ความคิดเห็นที่ 1 ตอบเร็วๆ นะคะ 1. แรงงานที่จะเคลื่อนย้ายได้เสรีมากขึ้น คือ แรงงานมีฝีมือ labour skill  7 ประเภทค่ะ เช่น แพทย์ พยาบาล สถาปนิก และที่ แปลกคือ surveyor คนที่ลงไปตรวจของในเรือ ก่อนส่งออก 4. ภาษาราชการของอาเซียนคือ ภาษาอังกฤษค่ะ โอกาสที่จะใช้ภาษาอินโดเป็นภาษากลางคงไม่ใช่ แต่การรู้ภาษาอาเซียนเพิ่มอีกหนึ่งภาษา ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายนะคะ  ลาว เขมร เขายังรู้ภาษาไทยเลย ได้เปรียบเราด้วย 5. การใช้เงินสกุลเดียวกัน คงอีกนานนะคะ EU ยังใช้เวลารวมตัวตั้งแต่ปี 1945 จนถึง 1997 กว่าจะเป็นยูโร  และประเทศที่ระดับเศรษฐกิจพัฒนาน้อยกว่า ก็ยังเข้า EU ทีหลัง (ยุโรปตะวันออก)   ดีจังค่ะ ที่จขกท  alert ในเรื่องนี้ จะได้เตรียมปรับตัว และแสวงหาความรู้ และแนวทางเพิ่มเติม แต่ต้องศึกษาข้อมูลที่ถูกต้องด้วยนะคะ จากคุณ : rebecca de winter เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 17:20:05

ความคิดเห็นที่ 2 แต่ละ issue ที่เจ้าของกระทู้ลิสต์มา มันมีแนวคิดและทฤษฎีรองรับหมดแล้วแหละครับ อยู่ที่การเอามาปรับใช้กับอาเซียนเองแหละว่าคนระดับ policy makers จะทำได้ดีแค่ไหน มันมีข้อน่าสนใจอยู่นิดนึงครับ คือเวลาเราพูดถึงการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจเนี่ย หลายๆ ท่านจะนึกถึงอียูว่าเป็นตัวอย่างที่โดดเด่นของการประสบความสำเร็จที่สัมผัสได้จริง แต่ถ้าใครได้มีโอกาสเข้าไปดูเนื้อในจริงๆ เกี่ยวกับการดำเนินงาน การบริหารงบประมาณ การบริจาคเงินของสมาชิกให้ได้ตามเกณฑ์ข้อตกลง การจัดการการเคลื่อนย้ายแรงงาน ฯลฯ แล้วจะพบว่าการดำรงอยู่ของอียูมันทุลักทุเลมากครับ โดยเฉพาะในสภาวะเศรษฐกิจแบบที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้ จากคุณ : Varalbastra เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 17:38:50

ความคิดเห็นที่ 3 ประเทศไทยจะได้เล่นสงกรานต์ตอนสอบ ฮาาาาาา ....... ผมกลัวมากเลยนะครับ เรื่องทำอะไรให้เหมือนชาวบ้านทั้งหมด แล้วมันดันไม่เข้ากับประเทศไทยเอาซะเลย เช่น การเลื่อนการเปิดปิดโรงเรียน ซึ่งแต่ละประเทศในโลก เขาเปิดปิดโรงเรียนไม่เท่ากัน มันเป็นเพราะวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่า มันเป็นมาตรฐานสากล หรืออะไร แต่เป็นเรื่องวัฒนธรรมล้วน ๆ ผมไม่เข้าใจว่า อธิบดีทบวงมหาวิทยาลัยคิดอะไรอยู่ ที่บอกว่า จะเลื่อนเปิดปิดตาม "สากลของอาเซียน" แล้วไอ้การเปิดปิดสถานศึกษาที่เป็นสากลของอาเซียนเนี่ยใช้วัฒนธรรมของประเทศไหนเป็นตัวกำหนดวัด อย่างประเทศไทยที่เราเปิดปิดช่วงก่อนหน้าเมษา เพราะมันเป็นช่วงหน้าร้ิอนอย่างนึง และให้นักเรียนได้เที่ยวเล่นอย่างสบายหลังสอบเสร็จอย่างนึง ทั้งสองข้อมันจะทำให้นักเรียนมีเวลาว่างพอที่จะเข้าร่วมประเพณีของบ้านเรา คือ สงกรานต์ได้ ซึ่ง ... สิงคโปร์ หรือ ฟิลิปปินส์ เขาก็คงไม่มีเหมือนประเทศเราล่ะมั้ง ... เลยเปิดปิดตาม "สากลของอาเซียน" ได้ จากคุณ : เสี่ยวเก้า (กระบี่เก้าเดียวดาย) เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 17:39:52

