ความคิดเห็นที่ 1 เจตนาจะดรามาใช่ใหมครับ จะได้ตอบให้ถูก จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 11:26:54

ความคิดเห็นที่ 2 อาจารย์ผมเคยเล่าให้ฟังว่า พระยาพหลมีลูกชื่อนายรัฐธรรมนูญ กับเกิดปรากฏการคนไปซื้อของแล้วไม่จ่ายเงินเพระอ้างว่าประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดิน ผมฟังแล้วฮาเลย แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 54 11:29:02 จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 11:28:41

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนเรื่องรัฐธรรมมนูญที่ ร 7 เนื้อแท้เป็นรัฐะรรมนูญที่ยังให้กษัตริย์ยังมีพระราชอำนาจอยู่มาก แต่มันก็ไม่เคยถูกประกาศใช้จริง ดังนั้นเราจึงไม่อาจทราบได้ว่า ร.7 มีแผนการอย่างไร เช่นการผ่อนถ่อยอำนาจที่ละขั้น เป็นต้น จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 11:32:16

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่ได้ต้องการดรามานะครับ ต้องการอยากรู้จริง ๆ คือผมทราบดีว่า แผนการของ ร.7 มันไม่เคยเกิดขึ้น (หรือจะใช้คำว่า ยังไม่ทันได้ทำ ก็สุดแล้วแต่จะอยู่ approach ไหน)  ซึ่งหนึ่งในวาทกรรมที่ว่ามาคือการทำให้ประชาชนมีความรู้ประชาธิปไตยจนถึงระดับที่คิดว่าโอเคแล้ว ก็ค่อยให้ รธน. ผมก็แค่อยากรู้ว่ายุคนั้นเขาเรียนอะไรกันบ้าง แล้วเขาเรียนเรื่องประชาธิปไตยกันหรือเปล่า เรียนเนื้อหาแบบไหน อะไรอย่างนั้นน่ะครับ จากคุณ : I will see U in the next life. เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 11:48:32

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าคำถามเชิง academic ถ้าตอบกันด้วยเหตุผล มันก็ไม่เกิด drama นะ จากคุณ : I will see U in the next life. เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 11:53:14

ความคิดเห็นที่ 6 ผมอยากรู้มากกว่าว่า ดุสิตธานี มีระบบการจัดการยังไง แล้วได้ผลรึเปล่า จากคุณ : ดุก เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 12:25:23

ความคิดเห็นที่ 7 ไม่มีใครรู้จริงหรอก เพราะคนรู้จริงตายหมดแล้วครับคูณ   I will see U in the next life. จากคุณ : อัครสุวรรณ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 12:46:44

ความคิดเห็นที่ 8 ตอบความเห็นที่ ๖ การทดลองการปกครองในดุสิตธานีนั้น  จะเห็นได้ว่าแม้เป็นการทดลองการปกครองในหมู่ข้าราชสำนักและข้าราชการชั้นสูงของกระทรวงมหาดไทยก็ยังเห็นได้ว่า  เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งแรกในดุสิตธานี  ยังไม่มีผู้ใดที่รู้จักการเลือกตั้ง  หม่อมเจ้าปราณีเนาวบุตร  นวรัตน สมุหเทศาภิบาลสำเร็จราชการมณฑลดุสิตธานีผู้เคยผ่านงานปกครองในตำแหน่งสมุหเทศาภิบาลมณฑลจันทบุรีมาแล้วยังต้องไปเชิญ ท่านราม  ณ กรุงเทพฯ (ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖) ซึ่งเคยเห็นการเลือกตั้งในต่างประเทศมาจัดการเลือกตั้งในดุสิตธานีให้เป็นตัวอย่าง   เมื่อมีการเลือกตั้งครั้งที่ ๒  ท่านราม  ณ กรุงเทพ ติดภารกิจ  แต่ได้แนะให้ไปเชิญพระยาราชเสนา (สหัด  สิงหเสนี) ซึ่งเป็นเจ้ากรมปกครอง  กระทรวงมหาดไทยมาจัดการเลือกตั้งแทน  พร้อมกันนั้นก็ทรงจัดให้มีวิกฤตการณ์ในดุสิตธานีให้มีเหตุต้องเลือกตั้งใหม่  ให้มีพรรคการเมืองให้เห็นเป็นตัวอย่าง  เพื่อที่จะได้นำไปปฏิบัติจริง  ต่อจากนั้นก็ทรงพยายามผลักดันให้กระทรวงมหาดไทยจัดการปกครองแบบเทศบาลขึ้น  ฝ่ายมหาดไทยก็อ้างอยู่เสมอว่าไม่พร้อม  จนเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้วจึงได้เริ่มมีเทศบาลขึ้นเป็นครั้งแรกที่กรุงเทพฯ  ธนบุรี  และเชียงใหม่ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 13:30:41

