ความคิดเห็นที่ 1 เรื่องกบฎพระยาพิชัย พระยาสวรรคโลก การกบฎในความเป็นจริงต้องเกิดใน พ.ศ.2127 หลังประกาศอิสรภาพไม่นานและก่อนรบกับพระยาพสิม พระเจ้าเชียงใหม่ คิดว่าพระยาพิชัย(กรุง ศรีวิไล)กับพระยาสวรรคโลก(มาณพ อัศวเทพ)ไม่น่าเป็นคนเดิมกับในเรื่อง สุริโยไท อย่างแรกเหมือนผมเคยอ่านเจอว่าท่านมุ้ยคิดว่าพระยาสวรรคโลกเป็นเชื้อเขมรที่เข้ามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระไชยราชา คิดว่าน่าจะเป็นเจ้าพญาโองหรือพญาองคสวัรคโลก(ไม่แน่ใจว่าผมจำผิดหรือเปล่า) และเหมือนกับอาศัยหลักฐานของปินตู ว่าตอนปราบขุนวรวงศาธิราชมีเจ้านายเชื้อเขมรร่วมก่อการด้วย หากเชื่อว่าพญาโองเป็นคนเดียวกับพระยาสวรรคโลกซึ่งหลังก่อการได้เป็นเจ้าพระยาสวรรคโลก เจ้าพญาโองต้องตายใน พ.ศ.2099 เนื่องจากไปรบเขมรตามรับสั่งของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หมายเหตุ- สวรรคโลกเป็นทินนามของเขมรด้วย โดยเป็นตำแหน่งของเจ้าเมืองโพธิสัตว์ และสันนิษฐานกันว่าน่าเป็นตำแหน่งนี้มากกว่าเป็นเจ้าเมืองสวรรคโลก ส่วนพระยาพิชัยในพงศาวดารระบุว่าเป็นข้าหลวงเดิม แต่อาจไม่ใช่คนเดียวกับพระยาพิชัยที่ปราบขุนวรวงศาซึ่งได้เป็นเจ้าพระยาพิชัย เนื่องจากในพงศาวดารกล่าวว่าหลังจากเสร็จศึกที่พระมหินทราธิราชร่วมมือกับล้านช้างไปตีเมืองพิษณุโลก พระมหาธรรมราชาคิดจะหาอุบายกำจัดพระยาราม(ออกญารามรณรงค์สงคราม)คู่คิดพระมหินทร์ เจ้าเมืองกำแพงเพชรเก่าที่หนีไปเข้ากับพระมหินทร์และได้เป็นพระยาจันทบูร จึงส่งหนังสือไปขอพระยารามมาเป็นเจ้าเมืองพิชัยโดยอ้างว่าเมืองพิชัยตอนนั้นไม่มีเจ้าเมือง เป็นไปได้ว่าเจ้าพระยาพิชัยอาจตายไปแล้ว (บางท่านสันนิษฐานว่าสมัยนั้นยังไม่มียศเจ้าพระยาสำหรับขุนนาง) มีเหตุการณ์หนึ่งในครั้งนี้ที่ไม่มีในภาพยนตร์คือ สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำพิธีศรีสัจปานกาลที่วัดฤาษีชุม เมืองสุโขทัย โดยเอาน้ำในบ่อพระสยามภูวนาถกับน้ำตระพังโพยศรีซึ่งเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาตั้งพิธีบูชาแล้วดื่มเป็นน้ำพระพิพัฒสัตยา ซึ่งสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงกล่าวว่าเป็นการทำสัตย์สัญญาเพื่อกอบกู้บ้านเมืองไทยให้เป็นอิสรภาพ ซึ่งเป็นฉากที่ผมกับคุณออกหลวงมงคลคคิดว่าควรใส่ไปในภาพยนตร์ด้วย แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 22:33:58 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 19:18:10 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 17:22:27 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 17:10:19

ความคิดเห็นที่ 2 การยกทัพของหงสาวดี ภาพยนตร์สื่อว่ากำลังฝ่ายหงสาวดียกมาทั้งหมด 24 ทัพใน พ.ศ.2129 ตามในมหาราชวงษ์พงษาวดารพม่ากล่าวว่า "แล้วพระองค์ทรงตรัสให้นันทจอถิงทัพ ๑ สมิงแรสังรันทัพ ๑ พระยาปราณทัพ ๑ แล๊ดเชจอถิงทัพ ๑ พระยาลอทัพ ๑ นันทสุริยะทัพ ๑ ศิริไชยจอถิงทัพ ๑ สมิงนครอินท์ทัพ ๑ ภะยะกามณีทัพ ๑ พระยาพาตทัพ ๑ ศิริชัยนรทาทัพ ๑ สมิงงอฝางทัพ ๑ ราชสังจรันทัพ ๑ แอมอญตราทัพ ๑ เนมะโยจอถิงทัพ ๑ ศิริธรรมโสกทัพ ๑ ตองงูบุเรงทัพ ๑ (ตองงู บุเรงนี้แปลว่ากรม ตองงูนั้นคือเมือง) สาดอนัดชินหน่องพระราชบุตร์ของตองงูบุเรงทัพ ๑ เกณฑ์ทางฝ่ายเชียงใหม่นั้น คือพระยาแสนหลวงทัพ ๑ พระยาน่านทัพ ๑ พระยาแพร่ทัพ ๑ พระยาตุไรทัพ ๑ แล้วพระองค์ก็ทรงเสด็จด้วยกระบวนใหญ่ ยกไปตีกรุงศรีอยุทธยา แต่ ๒๔ ทัพนี้ช้างรบ ๑๒๐๐ ม้า ๑๒๐๐๐ พลทหาร ๒๕๒๐๐๐ ทรงเสด็จยก ณ วัน ๑ ฯ๙ ๑๒ จุลศักราช ๙๔๘ แต่ที่กรุงหงษาวดีนั้นให้อุปราชพระราชโอรสอยู่รักษากรุง ในภาพยนตร์พระมหาอุปราชาจะร่วมทัพมาด้วย ต่างกับพงศาวดารไทย(ผมคิดว่าน่าเป็นตามไทยมากกว่าพงศาวดารพม่า)ที่กล่าวว่าพระมหาอุปราชายกทัพ 50,000 มาทำนาอยู่ที่กำแพงเพชรตั้งแต่พระเจ้าเชียงใหม่ยังไม่แพ้ที่ทุ่งบ้างแก้วเพื่อเตรียมทำสงครามในระยะยาวแสดงถึงการเตรียมพร้อมของพม่า ในภาพยนตร์พระเจ้านันทบุเรงบอกอีกว่าเป็นทัพ 24 กษัตริย์ซึ่งผมดูแล้วหลายๆทัพเป็นชื่อของแม่ทัพนายกองธรรมดา ในภาพยนตร์เราจะได้เห็นบางคนเช่นนันทจอถิง(ม.ล. รังษิธร ภาณุพันธ์) ศิริไชยจอถิง(พ.ต.ต. จตุรวิทย์ คชน่วม) แต่บางคนที่น่าจะมีความสำคัญอย่างพระเจ้าตองอู(สีหตู-วรุฒ วรธรรม)เราจะไม่ได้เห็นในภาคนี้(แต่คิดว่าต้องมีในภาค 5 เพราะมีในรายชื่อนักแสดง) พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐเรียกพระเจ้านันทบุเรงว่า พระเจ้าหงษางาจีสะยาง เข้าใจว่าเพี้ยนมาจากพระนามเต็มของพระองค์คือ หานตาวดีเซงพยูงาจีเซง แปลว่า พระเจ้าหงสาวดีช้างเผือกทั้งห้า แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 19:13:07 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 17:46:17