ความคิดเห็นที่ 4 เรื่องย้ายเวลาเปิดเทอม มันเป็นไปได้ไหมครับที่จะไม่ต้องเปลี่ยนระบบอะไรมาก คือให้การเรียนระดับประถมและมัธยมคงเดิม แต่ย้ายการสอบแอดมิชชั่นไปลงตรงช่องว่างที่ว่างอยู่ระหว่างเดือน มิ.ย.- ส.ค. เด็ก ม.6 จะได้เรียนหนังสือกันแบบเต็มๆ เสียที จากคุณ : Varalbastra เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 17:50:40

ความคิดเห็นที่ 5 ดูท่าเราจะตกข่าวเรื่องเปิดเทอมสินะ เราก็กลัวเหมือนเจ้าของกระทู้ เดี๋ยวนี้เห็นฝรั่งหรือแอฟริกันได้ง่ายมาก รู้สึกเหมือนถูกรุกรานทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำอะไรเรา ไปตลาดคนขายชาวพม่าไปเกือบครึ่งแล้วมั้ง นี่ขนาดไม่เสรีอย่างเต็มที่นะ มันคงค่อยเป็นค่อยไป เราต้องทำใจว่าคมนาคมและการสื่อสารมันสะดวกขึ้น อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงง่ายไปหมด จากคุณ : khumchalong เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 18:09:58

ความคิดเห็นที่ 6 แต่ผมอยากใช้เงินสกุลเดียวนะ คิดง่ายๆ ว่าให้ใช้เงิน 1 หน่วยของประเทศที่มีค่าน้อยสุด เป็นตัวตั้ง (นึกเอาว่า เป็น เปโซ ฟิลิปินส์   เพราะรูเปียห์ อินโดนีเซีย หรือ กีบของลาว ต้อง เทียบค่า ที่ 1,000  ขึ้นไป) แล้วก็ไปสำรวจว่า ถ้านำเปโซ ไปแลกเปลี่ยนซื่อของในแต่บะประเทศจะได้เท่าไหร่ เช่น ในไทย โค้กกระป๋องละ   15  บาท เทียบได้กับยี่สิบเปโซ ฟิลิปินส์ ก็กำหนดราคาสินค้าเป็นสกุลใหม่  (สมมติว่า ชื่อ อาเซ่ ) 20 อาเซ่ ในสิงคโปร์ โค้กราคา 1 ดอลลาร์สิงคโปร์ เทียบได้กับสามสิบเปโซ ฟิลิปินส์ ก็ได้เท่ากับ 30 อาเซ่ เวลาเที่ยวในอาเซียนจะได้ไม่ต้องแลกเงินให้ยุ่งยาก แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 54 19:40:44 แก้ไขเมื่อ 08 ส.ค. 54 19:40:25 จากคุณ : taoru เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 19:39:53