ความคิดเห็นที่ 9 พูดแล้วยาว =========== พระราชกระแสตอบต่อความเห็นของนาย มุสโสลินี            Interesting มาก เขาสอนให้เด็กของเขานิยมการปกครองอย่างวิธีของ Fascist ได้ แต่เราจะสอนคนไทยให้นิยมการปกครอง อย่าง absolute ได้หรือ ฉันสงสัยมาก เพราะถ้าทำเดี๋ยวนี้ มันช้าเกินไปเสียแล้ว ความนิยมและนับถือใน พระองค์สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินอย่างที่เคยเป็นมาแต่ก่อน ฉันเห็นว่าจะกลับฟื้นขึ้นอย่างแต่ก่อนไม่ได้อีกแล้ว เพราะคนที่เป็นบิดาของเด็ก ๆ ที่กำลังเรียนอยู่เดี๋ยวนี้เคยชิน และชอบการนินทาพระเจ้าแผ่นดินเสียจนติดตัวแล้ว เมืองเราใช้วิธีปกครองอย่าง Dictator แต่ไม่ใช้วิธีการอย่างอื่นๆของ dictator กลับใช้ลักษณะการของ democracy หลายอย่าง จึงเป็นการครึ่งๆกลางๆ และยังไม่ตกลงในกันจริง ๆ ว่าจะเอาอย่างไรด้วย ถ้าจะไม่ใช้แบบ democracy เราก็กลัวฝรั่งจะติเตียนว่า Unciviliged Italy เขาไม่ต้องกลัวใครจะด่าก็ช่าง เมืองเราจะต้องตก between two stools เพราะจะเป็น way out ที่ดีที่สุด แต่จะทำได้หรือ? ถ้าทำไม่ได้ก็ควรเตรียมการที่จะเปลี่ยนเป็น Constitutional Manachy โดยเร็วที่สุดทึ่จะทำได้และต้องให้การศึกษาไปในทางนั้นละกระมัง ? ประชาธิปก จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 20:27:12

ความคิดเห็นที่ 10 ตัดมาส่วนหนึ่ง ============= ประเทศบางประเทศอาจนำเอาระบอบประชาธิปไตยมาใช้เพียงเพื่อความจำเป็นก็ได้ ทั้งที่รู้อยู่ดีว่าระบอบนั้นไม่เหมาะสมกับนิสัยใจคอของประชาชน ด้วยเหตุนี้จึงมีประเทศบางประเทศที่มีรัฐสภาเป็นการเล่น ๆ  ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการแน่นอนแล้วที่เราจะต้องเล่นกันอย่างนั้นบ้างในประเทศสยามในเวลาข้างหน้า ด้วยความคิดคำนึงเหล่านี้อยู่ในใจ ข้าพเจ้าจึงกำลังพิจารณาการปฏิรูปบางอย่างขึ้น           ข้าพเจ้ามีความเห็นว่าถ้าเรายอมรับกันว่าวันหนึ่งเราจะต้องถูกบังคับให้มี ประชาธิปไตยบางแบบขึ้นในประเทศสยามแล้ว เราก็ต้องเตรียมตัวของเราเอง ให้พร้อมอย่างค่อยเป็น ค่อยไป เราจะต้องเรียนรู้และให้การศึกษาแก่ตนเอง เราจะต้องเรียนทดลอง เพื่อที่จะได้มีความคิดว่าการปกครองระบอบรัฐสภานั้น จะดำเนินการได้อย่างไรในประเทศสยาม  เราจะต้องพยายามให้การศึกษา แก่ประชาชนให้เขามีการรับรู้ในทางการเมือง ให้เขารู้จักผลประโยชน์อันแท้จริงของเขา เพื่อที่เขาจะไม่ถูกชักนำไปในทางที่ผิดโดยนักปลุกระดม หรือผู้ที่เอาแต่ฝันถึงยุคพระศรีอารย์  ถ้าเราจะต้องมีรัฐสภากันแล้ว เราก็จะต้องสอนให้ประชาชนรู้จักเลือกตั้ง ว่าทำกันอย่างไร และรู้จักเลือกผู้แทนผู้ซึ่งเห็นแก่ประโยชนของประชาชนอยู่ในใจอย่างแท้จริง ที่เหลือไปอ่านเอาแล้วกัน http://www1.tv5.co.th/service/mod/heritage/king/king.htm แก้ไขเมื่อ 14 ส.ค. 54 20:33:07 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 20:30:58