ความคิดเห็นที่ 3 จากภาพจะเห็นแม่ทัพนายกองหลายๆคน ถ้าพิจารณาตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ จะได้ดังนี้ พระยาพะสิม - พระเจ้าอาของนันทบุเรงไม่ปรากฏว่ามารบในครั้งนี้ มีแต่ในหลักฐานไทยที่บอกว่าเป็นอา หลักฐานพม่ามีกล่าวในสงคราม พ.ศ.2133 แต่พูดเหมือนเป็นแค่เจ้าเมืองธรรมดา นรธาเมงสอ - ฉบับหลวงประเสริฐเรียกพระเจ้าสาวถี เพี้ยนมาจากตยาวดีเมง(อ่านแบบไทยว่าสราวดีมิน=พระเจ้าสราวดี) ซึ่งเป็นยศของพระองค์ที่พระเจ้าบุเรงนองพระราชทานให้ พงศาวดารพม่าไม่บอกว่าพระองค์ได้ร่วมรบในครั้งนี้ พงศาวดารไทยกล่าวว่าหลังจากรบแพ้ที่ทุ่งบางแก้วก็หนีไปหาพระมหาอุปราชาที่กำแพงเพชร พระมหาอุปราชาจึงให้พระองค์ทำเรือกะจังเหลาคาเตรียมทำศึก พอพระเจ้านันทบุเรงทรงทราบว่านรธาเมงสอรบแพ้จึงกริ้วสั่งให้กลับไปเป็นกองทัพลำเลียงเสบียงที่เชียงใหม่ หากทำไม่ได้จะโดนลงโทษ พระองค์เลยกลับไปเชียงใหม่ เข้าใจว่าคงไม่ได้ร่วมศึกนี้เช่นเดียวกัน มังจาปะโร - จริงๆคือเจ้าเมืองจาปะโร ไม่ได้เป็นพระพี่เลี้ยงพระมหาอุปราชาอย่างในพงศาวดารไทยกล่าว พงศาวดารไทยเรียกมางจาชะโรหรือมังจาชะโร ปรากฏชื่อครั้งเดียวในสงครามยุทธหัตถี พระยาจันโต - น่าจะเป็นข้าราชการมอญ มีปรากฏชื่อในมหาราชวงษ์พงษาวดารพม่าหลายครั้ง เคยปรากฏชื่อเป็นหนึ่งในนายกองที่เคยยกมาตีอยุธยาในสงครามก่อนหน้าซึ่งเหตุการณ์ไม่เหมือนกับพงศาวดารไทย โดยส่งมาจากอังวะตอนที่ไปปราบกบฎตะโดเมงสอ และเป็นผู้ทูลเสนอให้พระเจ้านันทบุเรงยกทัพใหญ่ไปปราบอยุธยาเองในศึก 2129 แต่ไม่มีรายชื่อปรากฏในบรรดาผู้นำทัพ ศิริชัยจอถิง - ภาษาพม่าน่าจะอ่านว่าติริเชยะจอเดง เคยปรากฏชื่อในสงครามก่อนหน้าว่าเป็นหนึ่งในนายทัพที่ตามไปสมทบทัพของพระยาจันโต คราวนี้เป็นหนึ่งในผู้นำ 24 ทัพ (ยศเดิมแต่อาจมีการเปลี่ยนคนก็ได้) พระมหาอุปราชา - องค์นี้รู้จักกันดีอยู่แล้ว นันทกยอสูจะพูดในเม้นถัดไป ส่วนลักไวทำมูอยากให้คุณผ้าพับไว้มาพูดเสริมด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 19:04:00 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 18:27:24

ความคิดเห็นที่ 4 การรบที่บางเกี่ยวหญ้า (คือฉากที่พระราชมนูไปรบแล้วเจอเลอขิ่นกับเสือหาญฟ้า) การรบครั้งนี้ควรจะเกิดในพ.ศ. 2127 ตั้งแต่พระยาพสิมยกทัพมาพร้อมพระเจ้าเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ในภาพยนตร์ภาค 3 โดยหลังจากพระยาพสิมถูกตีถอยไปแล้ว พระนเรศวร พระเอกา จึงยกทัพไปตีทัพพระเจ้าเชียงใหม่ โดยให้พระราชมนู(ฉบับพันจันทนุมาศเรียกพระเทพมนู)กับขุนรามเดชะยกไป พระเจ้านรธาเมงสอเองส่งนันทกะยอสูกับไชยกะยอสูยกมาเป็นทัพหน้าไปตั้งที่บางพุทราและบางเกี่ยวหญ้า เมื่อพม่าออกหาเสบียงก็โดนทัพพระราชมนูตีแตกไปทุกๆวัน สุดท้ายนันทกะยอสูกับไชยกะยอสูจึงต้องกลับไปหานรธาเมงสอที่ชัยนาท จากนั้นนรธาเมงสอจึงยกทัพกลับ (จากนั้นค่อยยกมาอีกครั้งในปี 2129 เกิดเป็นศึกที่ทุ่งบางแก้วในภาค 3 แต่หนังรวมสองศึกเป็นศึกเดียวแล้วเอาศึกเล็กๆครั้งนี้มารวมในศึกนันทบุเรงแทน แล้วก็ไชยกะยอสูก็รับบทโดยจตุรวิทย์ คชน่วม ซึ่งเล่นเป็นศิริชัยจอถิงด้วย) นันทกยอสูปรากฏหลักฐานในสงครามครั้งนี้ครั้งเดียว แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 19:16:11 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 18:49:07

ความคิดเห็นที่ 5 เพิ่มภาพศิริชัยจอถิง/ไชยกะยอสูให้ จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 19:36:48

ความคิดเห็นที่ 6 เรื่องพระนามของนักพระศรีสุพรรณมาธิราช ในพงศาวดารเขมรออกพระนามเป็นศรีสุริโยพรรณ เคยอ่านเจอนานแล้วแต่จำไม่ได้ว่าเล่มไหนมีการระบุว่า "ศรีสุริโยพรรณ" มาจากคำว่า "ศรีสุริยวรรมัน" ในภาษาสันสกฤต นัยว่าเป็นการสืบทอดพระนามกษัตริย์สมัยเมืองพระนคร ซึ่งพระนามนี้ได้ตกทอดมาเป็นพระนามของนักองค์เอง คือพระนารายณ์รามาธิบดีศรีสุริโยพรรณ ในสมัยธนบุรีด้วย ส่วนพระนามพระศรีสุพรรณธรรมาธิราช ว่ามีที่มาอย่างไรนั้นต้องถามท่านมุ้ยหรืออาจารย์สุเนตรแล้วครับ เพราะผมก็หาไม่เจอเหมือนกัน จากคุณ : arawadee เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 19:50:35

ความคิดเห็นที่ 7 คุณ Slight06 ครับ ถ้าช่วยบอกข้อเท็จจริงในฝั่งไทยด้วยก็จะดีนะครับ เช่น - ออกญาเสนาภิมุข เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่นตำแหน่งนี้ในสมัยพระมหาธรรมราชาน่าจะยังไม่มีใช่หรือไม่ - ตำแหน่งการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง สังเกตว่าขุนนางที่กินเมืองจะได้นั่งบนแท่น ส่วนขุนนางในเมืองนั่งบนพื้น ทำไมนาทหารหัวเมืองจึงเหมือนมีศักดิ์สูงกว่านาพลเรือนมากอย่างนี้ - กำแพงเมืองสวรรคโลกในพงศาวดารบอกว่าเป็นศิลาแลงแต่ในหนังก่ออิฐแบบกำแพงเมืองหงสาวดีหรือเปล่า - ออกญากำแพงเพชร ในหนังได้ตำแหน่งนี้มาตั้งแต่ก่อนพระมหาธรรมราชาขึ้นเป็นกษัตริย์อยุธยาและอยู่กับพระมหาธรรมราชาตลอด(ตั้งแต่ฉากแรก) แต่ในภาคแรกกลับเห็นพระยารามณรงค์สงคราม(เป็นฝรั่งที่พระยาจักรีสั่งให้ย้ายปืนไปป้อมเพชร) ซึ่งพระยารามฯนี้เป็นตำแหน่งเจ้าเมืองกำแพงเพชรที่มาช่วยรบในพระนครและไม่ถูกกับพระมหาธรรมราชา ทำไมในเวลาเดียวกันถึงมีเจ้าเมืองกำแพงเพชรสองคน จากคุณ : arawadee เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 20:23:44

ความคิดเห็นที่ 8 พระนามศรีสุริโยพรรณมีหลายฉบับครับ เช่นพงศาวดารเมืองละแวก จ.ศ.๑๑๗๐ พงศาวดารเขมรชำระสมัยรัตนโกสินทร์เป็นส่วนมาก จะหาเอกสารที่ร่วมสมัยได้ค่อนข้างน้อยครับ แล้วเรื่องข้อเท็จจริงผมจะทยอยพูดไปเรื่อยๆครับ ยังมีอีกเยอะ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 20:33:56 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 20:27:59