ความคิดเห็นที่ 7 เรื่องแรงงานขั้นต่ำนี่ไม่ค่อยกลัวนะ แต่กลัวบัณฑิตไทยจะตกงานน่ะสิ อย่างเช่นตอนทำงานแปลเอกสารเห็นขนาดคนไทยเป็นอาจารย์สอนภาษาญี่ปุ่นอยู่ที่สมาคมนักเรียนเก่าไทยญี่ปุ่นแปลญีปุ่นไทย ไทยญี่ปุ่นยังผิดบานเพราะไม่แตกฉานภาษาญี่ปุ่น แต่ไปเจอชาวญีปุ่น (อันนี้ไม่ใช่อาเซียน แต่ก็มาแย่งงานไปแล้ว) เรียนภาษาไทยแพล็บเดียวเก่งกว่าคนไทยเรียนญี่ปุ่น มาแย่งงานคนไทยไปเฉยเลย ยิ่งพวกคนจีนจบเอกอังกฤษจากจีนนี่เก่งมากๆเรียนภาษาไทยแพล็บเดียว แปลไทยอังกฤษจีนกลับไปกลับมาพาลจะทำเอาบัณฑิตไทยเอกอังกฤษกับเอกจีนเดี้ยงกันไปตามๆกันเพราะแพ้บัณฑิตจีน เมื่อเร็วๆนี้เราก็ไปยลโฉมนักศึกษาสาวเวียดนามเรียนเอกอังกฤษที่เวียดนาม อยู่ปี 3 เขียนภาษาอังกฤษชนะคนเรียนปริญญาโทภาษาอังกฤษมหาลัยไทยขาดลอยเลยอ้ะ! แล้ว she ก็กำลังเรียนวิชาโทคือ "ภาษาไทย" ด้วยเหตุผลที่ she บอกว่า "เรียนภาษาไทยคลายเครียดเพราะภาษาอังกฤษมันยาก แต่ภาษาไทยมันคล้ายภาษาเวียดนามเลยเรียนง่าย" เอ้าเวรกรรม อีกหน่อยแม่คุณจบมา แปลไทยอังกฤษเวียดนาม ชนะบัณฑิตไทยขาดลอยอีกน่ะ... สู้กันเรื่องการศึกษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษนะ "น่าหนักใจ" เราเคยดูทีวีจีนผ่านเน็ตความเร็วสูง เห็นครูสอนภาษาอังกฤษของจีนขนาดสอนระดับมัธยมยังพูดอังกฤษชัดและแม่น grammar พูดคล่องปร๋อเลยอ้ะ ในขณะที่ครูไทยที่สอนระดับนี้ส่วนใหญ่ฟังกับพูดอังกฤษไม่กระดิกหูเลย แต่ที่ได้งานครูไปเพราะพวกเขามีใบอนุญาตครูเลยผูกขาดอาชีพนี้ไว้ได้ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 20:42:39

ความคิดเห็นที่ 8 ปล. หนังสือที่เรียนเกี่ยวข้องกะภาษาเหล่านี้ในไทยยังหายากอยู่นะ จากคุณ : คนเก่าจริง (คนเก่าจริง) เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 21:28:15

ความคิดเห็นที่ 9 เรื่องความสามารถของคนที่คุณ fortuneteller พูดถึงเนี่ย เค้าไม่ได้อยู่เฉยๆ แล้วได้มานะคะ เค้าต้องผ่านการฝึกฝน เรียนอยู่กันอย่างหนัก ถึงจะได้ผลลัพธ์ออกมาแบบที่ต้องการได้ ดังนั้นถ้าคนไทยอยากเก่งแบบนั้น เราว่าก็คงต้องทุ่มเทในการศึกษาหาความรู้ให้ได้อย่างพวกเค้านะค่ะ จากคุณ : Living Extreme เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 23:23:07