ความคิดเห็นที่ 11 อ่านประวัติศาสตร์การเมืองไทยช่วง2470-ปัจจุบัน มันกว่าอ่านสามก๊กอีก ลองหาหนังสืออ่านดู จากคุณ : ซุนกวน เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 22:27:52

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้าพูดว่าสมัยนั้นมั้นเป็นการปกครองโดยกษัตริย์ก็คงไม่ถูกต้องนัก เพราะคนกุมอำนาจหลักๆก็คือราชวงศ์ชั้นสูง คือลองไปหาอ่านดูว่าใครมีอำนาจชิงบัลลังค์ได้บ้าง ประเด็นคือการคงอยู่ของอำนาจกษัตริย์คือการคงอยู่ของอำนาจราชวงศ์และขุนนางเก่าแก่ที่เคยถูกกดในสมัย ร.6 ความจริงเจตนารมย์ของร.7ก็ดี แต่ผลประโยชน์ของราชวงศืแวดล้อมมันเยอะกว่า จะปล่อยให้มีสภาก็ไม่ได้เพราะประชาชนจะรู้เห็นการใช้อำนาจ จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 14 ส.ค. 54 23:38:03

ความคิดเห็นที่ 13 ไม่รู้ระบบการศึกษาสมัยนั้นเหมือนกันครับ แต่ในสมัยนั้นทางหนังสือพิมพ์ก็จะมีบทความเกี่ยวกับการเมือง วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล และประชาธิปไตย เท่าที่ไม่เกินขอบเขต เช่น ไม่ถึงขนาดปลุกระดมว่าเรามาล้มกันเถอะ อะไรพวกนี้ ลงให้ชาวบ้านอ่านอยู่เสมอครับ จากคุณ : Chineseman เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 11:27:05