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบคุณ arawadee ก่อนนะครับ เรื่องออกญาเสนาภิมุขกับพระยากำแพงเพชรจริงๆผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะพูดตอนที่ฝ่ายอยุธยาออกไปเกี่ยวข้าว เดี๋ยวค่อยพูดละกันครับ "ตำแหน่งการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง สังเกตว่าขุนนางที่กินเมืองจะได้นั่งบนแท่น ส่วนขุนนางในเมืองนั่งบนพื้น ทำไมนาทหารหัวเมืองจึงเหมือนมีศักดิ์สูงกว่านาพลเรือนมากอย่างนี้" อันนี้ผมก็ว่าแปลกๆอยู่ มาตั้งแต่ภาค 3 แล้วที่พระยาจักรีซึ่งเป็นสมุหนายกไปนั่งพื้น แต่มีพระยาพระคลังนั่งแท่น เรื่องที่ทำไมขุนนางหัวเมืองได้นั่งแท่นอาจเป็นถ้าเป็นท่านมุ้ยอาจจะอธิบายว่าเพราะขุนนางเหล่านี้อาจเป็นเหมือนพระมหาธรรมราชาซึ่งอาจเป็นเชื้อสายเจ้าผู้ครองเมืองฝ่ายเหนือมาก่อน จึงได้รับการยกย่องเป็นพิเศษ ถ้าดูจากในพระราชพงศาวดาร ขุนนางฝ่ายเหนือจะมีบรรดาศักดิ์ค่อนข้างสูงเช่นเจ้าพระยากำแพงเพชร เจ้าพระยาสุโขทัยเป็นต้น แต่เรื่องจริงๆจะเป็นยังไงผมเองก็ไม่แน่ใจ(อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าสมัยนั้นอาจยังไม่มียศเจ้าพระยาสำหรับขุนนาง) และอาจเป็นเพราะเจ้าพระยากำแพงเพชรได้ว่าที่กลาโหม(เพิ่งได้ในช่วงศึกนันทบุเรง)ด้วยทำให้มีฐานะค่อนข้างสูง ส่วนเรื่องพระยาพระคลังผมหาคำอธิบายไม่ได้จริงๆครับ เรื่องกำแพงเมืองสวรรคโลกตอนผมดูหนังผมเห็นไกลๆนึกว่าเป็นศิลาแลงอยู่แล้ว(ประมาณแบบของทำปลอมแล้วสีไม่เหมือน) เลยไม่ได้พูดครับ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 21:08:30 แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 21:03:32 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 20:55:25

ความคิดเห็นที่ 10 หากดูรูปแล้วควรจะมีขุนนางตำแหน่งสูงกว่าพระชัยบุรี พระศรีถมอรัตน์ มานั่งแถวหน้ากว่าอีกมาก ทั้งระดับพระยานาหมื่นอย่างพระยาสีหราชเดโช พระยาท้ายน้ำ ซึ่งมีในหนัง หรือระดับจตุสดมภ์(แต่คนส่วนใหญ่ก็คงบอกว่า นี่มันแค่หนังจะเอาอะไรมาก มั้งครับ) แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 21:00:58 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 21:00:24

ความคิดเห็นที่ 11 นั่นเเหละ ผมถึงไม่ไปดูหนังเรื่องนี้ไง ไปเเล้วหงุดหงิดเปล่าๆ จากคุณ : อวิหา เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 21:20:21

ความคิดเห็นที่ 12 การเตรียมเกี่ยวข้าว ได้มีการให้ทหารจัดเป็นกลุ่มถือพลอาสาหลายกองไปคุ้มกันราษฎรเกี่ยวข้าวในตำบลต่างๆรอบกรุงเพื่อใช้เก็บเป็นเสบียง เหมือนกับในหนัง แต่ในพระราชพงศาวดารจะปรากฏชื่อเจ้าพระยากำแพงเพชรคนเดียว ในเรื่องออกญาเสนาภิมุข ทินนามนี้อาจจะเริ่มบัญญัติใช้ในสมัยพระเจ้าทรงธรรมก็ได้ เพราะในกฎหมายตราสามดวงมีการปรับเปลี่ยนได้ตลอด ในสมัยพระเอกาทศรถมีคนชื่อออกญากรมนายไวยเป็นผู้นำชาวญี่ปุ่นที่มีอิทธิพลมากเหมือนกันในช่วงนั้นก็ไม่ได้บัญญัตินามว่าเสนาภิมุข ส่วนยามาดะ นางามาสะมีหลักฐานปรากฏว่าตั้งแต่มียศเป็น ขุนชัยศร(ผมว่าน่าจะเป็นไชยสุระ) ก็มีตำแหน่งเป็นผู้นำชาวญี่ปุ่นแล้วเหมือนกัน ในพระราชพงศาวดารมีการระบุถึง พระเสนาภิมุข เจ้ากรมอาสาญี่ปุ่นร่วมรบในสงครามยุทธหัตถีด้วย แต่เป็นไปได้ว่าเขียนใหม่ในสมัยหลัง(เพราะส่วนมากชำระสมัยรัตนโกสินทร์) เพราะในบรรดาแม่ทัพนายกองเขียนรายชื่อพร่ำพรรณาละเอียดลออแทบจะยกมาจากทุกกรมเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าสมัยพระนเรศวรมีทินนามนี้แล้วจริง ก็น่าจะเป็นพระ ไม่ใช่ออกญา (เพราะออกญาเสนาภิมุขคนเดิมเล่นในภาค 5 ด้วย) แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 21:30:10 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 21:27:18

ความคิดเห็นที่ 13 ลืมรูป จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 21:27:58

ความคิดเห็นที่ 14 ขออนุญาตนำข้อมูลในกระทู้นี้ไปตั้งข้อถามไว้ที่ห้องเฉลิมไทยนะครับ เพราะเห็นท่านมุ้ยทรงมาเล่นบ่อยๆๆ จากคุณ : -sam- เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 21:42:40

ความคิดเห็นที่ 15 ทหารอาสาญี่ปุ่นสมัยพระนเรศวรมีแน่นอนครับ แต่หัวหน้าทหารอาสาไม่น่าใช่ตำแหน่งออกญาเสนาภิมุข แต่ควรเป็นออกพระสุมิฮิโร่ เพราะมีบันทึกไว้ชัดเจนว่าออกพระสุมิฮิโร่ เป็นหัวหน้าหมู่บ้านญี่ปุ่นในรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวร จากคุณ : arawadee เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 21:45:00

ความคิดเห็นที่ 16 เหตุการณ์เรื่องเจ้าพระยากำแพงเพชร ในหนังจะทำได้ใกล้เคียงกับพงศาวดาร โดยในพงศาวดารสมเด็จพระมหาธรรมราชาจะโปรดให้เจ้าพระยากำแพงเพชรว่าที่สมุหพระกลาโหมด้วย คุมทหารล้อมวังไปป้องกันราษฎรเกี่ยวข้าวที่ทุ่งชายเคือง ถูกพระมหาอุปราชานำทัพตีแตกกลับกรุงแต่ไม่ได้กล่าวว่าฆ่าล้างทหารโหดเหี้ยมแบบในหนัง สมเด็จพระนเรศวรรับสั่งให้ประหารชีวิตตามบทพระอัยการแต่พระมหาธรรมราชาทรงขอไว้ จึงแค่ถูกภาคทัณฑ์ แต่ในหนังไปให้มณีจันทร์เป็นคนขอ(ยกบทพูดของพระมหาธรรมราชาในพงศาวดารให้มณีจันทร์หมด) ซึ่งไม่ค่อยสมเหตุสมผลและไม่เหมาะสมด้วยที่จะยอมขัดพระอัยการเพราะผู้หญิง ให้เป็นทำนองขัดพ่อไม่ได้แบบพงศาวดารจะเหมาะกว่า เจ้าพระยากำแพงเพชรในเรื่องจริงๆก็คงไม่ได้เป็นเจ้าเมืองกำแพงเพชรมาตั้งแต่ต้นเพราะเจ้าเมืองกำแพงเพชรสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิคือพระยาราม ออกญากำแพงเพชรคนนี้อาจจะได้เป็นหลังจากพระยารามหนีไปเข้ากับพระมหินทร์แล้ว หลังจากศึกนี้อยุธยาไม่ได้นิ่งดูดายแบบในหนัง พระนเรศ พระเอกาทศรถทรงยกทัพเรือไปตีค่ายพระมหาอุปราชาที่ชายเคือง เอาปืนยิงพม่าไปมาจนกระทั่งเรือฝ่ายอยุธยาแพ้เหลือแต่เรือพระที่นั่งกับเรือรบอีก 5 ลำ สมเด็จพระเอกาทศรถโดนกระสุนปืนจนแขนเสื้อขาดจากปลายพระหัตถ์ไปถึงต้นแขน พอตอนค่ำฝ่ายไทยจึงยกทัพกลับ จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 21:54:30