ความคิดเห็นที่ 10 ไม่รู้รายละเอียดเรื่องนี้นะคะ เพียงแต่อยากมาแชร์ปัญหาที่เกิดกับสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐที่อาศัยอยู่เมื่อครั้งที่เริ่มใช้ NAFTA (North American Free Trade Agreement) เมื่อต้นปี 1994 สนธิสัญญานั้นจำกัดอยู่เพียงการร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่าง สหรัฐอเมริกา แคนาดา และ เม๊กซิโก ปัญหาที่เกิดขึ้นทันทีคือการสูญเสียงานอย่างมหาศาล โดยเฉพาะรัฐที่เคยพึ่งกิจการการผลิตสินค้าเป็นหลัก อย่างเช่นรัฐที่อยู่นี่เคยเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางการทอผ้าของประเทศ อุตสาหกรรมนั้นตายสนิททันทีเลยค่ะ โรงงานทอผ้าปิดกันทุกวัน วันละหลายๆ แห่ง จนมาถึงเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน โรงงานสุดท้ายในรัฐปิดตัวลงเพราะสู้แรงงานเม็กซิกันไม่ได้ ผู้คนที่เคยทำงานในโรงงานทอผ้ากับกิจการที่เกี่ยวข้องต้องกลับไปเรียนหนังสือใหม่เพี่อเรียนรู้งานในสาขาอื่น หรือไม่ถ้าแก่เกินไปก็เกษียณอายุจากการทำงาน ข้อดีคือเม็กซิโกและแคนาดาซื้อสินค้าของอเมริกามากขึ้นเพราะภาษีถูกลง กลายเป็นอเมริกาได้เปรียบในเรื่องการส่งออก ซึ่งก็พอเอามาคานกันได้ แต่ผลที่มีต่อคนทำงานซึ่งเป็นคนชั้นกลางทั่วไปก็ยังมีมาจนถึงทุกวันนี้ คือเมื่อก่อนคนทำงานมีอำนาจต่อรองค่อนข้างสูง มี union อะไรพวกนั้น แต่เมื่อเจ้าของงานมีทางเลือกมากขึ้น เพราจะย้ายโรงงานไปตั้งที่ไหนก็ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเม็กซิโกซึ่งค่าแรงถูกกว่ามาก คนงานก็เลยมีอำนาจต่อรองน้อยลง (ทุกวันนี้ย้ายไปจีนเพิ่มขึ้นมาอีกแห่ง คนทำงานที่นี่ยิ่งถูกบีบตัวลีบแล้วลีบอีก) ง่ายๆ ว่าเรื่องปัญหาแรงงานกับการตกงานนี่จะเห็นชัดในปีแรกๆ ค่ะ คนทำงานก็ต้องปรับตัวให้ได้ ในอเมริกาโชคดีที่สมัยนั้น service industry แล้วก็พวกกิจการทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตเข้ามาแทนที่ มีการสร้างงานที่เกี่ยวข้องกับ industry ด้านนั้น 22 ล้านงาน e-commerce เริ่มต้นเป็นครั้งแรกในอเมริกา แล้วก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ก็เลยมาชดเชยกันได้ แต่ในระดับทั่วๆ ไปก็ได้เห็นคนแก่ๆ มานั่งเรียนหนังสือกับเด็กๆ เป็นคนแก่ที่ตลอดชีวิต เรื่อยไปถึงรุ่นพ่อรุ่นปู่รุ่นย่าเคยทำงานใชโรงงานทอผ้ามาหมดทั้งตระกูล จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 8 ส.ค. 54 23:30:38

ความคิดเห็นที่ 11 การเปิด - ปิด ภาคให้เหมือนกันมันเป็นผลดีกับการศึกษาต่อเนื่องนะ การวางแผนตารางการศึกษาควรทำเพื่อให้การศึกษามัน Optimum ที่สุดก็เท่านั้นเอง จะไปสนทำไมว่าเด็กจะหยุดเล่นสงกราณต์ ฯลฯ ตอนไหนยังไง เพราะจุดประสงค์ของการศึกษาก็ต้องเน้นที่การศึกษาสิ จากคุณ : Nexus เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 01:55:36

ความคิดเห็นที่ 12 คุณหมอดูพูดถึงคนจีนเรียนภาษาอื่น เคยเจอคนจีนเป็นล่ามนำคนจีนไปเมืองไทย กลุ่มนั้นเป็นกลุ่มตัวแทนทางการค้า ไปร่วมงานที่กรุงเทพแล้วเจอ มีคนแนะนำให้รู้จัก แล้วเขาก็แนะนำตัวเองด้วยภาษาไทยว่า "ผมชื่อคุณลู่นะครับ" สำนวนไทยไม่มีเพี้ยนเลยค่ะ ถ้าหลับตาฟังจะไม่รู้เลยว่าเป็นคนชาติอื่น ยังจำเสียงที่เขาแนะนำตัวได้ถึงตอนนี้เลย เพราะประทับใจมาก ทั้งๆ ที่เขาเรียนภาษาไทยที่จีนมาตลอด เคยไปเมืองไทยก็แค่ครั้งสองครั้งเท่านั้นเอง จะต่างจากคนไทยทั่วๆ ไปพูดอยู่บ้างก็ตรงที่การเลือกใช้คำของเขา หลายๆ คำเป็นทางการมากๆ เป็นเหมือนภาษาเขียนมากกว่าภาษาพูด เห็นอย่างนั้นแล้วคิดถึงเด็กไทยที่เรียนภาษาอังกฤษกันมาทั้งชีวิต ถ้าได้ขนาดนั้นจะดีมากเลย จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 02:00:18