ความคิดเห็นที่ 14 การให้การศึกษาแก่ประชาชนเกี่ยวกับเรื่องประชาธิปไตยโดยเฉพาะในสถานศึกษาคงยังไม่มีหรอกครับ เพราะเอาแค่การศึกษาภาคบังคับในระดับประถมศึกษา ซึ่งต้องดำเนินการตามพระราชบัญญัติการประถมศึกษา พ.ศ.2464 เอาเข้าจริงๆ แล้ว ก็ยังไม่สามารถดำเนินการได้ในทุกท้อง และต้องมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติในท้องที่อื่นๆ ที่มีความพร้อมเพิ่มเติม จนตลอดสมัยรัชกาลที่ 6 และเรื่อยมาจนถึงสมัยการปกครองระบอบประชาธิปไตย สำหรับในรัชกาลที่ 7 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกการจัดเก็บเงินศึกษาพลี และให้รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบในการจ่ายเงินอุดหนุนให้กับโรงเรียนประชาบาล ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนเข้ารับการศึกษาในภาคบังคับอย่างแท้จริง และผลของการศึกษานี้เองจะช่วยทำให้ประชาชนสามารถปกครองตนเองต่อไปได้ นอกจากนี้ในส่วนของการส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่นในรูปแบบสุขาภิบาล ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ทดลองปกครองกันเอง ในรัชกาลที่ 7 ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งการสุขาภิบาลเพิ่มเติมในท้องที่ต่างๆ ตามพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ.127 ระหว่างปี 2473 - 2474 รวม 8 จังหวัด คือ สงขลา อุทัยธานี เพชรบุรี นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี ลพบุรี อุตรดิตถ์ และฉะเชิงเทรา ส่วนอื่นผมมองว่ารัชกาลที่ 7 ท่านเน้นไปที่การส่งเสริมให้มีการบริหารราชการแผ่นดินโดยรูปแบบ "องค์คณะ" หรือ "สภา" เพื่อเป็นการวางแนวทาง และทดลองการปกครองในรูปแบบรัฐสภาได้เด่นชัดมากว่าด้านอื่นๆ  นับตั้งแต่การตั้งอภิรัฐมนตรีสภา ในปี 2468 เพื่อเป็นสภาที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน จนมาในระยะหลังดูเหมือนจะเป็นสภาบริหาราชการแผ่นดินร่วมกับพระมหากษัตริย์ไป ในปี 2469 ทรงจัดตั้งสภาเผยแพร่พาณิชย์ เพื่อให้เป็นสภาที่ปรึกษาราชการ และทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นเกี่ยวกับการพาณิชย์ของประเทศ และในปี 2470 ทรงให้จัดตั้งสภาการป้องกันพระราชอาณาจักร เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานทางการทหารให้ประสานกันในกิจการป้องกันประเทศ และท้ายที่สุดโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติองคมนตรีขึ้นใหม่  เพื่อบังคับใช้แทนพระราชบัญญัติว่าด้วยองคมนตรี จุลศักราช 1236 (พ.ร.บ.ปรีวีเคาซิล) ที่ตราขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 เพื่อทดลองจัดตั้งสภาสำหรับพิจารณาร่างกฎหมายอย่างอังกฤษ โดยร่างพระราชบัญญัติที่พระราชทานลงมาเพื่อให้สภากรรมการองคมนตรีทดลองพิจารณาเพื่อทูลเกล้าฯ ถวายความเห็นประกอบพระราชดำริ ระหว่าง 2470 – 2475 มีดังนี้ - ร่างพระราชบัญญัติจดทะเบียนครอบครัว - ร่างพระราชบัญญัติลักษณะทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา - จัดทำข้อบังคับสภากรรมการองคนมนตรี พ.ศ.2472 - ร่างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 4 ว่าด้วยทรัพย์สิน เหล่านี้แม้จะไม่ส่งผลถึงประชาชนโดยตรง แต่ก็เป็นการวางแนวทางให้ชนชั้นปกครอง และชนชั้นกลางได้เรียนรู้รูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ ซึ่งส่งผลต่อการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยประชาธิปไตยไม่น้อยทีเดียว จากคุณ : รอยใบลาน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 14:17:57