ความคิดเห็นที่ 17 เรื่องของรายชื่อผู้นำหมู่บ้านญี่ปุ่นผมก็รู้ครับ ในแง่ของเอกสารญี่ปุ่นเหมือนจะมองว่าตำแหน่งผู้นำชุมชนกับตำแหน่งเจ้ากรมอาสาญี่ปุ่นจะไม่เหมือนกันครับ เหมือนกับผู้นำชุมชนมีหน้าที่ควบคุมประชากรญี่ปุ่นทั้งหมด ส่วนเจ้ากรมอาสาเป็นเสมือนทหารอาชีพที่บังคับบัญชากองทหารมากกว่าครับ แก้ไขเมื่อ 17 ส.ค. 54 22:01:45 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 22:00:09

ความคิดเห็นที่ 18 หลังจากนี้หนังจะถูกคั่นด้วยตำนานรักพระราชมนู-เลอขิ่น เรื่องข้อเท็จจริงเรื่องหนึ่งคุณออกหลวงมงคลเคยพูดไปแล้วในเรื่องฝนตก แล้วก็มีลอยกระทงซึ่งไม่น่าเกิดในช่วงนั้น พระเจ้านันทบุเรงยกจากหงสาวดีในเดือน 12 ถึงอยุธยาเดือนยี่ ถอยกลับพระนครเดือน 7 คงไม่ได้ลอยกระทงแน่ อีกเรื่องที่จะกล่าวเสริมคือเรื่องพระยาสีหราชเดโช ภาคนี้มีบทบาท อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกับพระราชมนูรับบทโดยธนา สินประสาธน์ มาตั้งแต่ภาคหนึ่ง รวมถึงพระยาท้ายน้ำ(คมน์ อรรฆเดช) ซึ่งไม่มีทางเป็นคนเดิม เพราะในเหตุการณ์ที่พระมหินทร์กับล้านช้างร่วมมือกันตีพิษณุโลก ให้พระยาสีหราชเดโช พระยาท้ายน้ำ ทำทีไปช่วยพิษณุโลกแต่จริงๆให้ตีกระหนาบซ้ำ ในหนังทั้ง 2 นำความไปบอกพระมหาธรรมราชาทั้งคู่ แต่ในพงศาวดารกล่าวว่ามีแต่พระยาสีหราชเดโชคนเดียวหลังจากนั้นก็อยู่กับพระมหาธรรมราชา ส่วนพระยาท้ายน้ำหนีกลับอยุธยา แต่อย่างไรตำแหน่งทั้งสองต้องเปลี่ยนคน เนื่องด้วยตอนที่พระมหาธรรมราชาครองราชย์ได้ทรงจัดสรรตำแหน่งให้ขุนนางระดับสูงใหม่ เนื่องด้วยขุนนางเดิมคงถูกกวาดต้อนไปหงสาวดีมาก โดยปรากฏในพงศาวดารว่า " เอาพระศรีเสาวราชเป็นพระยาศรีราชเดโช เอาพระจันทบูรเป็นพระท้ายน้ำ" จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 22:28:53

ความคิดเห็นที่ 19 ขอตามมาอ่านด้วยนะคะ ได้ข้อมูลประวัติศาสตร์ เพิ่มเติม ขอบคุณค่ะ แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 00:01:59 จากคุณ : มิติเดิม เขียนเมื่อ : 17 ส.ค. 54 23:37:45

ความคิดเห็นที่ 20 เข้ามาเก็บตกข้อมูลเพิ่มเติมครับ   เคยอ่านปวศ. กับพระราชพงศาวดารชุดนี้มานานแล้ว เลยลืมเลือนไปหลายอย่าง จึงขอขอบคุณ จขกท ที่ช่วยเรียบเรียงให้อ่านอีกครั้งครับ  จากคุณ : Kross_ISC เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 10:39:39

ความคิดเห็นที่ 21 รออ่านครับผม จากคุณ : เล็ก (ออกหลวงพิสุทธิ) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 10:41:14

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมจากหนังครับ ^^ หนังชื่อว่า "ตำนาน"สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคนี้ดราม่าไอ้ทิ้งน้ำตาร่วงได้อีก..... จากคุณ : teerajack เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 12:00:17

ความคิดเห็นที่ 23 ได้ความรู้เพิ่มเยอะเลยครับ..ขอบคุณมาก ๆๆ ครับ จากคุณ : AD_FOUR เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 12:49:12

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับ ได้ความรู้เพิ่มเติมอีกเยอะ แต่ก็ "ดูหนังให้สนุก" เถอะครับ ยังไงเสียก็ยังเป็นจุดเริ่มให้หลายๆคนหันมาสนใจประวัติศาสตร์ ที่มาที่ไปของชาติตัวเองบ้าง ถ้าเอาข้อมูลทางประวัติศาสตร์มาทั้งดุ้น คงไม่ต่างอะไรกับ "สารคดี" ไม่ใช่ "ภาพยนต์" กว่าครึ่งประเทศก็คงไม่ดู ถึงดูก็บ่นว่า "น่าเบื่อ" อย่างน้อยพอไปดูแล้วก็ได้รื้อฟื้นความรู้เก่าๆ สะดุดใจจนกลับมาค้นคว้าเพิ่ม และก็ยังมีพี่ๆหลายๆท่านเข้ามาไขข้อข้องใจให้กระจ่าง ดูเพื่อบันเทิงครับ อย่างน้อยก็ยังดีกว่าดูละครน้ำคลองแสนแสบ จากคุณ : น้องกี้...ความรู้แค่คืบ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 15:05:42

ความคิดเห็นที่ 25 เรียกว่าหนังดูเพิ่อจุดประกาย จขกท. มาเสริมเรื่องประวัติศาสตร์ เยี่ยมครับ จากคุณ : NATSKI13 เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 15:45:42

ความคิดเห็นที่ 26 อ่านกระทู้นี้ ได้ความรู้มากจริงๆ จากคุณ : โอไซริส เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 18:19:23

ความคิดเห็นที่ 27 ในช่วงการศึกพม่าล้อมกรุงครั้งนี้ มีปรากฏในพงศาวดารพม่าว่ากองทัพฝ่ายหงสาวดีพยายามโจมตีตัวพระนครหลายครั้ง แต่เนื่องจากตัวพระนครมีคูน้ำล้อมกว้าง ฝ่ายอยุธยาจะลำเลียงเสบียงเคลื่อนย้ายกำลังพลก็ทำได้โดยสะดวก พม่าโจมตีหลายหนก็ต้องถอยกลับทุกหนไม่ต่างกับในสมัยพระเจ้าบุเรงนองล้อมกรุงก็คงไม่ได้ตัวพระนครง่ายๆ หากออกญาจักรีไม่ทรยศอยุธยาจะสามารถยันพม่าจนน้ำหลากได้พม่าก็ต้องถอยกลับ(แต่สมัยเสียกรุงครั้งที่ 2 พม่าไม่หนีน้ำ) อีกทั้งอยุธยามีการเตรียมพร้อมอยู่มากกว่าเดิม โดยในตอนเสียกรุงครั้งแรกกำแพงเมืองฝั่งตะวันออกไม่ได้คลุมไปจนสุดแม่น้ำ อีกทั้งคูขื่อหน้าฝั่งนั้นก็แคบพม่าสามารถยกข้ามคูมาตั้งทัพในบริเวณเกาะเมืองได้ ในสมัยสมเด็จพระมหาธรรมราชาจึงโปรดให้ขยายคูขื่อหน้าให้ไปบรรจบกับบางกระจะกว้าง 10 วา ลึก 3 วา แล้วขยายแนวกำแพงไปติดแม่น้ำด้วย พอพม่าแพ้บ่อยๆ แถมพงศาวดารพม่าบอกว่ามีโรคระบาดด้วย ฝ่ายอยุธยาจึงยกทัพออกไปตีค่ายพม่าซ้ำทั้งกลางวันกลางคืนหลายหน ทัพหงสาวดีก็อ่อนกำลังลง ในพระราชพงศาวดารของไทยจะเขียนเฉพาะศึกที่สมเด็จพระนเรศวรเสด็จไปเอง ครั้งแรกคือ ตอนแรม 10 ค่ำเดือน 3 เสด็จไปยึดค่ายพระยานครลำปางที่ปากน้ำพุทธเลาได้สำเร็จ ในภาพเป็นฉากที่ฝ่ายอยุธยายกทัพตีค่ายลักไวทำมูที่ทุ่งลุมพลี(ฉากที่พระราชมนูถูกแทงคอ)ซึ่งไม่มีปรากฏในประวัติศาสตร์ แต่เป็นการแสดงถึงการตีค่ายพม่าหนึ่งในหลายๆครั้งที่พระนเรศวรไม่ได้เสด็จเอง จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 19:17:39