ความคิดเห็นที่ 13 การที่แรงงานต่างชาติจะเข้ามาแย่งงาน      มองดูในอีกมุม      นั่นอาจจะเป็นโอกาสดีที่จะถึงเวลาพลิกประเทศไทยจากประเทศแรงงานไปสู่ประเทศผู้ลงทุน     เพราะเมื่อค่าแรงคนไทยสูงกว่าคนต่างชาติ    คนไทยก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเอง    อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเปลี่ยนตัวเองเป็นแรงงานที่มีคุณภาพสูง      รึถ้าไปได้ดีก็ปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นนายจ้างแรงงานต่างชาติ        เปลี่ยนตัวเองเป็นผู้ลงทุน     และใช้ประโยชน์จากแรงงานต่างชาติราคาถูก ผมรู้สึกพิลึกมานานแล้ว     ที่ประเทศไทยดูเหมือนจะพอใจกับการที่เป็นประเทศที่เน้นแรงงานราคาถูก     ดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ       ถ้าขืนเราพอใจอยู่แค่นั้นอีก100ปีเราก็ไม่มีหวังจะเปลี่ยนตัวเองเป็นประเทศพัฒนาแล้วหรอก     อย่างน้อยที่สุดเราจะต้องเปลี่ยนตัวเองให้เป็นผู้ลงทุนให้ได้     อย่างน้อยที่สุดธุรกิจในประเทศควรจะมาจากการลงทุนของคนในชาติเป็นหลัก     เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน     นักลงทุนต่างชาติน่ะสนใจแต่กำไรของตนเท่านั้น     เกิดอะไรขึ้นก็พร้อมจะทิ้งไทยไปอย่างไม่ใยดี    ต่างจากนักลงทุนไทยที่อย่างไรก็ต้องผูกพันต่อชาติตนเอง        รึถ้าจะให้ดีมากเราควรจะพยายามพลิกตัวเองให้เป็นนักลงทุนสามารถไปลงทุนในต่างประเทศ     แล้วกอบโกยกำไรกลับเข้ามาสู่ประเทศไทยได้นี่สิ    จะเป็นผลดีต่อไทยมากๆ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 02:34:38

ความคิดเห็นที่ 14 ส่วนเรื่องเปิดเทอมเห็นมันก็ต่างกันไปแต่ละที่แหละครับ     ญี่ปุ่นรู้สึกจะเปิดเมษามั้ง   เรียนมาจนปิดเทอมเดือนสิงหา 1เดือน     เรียนต่อไปปิดฤดูหนาวปลายปี2อาทิตย์    จากนั้นก็เรียนต่อจนหมดกุมภารึไงนี่แหละ จะเปิดภาคเรียนอะไรมันก็ต้องให้สัมพันธ์กับฤดูกาลด้วย      ขืนเปิดตามฝรั่งประเทศไทยคงได้ปิดเทอม Summer เดือนสิงหา      ที่ไหนๆเขาก็ปิดเทอมกันฤดูร้อน    แต่เราจะเอาฤดูร้อนมาอยู่กลางเทอม จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 02:38:19

ความคิดเห็นที่ 15 เรากลัวเสียเปรียบ?? จากคุณ : สุดเดียวดาย เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 07:38:44

ความคิดเห็นที่ 16 ผมกลัวเข้ามาปลอมเป็นพระบิณทบาตรหากินน่ะสิครับ เหนื่อยกรมการศาสนาต้องคอยตรวจพระที่บิณทบาตรอีก จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 11:15:05

ความคิดเห็นที่ 17 เดี๊ยนสนับสนุนประชาคมอาเซียนนะคะ แต่พอเอาเข้าจริง ๆ ก็กลัวค่ะ จากคุณ : อวัยวะชิ้นนั้น เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 11:24:12

ความคิดเห็นที่ 18 ใครมีข้อมูลเชิงลึกฝากช่วยแชร์หน่อยครับ เพราะอยากทราบวิธีเบื้องต้นที่ไว้สำหรับแก้ปัญหานะครับ จากคุณ : Elizarah เขียนเมื่อ : 9 ส.ค. 54 19:29:10

ความคิดเห็นที่ 19 ไม่เป็นไร นักศึกษาจีนที่เราเห็น ส่วนมากพูดภาษาอังกฤษเหมือนบ่นอะไรไม่รู้คนเดียว ฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง งกๆ เงิ่นๆ เยอะ แต่คนเก่งก็คงมี แต่ก็คิดว่าคงมีไม่มาก คิดว่ามันเป็นแบบนี้ทุกที่กระมัง จากคุณ : cat_on_a_hot_tin_roof_ เขียนเมื่อ : 10 ส.ค. 54 02:59:59