆ" ^ ในเชิงตรรกะแล้ว หากคุณจะยืนยันความชอบธรรมของกฎระเบียบเรื่องใบอนุญาตครู คุณก็ควรโต้แย้งโดยมีข้อพิสูจน์ว่า "ใบอนุญาตครูใช้เป็นเกณฑ์วัดได้อย่างแท้จริงว่าจะไม่มีครูที่ต่ำกว่ามาตรฐานเลยสักคนเข้ามาสอนวิชาที่เขาไม่กระดิกหูเลย ยกตัวอย่างเช่นคุณต้องพิสูจน์ให้ได้ว่า "ไม่มีครูสอนภาษาอังกฤษที่มีใบอนุญาตคนไหนที่ฟังหรือพูดภาษาอังกฤษก็ยังไม่กระดิกหูเลย (แต่จริงๆแล้วเราพิสูจน์ได้ว่ามีเพียบเลย!)" " แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 54 06:40:23 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 06:31:57

ความคิดเห็นที่ 25 เอ้าได้เวลาพักยก ไปดูที่มาของคำว่า "ประเทศสารขันธ์ (จริงๆแล้วน่าจะเป็นประเทศสารขัณฑ์) ได้ที่กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10909183/K10909183.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 06:43:12

ความคิดเห็นที่ 26 จะได้กินมาม่ารอไหมครับเนี่ย ท่าทางจะยาว จากคุณ : เด็กชายไร้เดียงสา เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 19:35:07