ความคิดเห็นที่ 28 ลืมรูป จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 19:18:07

ความคิดเห็นที่ 29 ครั้งถัดมา ในวันจันทร์ แรม 10 ค่ำ เดือน 4 ตอนกลางคืนเสด็จไปปล้นค่ายหลวงพระเจ้านันทบุเรง ในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ พันจันทนุมาศ หมอบรัดเลย์กล่าวตรงกันว่าไปเจอกับทัพหน้าของหงสาวดีก่อนแต่ถูกตีแตกไปแล้วพระองค์สามารถยกไปประชิดค่ายหลวงพม่าได้ แต่ในหนังสือไทยรบพม่าของสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ(เดาว่าอาจจะมาจากฉบับพระราชหัตถเลขาเพราะผมจำฉบับนี้ไม่ได้) กล่าวว่าพระนเรศวรต้องตีค่ายของทัพหน้าพม่าก่อน(ในหนังให้เป็นค่ายของมังจาปะโร) แล้วยึดค่ายได้สำเร็จก่อนจะตามไปตีถึงค่ายหลวงพระเจ้านันทบุเรง ในหนังการรบครั้งนี้จะจบอยู่ที่ค่ายมังจาปะโรเท่านั้น ศึกนี้สมเด็จพระนเรศวรทรงจัดให้เป็นกองทหารม้าทวน 3 กอง มี 22 42 72 คนตามลำดับ ผมจำนวนทหาร 136 คนนี้(หากเป็นจริงตามพงศาวดารอ้าง)คงจะเป็นแค่กองหน้าในการบุกประจัญบานเพราะจำนวนน้อยมาก คงจะมีทัพเตรียมหนุนเพื่อบุกโจมตีค่ายอยู่ด้วย อย่างกองที่ต้องเตรียมขนบันไดในการปีนค่ายด้วย แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 22:24:12 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 20:29:06

ความคิดเห็นที่ 30 ตามมาอ่านและเก็บความรู้ค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : fondakelly เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 20:34:47

ความคิดเห็นที่ 31 ส่วนตัวไม่เห็นด้วยกับวลีที่ว่า "หนังไม่ใช่สารคดี" กับ "ดูเพื่อเอาสนุก" เพราะมันค่อนข้างจะบ่งบอกถึง "...ฝีมือผู้กำกับ.. กับ คนเขียนบท "  ครับ ก่อนหน้านี้ละครอิงประวัติศาสตร์หลาย ๆ เรื่องก็สร้างโดยยึดเงื่อนไขของประวัติศาสตร์เป็นหลักมาก่อนหน้านี้แล้ว และมีการเสริมบทต่าง ๆ เข้ามา ก็ไม่เห็นว่าอรรถรสของตัวละครจะเสียลงไปแต่อย่างใดนี่ครับ อย่างเรื่องนี้ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 20:59:56

ความคิดเห็นที่ 32 หรือแม้แต่เรื่องนี้ ทั้งสองเรื่องสามารถคง "วัตถุประสงค์หลัก" ทางด้านประวัติศาสตร์เอาไว้ได้ โดยมีการสอดแทรกตัวละครปลีกย่อยเสริมเข้ามา ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้เงื่อนไขของเหตุการณ์ต่าง ๆ เปลี่ยนไปแต่อย่างใด จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 21:03:04

ความคิดเห็นที่ 33 ส่วนประเด็นเรื่องลักไวทำมู ขอยกยอดเป็นวันเสาร์นะครับ เพราะต้องกลับไปหาหลักฐานและพิมพ์มาลงให้อ่านกันครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 21:04:59

ความคิดเห็นที่ 34 ในพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐซึ่งใกล้สมัยพระนเรศวรมากสุดเท่าที่พบ กล่าวแค่ว่าบุกตีค่ายหลวงเท่านั้น แต่ฉบับที่ชำระหลังจากนั้นได้ก่าวถึงการปีนค่ายของสมเด็จพระนเรศวรโดยทรงคาบพระแสงดาบพยายามปีนหลายครั้งแต่ก็ถูกแทงตกลงมาหลายครั้ง(ในหนังครั้งเดียว การแทงที่ว่าอาจจะไม่ใช่การแทงโดยตรงก็ได้) สุดท้ายจึงต้องทรงถอยกลับไป ไม่มีหลักฐานว่าครั้งนั้นพระองค์บาดเจ็บแค่ไหน พระแสงดาบที่คาบไปนั้นเป็นที่รู้จักกันว่า พระแสงดาบคาบค่าย ทุกวันนี้ยังมีองค์จำลองซึ่งรัชกาลที่ 1 โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อใช้ในพระราชพิธี รูปทรงเป็นดาบไทยไม่ใช้ดาบคาตานะของญี่ปุ่น(ประเด็นนี้เคยเห็นคุณผ้าพับไว้กับท่านมุ้ยเถียงกันยาวเหยียด) การรบในครั้งนี้แสดงถึงพระวีรกรรมอย่างหนึ่งของสมเด็จพระนเรศวรที่ทรงรบในสมรภูมิไม่ต่างกับทหารธรรมดาซึ่งถือว่าเป็นการผิดธรรมเนียมการรบแบบเดิมๆ ที่กษัตริย์สมควรรบกับกษัตริย์(ประมาณชนช้าง) ทหารก็รบทหารเป็นต้น และโอกาสตายอนาถในสนามรบนั้นสูงมากด้วย ผู้ชำระพงศาวดารในสมัยหลังจึงได้แต่งเป็นบทสนทนาของพระเจ้านันทบุเรงว่า "พระนเรศวรออกมาทำการเป็นอย่างทหารดังนี้ เหมือนหนึ่งเอาพิเสนมาแลกเกลือ พระราชบิดาจะรู้หรือไม่" เสนา(ในหนังคือพระยาจันโต) กราบทูลว่า "เห็นพระราชบิดาจะไม่รู้หรือรู้แล้วจะมิได้ให้ออกมาทำ" แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 54 06:57:25 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 21:26:18 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 21:25:10

ความคิดเห็นที่ 35 สำหรับพระแสงดาบคาบค่ายองค์จริงสูญหายไปตอนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ในคำให้การขุนหลวงหาวัด(ฉบับหลวง)ซึ่งเป็นเอกสารคำให้การเชลยไทยตอนเสียกรุงครั้งที่ 2 กล่าวว่าเป็นของพระนเรศวร แต่คำให้การชาวกรุงเก่าซึ่งเป็นเอกสารที่มีที่มาเหมือนกันแต่แปลจากภาษาพม่ากล่าวว่าเป็นของพระเอกาทศรถคราวไปรบที่เมืองหาง(ซึ่งคงไม่จริงเพราะในพงศาวดารไม่ได้รบ แค่ไปเฝ้าพระนเรศวรก่อนสวรรคตแล้วก็ถอยกลับกรุง) กล่าวว่าพระแสงดาบนั้นยังมีรอยพระทนต์อยู่ด้วย ในรูป พระแสงดาบคาบค่ายองค์จำลองคือองค์บนสุด ถัดจากนั้นจะเป็น พระแสงขรรค์ชัยศรี พระแสงดาบใจเพชร พระแสงดาบเวียด ตามลำดับ จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 21:35:50