ความคิดเห็นที่ 15 ผมชอบแนวคิดของร.7นะครับ แต่สงสารท่านเหลือเกิน เป็นกษัตริย์ที่แทบจะไร้อำนาจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านความมั่นคง ตามความคิดเห็นของผม ผบ.รักษาพระนครน่าจะมีอำนาจถึงขั้นชิงแผ่นดินเลยก็ได้ ยังไม่นับพวกเสนาบดีเก่าๆในแผ่นดินก่อน ทั้งเชื้อพระวงศ์ ตระกูลขุนนางเก่าแก่ การที่พระองค์ทรงวางแฟนการปกครองแบบสภาผมก็ว่าไม่เป็นผลดีทำไหร่ เพราะยิ่งทำให้อำนาจกษัตริย์ของพระองค์ถูกลิดรอนมากขึ้น เพราะถ้าดูจากรายชื่อคณะอภิรัฐมนตรีจะเห็นว่ามีแต่คนอาวุโสกว่าพระองค์ทั้งสิ้น แต่การวางรากฐานทางการศึกษาของพระองค์จะไม่เด่นชัดเท่าร.6 แต่ก็เป็นยุคที่ประชาชนตื่นตัวในระบอบประชาธิปไตยมากที่สุด และความฟอนเฟะของฝ่ายอำมาตย์และศักดินา เช่นการที่กลุ่มนักเรียนนอกถูกกีดกันในตำแหน่งราชการ การดุลข้าราชการที่ไม่เป็นธรรม ตลอดจนการกดหัวประชาชนในด้านความคิดสมมติเทพ โดยเฉพาะในท้องที่ห่างไกล แต่รวมๆแล้วผมว่าร.7ทรงเป็นกษัตริย์ที่ดีมากที่สุดองค์หนึ่ง ทรงยอมสละอำนาจของพระองค์เพื่อเป็นการเปิดทางให้ประชาชน ทรงยอมหักกับผู้เสียอำนาจกับพระญาติใกล้ชิด ยอมเสียพระเกียรติยศเพื่อหยุดยั้งการแย่งชิงอำนาจทางการเมือง และที่สำคัญหากไม่มีคณะราษฏรและพระปกเกล้าฯ ประเทศนี้คงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากคุณ : ยองเจียงใหม่ เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 16:45:57

ความคิดเห็นที่ 16 ขอแย้งความเห็นที่ ๑๔  ในเรื่องที่ว่า ระัชกาลที่ ๗ ทรงตั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์และสถิติพยากรณ์กับสภาป้องกันพระราชอาณาจักรนั้น  สภาทั้งสองตั้งมาแต่รัชกาลที่ ๖ แล้วครับ   ข้อที่น่าคำนึงถึงคือ  แนวนโยบายบางประการที่รัชกาลที่ ๖ ทรงริเริ่มไว้  แล้วไม่ได้รับการสานต่อในรัชกาลที่ ๗ เช่น การแยกอำนาจตุลาการออกจากอำนาจบริหาร  ซึ่งถึงรัชกาลที่ ๗ กลับยกอำนาจตุลาการกลับไปไว้ใต้อำนาจเสนาบดีกระทรวงยุติธรรม  การยุบเลิกตำแหน่งอุปราชและโอนสมุหเทศาภิบาลจากที่เคยขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับไปสังกัดในเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยอีกครั้ง  การยุบเลิกกระทรวงทหารเรือแล้วโอนทหารเรือไปขึ้นกระทรวงกลาโหม   ที่สำคัญคือความไม่ต่อเนื่องของการบริหารบ้านเมืองที่มีการรับช่วงมาแต่รัชกาลที่ ๔ - ๕ - ๖  แต่พอถึงรัชกาลที่ ๗ กลับทรงย้อนกลับไปเหมือนสมัยเริ่มปฏิรูปการปกครองในรัชกาลที่ ๕ จากคุณ : V_Mee เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 20:15:37

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องการจั้งตั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์ และสภาป้องกันพระราชอาณาจักร เป็นไปตามความเห็นของคุณ V_Mee ครับ  ทั้ง 2 สภานี้จัดตั้งมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 สภาเผยแผ่พาณิชย์นัั้น รัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ ให้ตราระเบียบการการเผยแผ่พาณิชย์ ส่วนสภาผ้องกันพระราชอาณาจักร โปรดเกล้าฯ ให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของสภา และจัดทำระเบียบการของสภาชึ้นใหม่ครับ ขอบคุณคุณ  V_Mee ที่ท้วงติงครับผม แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 54 21:57:54 จากคุณ : รอยใบลาน เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 21:21:56

ความคิดเห็นที่ 18 แก้ไขเมื่อ 15 ส.ค. 54 22:49:18 จากคุณ : RX_ALCHEMIST (RX-ALCHEMIST) เขียนเมื่อ : 15 ส.ค. 54 22:16:31

ความคิดเห็นที่ 19 อ้างตามเอกสารก็ว่าไป บางคนเค้าก็ว่าเอกสารเข้าข้างตัวเอง จากคุณ : superkoy เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 00:11:19