ความคิดเห็นที่ 36 ขออภัยพี่ๆทุกท่านครับ ถ้าผมใช้คำที่ผิดไป จริงๆไม่ได้มีเจตนา กล่าวถึง "ฝีมือผู้กำกับ" และ คนเขียนบทครับ ผมยกย่อง และ ชื่นชม ด้วยซ้ำ ที่ทำหนังแบบนี้มาให้เราได้ดู ผมชอบครับ เพียงแต่ว่า อยากจะสื่อว่า ดูแล้วก็เก็บความสุขกับหนัง และเก็บความรู้จากหนัง อย่าดูแล้วเครียด หนังดีๆแบบนี้ ผมอยากให้ทำมาเรื่อยๆ มีการลงทุนทั้ง เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย ฉาก บท และข้อมูลเชิงลึก แม้จะดัดแปลงไปบ้าง แต่ก็เพื่อ อรรถรสในการชม อย่างที่บอกครับ...ดูหนังแล้วเป็นการจุดประกายสมอง แล้วกลับมาหาข้อมูลศึกษาเพิ่มเติม ยังยืนยันครับว่า...ยังดีกว่านั่งดูละครน้ำคลองแสนแสบทุกคืนหลังข่าว(เด๋วนี้ก่อนข่าวก็มีแล้ว) จากคุณ : น้องกี้...ความรู้แค่คืบ เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 21:56:47

ความคิดเห็นที่ 37 หลังจากนั้นพระราชพงศาวดารของไทย(นอกจากฉบับหลวงประเสริฐ)กล่าวต่อไปว่า พระเจ้านันทบุเรงต้องการจะจับเป็นพระนเรศวรให้ได้จึงให้จัดทหารฝีมือดีที่สุดจากทุกกองทัพให้ได้ 10,000 คนเอาไปช่วยลักไวทำมูทหารทดที่ตั้งค่ายอยู่ที่ทุ่งลุมพลี สมัยก่อนเหมือนจะเข้าใจว่าเป็นลักไวทำมู 1 คนกับทหารทด(ตามฉบับพันจันทนุมาศ ฉบับหลังจากนั้นแก้เป็นทหารทศ) อีก 1 คนเป็นคนนำทัพ แต่จริงๆจากการศึกษาทำให้สันนิษฐานว่าทหารทดน่าจะเป็นชื่อหน่วยทหารมากกว่าโดยมีลักไวทำมูเป็นผู้บัญชาการและตัวลักไวทำมูเองก็น่าจะเป็นทหารทดด้วย อย่างที่เรียกว่า ลักไวทำมูทหารทด อาจแปลว่าลักไวทำมูที่เป็นทหารทด ที่นี้จะอธิบายเรื่องลักไวทำมูก่อน ฉบับบริติชมิวเซียมกรุงลอนดอนเรียกว่าลักไว้ทำมู เข้าใจว่าเป็นตำแหน่งของพม่า โดยคำว่าลักไวน่าจะเพี้ยนมาจากแล๊ดแว(สะกดตามมหาราชวงษ์พงษาวดารพม่า ไม่รู้ว่าพม่าจริงๆอ่านยังไง) ซึ่งแปลว่าซ้าย มักมีคำนี้นำหน้าอยู่ในยศทหารของพม่าหลายตำแหน่ง เช่นเดียวกับยศที่นำหน้าด้วยคำว่าแล๊ดแชซึ่งแปลว่าขวา ส่วนทำมูเหมือนเคยได้ยินท่านมุ้ยว่าแปลว่าแม่ทัพ อาจแปลว่าแม่ทัพซ้าย ในพงศาวดารพม่าเหตุการณ์ศึกครั้งนี้ไม่เคยมีปรากฏชื่อลักไวทำมู แต่มีปรากฏอยู่ในบทกวีของนายนวเดย์ซึ่งผมรอคุณผ้าพับไว้มาอธิบายเสริม ส่วนในพระราชพงศาวดารไทยปรากฏชื่ออยู่ 2 ครั้ง ครั้งแรกคือตอนที่สมเด็จพระมหินทราธิราชถูกพาตัวไปหงสาวดีแล้วเกิดประชวร ลักไวทำมูเป็นผู้นำอาการประชวรกราบทูลพระเจ้าบุเรงนอง ในครั้งที่ 2 คือสงครามครั้งนี้ ส่วนในหนังภาค 1 ที่เป็นคนสนิทพระมหาอุปราชาเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมา แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 22:31:36 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 54 22:08:12 จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 22:07:42

ความคิดเห็นที่ 38 ส่วนทหารทด หรือ ทหารทศ เคยดูสารคดีเบื้องหลังนเรศวร อ.สุเนตรเคยอธิบายว่าที่ถูกต้องน่าจะเป็นคำว่าทดซึ่งแปลว่ากั้น(แบบกุมภกรรณทดน้ำ) เป็นหน่วยทหารที่ใช้ป้องกันศัตรูโดยใช้อาวุธ 2 ประเภทคืออาวุธยาวอย่างหอกแบบที่เราเห็นในหนัง กับดาบหัวตัดใช้สำหรับตัดขาม้า แต่ผู้พันเบิร์ดได้อธิบายแตกต่างออกไปในรายการคุณพระช่วย ตามไปดูเองเข้าใจง่ายกว่าครับ http://www.youtube.com/watch?v=_SEZEmshFp4 ภาพทหารทดในหนัง จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 22:17:10

ความคิดเห็นที่ 39 การรบครั้งนี้เป็นสงครามอีกครั้งที่พระนเรศวรเสด็จออกมาเอง เกิดขึ้นในวันอังคาร แรม 10 ค่ำ เดือน 4 ฉบับหลงประเสริฐกล่าวสั้นๆว่า "...เสด็จพระราชดำเนินออกตั้งเป็นทัพซุ่ม ณ ทุ่งลมพลี แลออกตีทัพข้าศึก ครั้งนั้นได้รบพุ่งตะลุมบอนกันกับม้าพระที่นั่ง แลทรงพระแสงทวนแทงลาวทหารตาย ครั้งนั้นข้าศึกแตกพ่ายเข้าค่าย แลไล่ฟันแทงข้าศึกเข้าไปจนถึงหน้าค่าย" ฉบับชำระหลังจากนั้นได้ขยายความไปว่า พระนเรศวรเสด็จออกไปกับทหาร 3 ทัพล้อมวง 1,000 ไปซุ่มที่ทุ่งลุมพลีที่ลักไวทำมูตั้งค่ายอยู่ รบตั้งแต่ 3 โมงเช้าถึง 4 โมงเช้า ทัพหงสาวดีแตกไป ซักพักลักไวทำมูกับทหารทดจึงเอาทหารม้า 30 มาจัดเป็นพยุหะแบบฉนาง(ในสารคดีอธิบายว่าเป็นเครื่องมือจับปลาชนิดหนึ่ง แบบปลาเข้าแล้วออกไม่ได้) เป็น 2 ปีก ปีกหนึ่งลักไวทำมู ทหารทดอีกปีกเข้ามาโอบล้อมพระนเรศวร ลักไวทำมูถือดาบดั้ง(ในหนังถือทวน)พุ่งเข้ามาจะจับพระองค์ ฟันโดนพระแสงทวนเป็นรอยแต่พระนเรศวรทรงแทงลักไวทำมูตาย หลังจากนั้นทหารทดที่ถือโตมร หอกใหญ่จะเข้ามารุมพระองค์อีก คราวนี้ใช้พระแสงดาบฆ่าทหารทด จากนั้นก็น่าจะเป็นตามฉบับหลวงประเสริฐที่ตีข้าศึกจนแตกกลับค่าย ในไทยรบพม่ายังกล่าวอีกว่าต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงกว่าฝ่ายอยุธยาจะเข้าไปช่วยพระนเรศวรได้ ภาพในจินตนาการของผมจะเห็นเป็นการล้อมจับที่มีการเคลื่อนที่อยู่ตลอดเวลาไม่ได้หยุดนิ่งแล้วมาดวลกันตัวต่อตัวแบบในหนัง แถบยังลงจากหลังม้าแล้วใช้โล่เขนอีกด้วย และไม่น่าเป็นไปได้ที่พอฆ่าลักไวทำมูแล้ว ทหารทดที่เหลือจะมานั่งคุกเข่ายอมสยบใต้พระบารมี หากเป็นอย่างนั้นจริงทหารทดพวกนี้คงถูกพระเจ้านันทบุเรงฆ่าไม่เหลือแน่ฐานปล่อยศัตรูหนีโดยเจตนา จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 22:50:26

ความคิดเห็นที่ 40 หนังจบลงด้วยชัยชนะที่สมเด็จพระนเรศวรมีต่อลักไวทำมูแต่ศึกนันทบุเรงยังไม่จบเพียงเท่านั้น ยังมีสงครามย่อยๆแต่มีความสำคัญอีกหลายครั้งซึ่งคงถูกยกไปไว้ภาค 5 ก็คงต้องรอดูกันต่อไป ผลจากสงครามหลายครั้งสร้างความบอบช้ำต่อทำให้สุดท้ายพระเจ้านันทบุเรงถอยทัพกลับหงสาวดีในที่สุด จากนั้นหงสาวดีก็ไม่มารุกรานกรุงศรีอยุธยาอีกเลยเป็นเวลา 3 ปี อยุธยาสามารถรอดพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้และรักษาเอกราชที่สมเด็จพระนเรศวรทรงมอบไว้ให้ได้สำเร็จ จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 18 ส.ค. 54 23:02:13

ความคิดเห็นที่ 41 รอติดตามอ่านอย่างจดจ่อเลยครับ ขอบคุณทุกท่านมากครับ ปล. ไม่ทราบว่าจะหาพงศาวดารของพม่าอ่านได้จากที่ไหนบ้างครับ จากคุณ : ElClaSsicA เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 00:30:18

ความคิดเห็นที่ 42 เอารูปพระแสงดาบใหม่ให้ชัดขึ้นนะครับ จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 06:56:52

ความคิดเห็นที่ 43 มีเหตุการณ์หนึ่งในครั้งนี้ที่ไม่มีในภาพยนตร์คือ สมเด็จพระนเรศวรทรงกระทำพิธีศรีสัจปานกาลที่วัดฤาษีชุม เมืองสุโขทัย โดยเอาน้ำในบ่อพระสยามภูวนาถกับน้ำตระพังโพยศรีซึ่งเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาตั้งพิธีบูชาแล้วดื่มเป็นน้ำพระพิพัฒสัตยา อ่านตรงนี้ ในหนังสือประวัติศาสตร์ทีไร ให้เป็นตะหงิดๆทุกที ขอเรียนถามตรงนี้แล้วกัน ทำไมอโยธยา ซึ่งเป็นอาณาจักรสูงสุดของสุวรรณภูมิ ต้องไปเอาน้ำจากสุโขทัย ซึ่งน่าจะกลายเป็นอาณาจักรเล็กๆไม่มีความสำคัญแล้ว มาเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ "สูงสุด" ?? อ้อ .. บ่อพระสยมภูวนาถนี่ ไม่เคยอ่านเจอ อยากทราบที่มาที่ไปครับ ขอบคุณ จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 14:03:15

ความคิดเห็นที่ 44 เพราะพระนเรศวรมาจากราชวงศ์สุโขทัยรึเปล่า? ประมาณสำนึกรักบ้านเกิด จากคุณ : เมษาพาเพลิน เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 14:44:12

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณนะคะ ได้ความรู้เยอะมาก     แต่ๆๆๆ ใครเป็นเหมือนเราบ้าง?? จำชื่อไม่ได้อ่ะ อ่านไปไม่ถึงไหนเลย ต้องขึ้นไปข้างบนใหม่ จากคุณ : คุณป้าไฮดร้า เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 14:51:21

ความคิดเห็นที่ 46 อ่านเพลินดีครับ แต่ยังอ่านไม่หมด ต้องค่อยๆอ่าน เยอะ...  555+      ดีจัง ดูจบแล้วมาแชร์ข้อมูลกันแบบนี้...  ค้านกันบ้าง เถียงกันบ้าง สนุกดีครับ ^__^ จากคุณ : ฟาฬ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 15:38:05

ความคิดเห็นที่ 47 ได้ความรู้มากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : งามกระจ่างจันทร์ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 16:04:44

ความคิดเห็นที่ 48 # คุณน้องกี้ฯ ส่วนตัวผมมองตรงกันข้ามกับคุณครับ ถ้าจะใช้วิธี "ทำให้ผิด เพื่อให้ย้อนกลับมาหาข้อมูล" มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าเจอคนที่สงสัยก็แล้วไป แต่ถ้าเจอคนที่ไม่สงสัย และรับสื่อนั้นไป แล้วเอาไปตั้งเป็นบรรทัดฐาน ทุกอย่างก็จบครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 21:43:56

ความคิดเห็นที่ 49 สำหรับดาบหัวตัด ที่นักประวัติศาสตร์บางท่านบอกไว้ว่าเอาไว้ตัดขาม้า จริง ๆ แล้ว ดาบพวกนี้จัดอยู่ในพวก "ดาบเชลย"  ซึ่งมักจะเข้าใจกันผิด ๆ ว่า เป็นดาบของพวกเชลยศึก แต่ในความเป็นจริงเท่าที่เคยสอบถามจากท่านผู้รู้  ท่านบอกว่า เชลย คำนี้คือไม่เข้าพวก ก็คือจัดเป็นดาบที่ไม่เข้าพวกกับใคร ๆ อีกประการ ดาบตัดขาม้า น่าจะต้องมีความยาวพอสมควร และตรงปลายต้องใหญ่พอที่จะตัดขาม้าให้ขาดได้ในทันที  ดาบประเภทนี้ที่เคยเห็น ก็น่าจะมาจากสกุลช่างลาวใต้แถบ ๆ จำปาศักดิ์ หรือ อัตตะปือ ก็มีไม่น้อยครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 21:48:20

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณ จขกท มากครับ ที่ได้นำความรู้มามอบให้ --------------------------------------------------- ถึงแม้ว่าผมจะชอบวิชาประวัติศาสตร์ มากเพียงใด แต่หนังตำนานสมเด็จพระนเรศวร ผมคงยอมดูภาคที่แล้วแค่ครั้งเดียว ส่วนภาคนี้และภาคต่อไปถ้าจะดูคงต้องรอให้มาฉายในโทรทัศน์ล่ะครับ เพราะ กำกับ, เขียนบท และองค์ประกอบส่วนอื่นๆของภาพยนต์เรื่องนี้ อยากจะบอกว่า ยังไม่ดีพอ จากคุณ : q_cosmo เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 21:50:33

ความคิดเห็นที่ 51 ตัวอย่างภาพดาบนะครับ เล่มที่สองนับจากด้านบน นี่คือลักษณะดาบที่เชื่อว่าเป็นดาบมาจากลาวใต้ คือดาบจากสกุลช่างเมือง อัตตะปือ ครับ ส่วนใหญ่ที่เคยสอบถามมา ท่านบอกว่าเอาไว้ใช้ในกองเกวียนเดินแรมทาง ที่เคยจับมา น่าจะเรียกว่ายาวเท่าง้าวก็คงไม่ผิดนัก จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 21:56:14

ความคิดเห็นที่ 52 สำหรับดาบในสมัยอยุธยา ถ้าเป็นดาบหลวง หรือดาบทรงไทยจริง ๆ จะมีหน้าตาแบบนี้เป็นส่วนใหญ่  ดาบหัวตัดยังไม่เคยเห็นงมได้จากแม่น้ำที่ผ่านอยุธยาสักเท่าไรเลย ที่ฮิต ๆ กัน ก็หน้าลูกไก่ไทย(เล่มที่สองนับจากบนสุด กับเล่มล่างสุด)  ส่วนดาบที่เราเห็นมันจนชินตานั่นคือ หน้าลูกไก่ลาว นะครับ เพราะช่างเชื้อสายลาวถูกกวาดต้อนมาอยู่ที่บ้านอรัญญิก แล้วก็ตีดาบตามคติของเขา เลยกลายเป็นดาบประจำชาติไทยไปแล้ว ขอขอบคุณภาพจาก พี่บัญชา แห่งคนรักมีดครับ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 54 22:00:41 จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 21:59:11

ความคิดเห็นที่ 53 จากบทความของ อ. วัลลภิศร์ สดประเสริฐ หน้าหัวปลาหลดนี่ ไม่เห็นหนังเรื่องไหนจะทำสักเท่าไร ทั้ง ๆ ที่เป็นดาบยอดฮิตอีกทรงหนึ่งสมัยอยุธยาตอนปลายต่อต้นธนบุรี มาจนถึงต้นรัตนโกสินทร์ บอกได้คำเดียว่า เสียดายแทนลูกหลานรุ่นต่อไป จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 19 ส.ค. 54 22:05:31

ความคิดเห็นที่ 54 อ่านกระทู้นี้แล้วอยากบอกว่า รักห้องสมุดที่สุดเลยค่ะ จากคุณ : POLAR_POLAR เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 54 01:18:49

ความคิดเห็นที่ 55 ขออนุญาตนำไปแปะไว้ที่ห้องเฉลิมไทย ให้ได้ความรู้ทั่วถึงกันนะคะ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A10958956/A10958956.html ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ให้เพียงเธอหมดใจ เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 54 11:21:50

ความคิดเห็นที่ 56 เอ่ออ เห็นภาพแรก ผมรู้สึกว่า กองทัพละแวก ในตำนานสมเด็จพระนเรศวรนี่ดูละม้ายคล้ายคลึงกับกองทัพนครวัดจังเลยนะครับ ปล. ภาพจากหนังสือ Armies of Angkor แก้ไขเมื่อ 20 ส.ค. 54 22:16:29 จากคุณ : ShopperKimpy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 54 22:15:57

ความคิดเห็นที่ 57 ขนาด harry potter สร้างจากนิยายเล่มเดียวยังดัดแปลงไปซะตั้งมากมายเลย นับประสาอะไรกับประวัติศาสตร์ จากคุณ : kodindy เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 54 22:25:49

ความคิดเห็นที่ 58 # คุณ ShopperKimpy คุณเข้าใจไม่ผิดหรอกครับ คณะผู้สร้างเขาต้องการให้เป็นอย่างนั้น จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 20 ส.ค. 54 22:59:56

ความคิดเห็นที่ 59 อืมมม มันก็แปลกดีนะครับ ไม่รู้ว่าทางผู้สร้างคิดอย่างไร อาจจะต้องการให้ผู้ชมแยกออกได้ง่ายๆหรือเปล่าว่าอันไหน ไทย เขมร ดูแปลกตาดีหน่ะครับ แต่ในขนาดเดียวกันก็รู้สึกเหมือนกับว่าพวกนี้ผิดยุค ข้ามยุคมา อะไรประมาณนี้ ปล. เรื่องดาบ ในสุริโยทัยนี่ขุนนางฝ่ายพม่าใช้ดาบหลากหลาย ทั้งหัวตัด หัวปลาหลด แต่รู้สึกว่าในตำนานสมเด็จพระนเรศวรนี่จะเหลือแต่แบบแรก(เท่าที่สังเกต) ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลเดียวกับข้างบนหรือเปล่าครับ จากคุณ : ShopperKimpy เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 00:03:48

ความคิดเห็นที่ 60 มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถ้าเจอคนที่สงสัยก็แล้วไป แต่ถ้าเจอคนที่ไม่สงสัย และรับสื่อนั้นไป แล้วเอาไปตั้งเป็นบรรทัดฐาน ทุกอย่างก็จบครับ คุณผ้าพับไว้ครับ .. ถ้าเอาอย่างนั้น ผมว่ามัน "จบเห่" มาตั้งแต่ "คนไทยเดิมอาศัยอยู่แถบเทือกเขาอัลไต ..." แล้วหละครับ และจบสนิทตั้งแต่ "ประวัติศาสตร์ชาติไทย สืบเนื่องยาวนานมานับพันปี .." ประวัติศาสตร์ของเรา ที่เรียนๆสอนๆ กันตั้งแต่ ป.1 จน ม.6 ตรงไหนบ้าง ที่มีความจริง? จากคุณ : แมวเหมียวพุงป่อง เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 06:56:07

ความคิดเห็นที่ 61 # คุณแมวเหมียวพุงป่อง ที่คุณบอกมาใช่เลยครับ และผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นในยุคนี้... ทำไมผมถึงบอกอย่างนั้น ??? เพราะถ้าเป็นในยุคของท่านขุนวิจิตรมาตรา ที่ตั้งสมมติฐานว่าคนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไตแล้วเราประณามท่านกัน ผมว่าจะไปบอกว่าท่านทั้งหมดก็ไม่ได้ เนื่องเพราะการเรียนการสอนในยุคก่อนหน้าที่ท่านได้รับรู้มา ความรู้ก็มีอยู่เท่านั้น และก็เป็นขนบการสอนแบบอนุรักษ์นิยม สอนให้จำ ๆ ต่อ ๆ กันมา ..............แต่................. คณะทำงานด้านหาข้อมูลให้กับผู้ผลิตภาพยนต์ชุดนี้ ไม่ใช่คนในยุคของท่านขุนวิจิตรมาตรานะครับ !!!!!!!!!!!!! บางท่านเป็นนักประวัติศาสตร์ที่ชื่อเสียงโด่งดัง จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ ที่นักประวัติศาสตร์ และนักปรัชญาไทยรุ่นใหม่ ต่างนิยมชมชอบเพราะคิดว่ามหาวิทยาลัยนี้แหละ สอนประวัติศาสตร์แบบร่วมสมัย คำถามที่อยากถามกลับคือ ............แล้วทำไม ถึงลำดับเวลาของช่วงประวัติศาสตร์ผิดล่ะครับ ??????????? ....... ผมไม่พูดถึงการ "ตีความทางประวัติศาสตร์" ซึ่งเป็นของที่ผันแปร ตามทัศนคติ และเงื่อนไขของหลักฐานทางประวัติศาสตร์แต่อย่างใดนะครับ ผมถามแค่ว่า เรื่องง่าย ๆ อย่าง ช่วงเวลาของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์ ( History Time Line ) ซึ่งผมเดาว่าแต่ละชาติไม่น่าจะบันทึกต่างกันมากเท่าไรนัก อย่างเก่งแค่ระดับเดือน มีไม่บันทึกบ้างก็แล้วแต่ ขึ้นอยู่กับว่าเหตุการณ์มันเล็กน้อยแค่ไหน และคู่กรณีมองว่ามีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน ..............แต่............. เรื่อง Time Line ไม่น่าจะพลาดครับ ๒...ส่วนที่ถามว่า การเรียนการสอนตรงไหนมีความจริงบ้าง ก็ต้องถามกลับว่า ที่คุณคิดว่ามันไม่จริง คำว่า "จริง" ในกรอบแนวคิดของคุณ คุณตั้งไว้อย่างไร หมายถึง "จริง"  คือมีความถูกต้องของการบันทึกเรื่องราว ๑๐๐ % อย่างนี้ ใช่หรือไม่ ? หรือ หมายถึง "จริง" คือมีความถูกต้องของการบันทึกเรื่องราว ในจำนวนที่น้อยกว่า ๑๐๐ % แต่ก็ไม่ใช่ ไม่มีความจริงเลย ต้องถามก่อนนะครับว่า ในนิยามของคุณคือข้อไหน จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 11:36:36

ความคิดเห็นที่ 62 สำหรับข้อมูลที่สัญญาไว้เรื่อง ลักไวทำมู (ลักแว้ธ้ามู) ไปค้นมาได้ดังนี้ครับ ๑.. ลักไวทำมู ในพงศาวดารของพม่า ไม่ได้ตายเพราะไปดวลทวนหลังม้ากับพระนเรศวร เหมือนอย่างในพงศาวดารฝ่ายสยาม แต่ในพงศาวดารพม่า รวมไปถึงบทกวีของตัวเขาเอง( มังรายนราเอซิ้ง : พ.ศ. ๒๑๔๓ ) ก็ได้กล่าวไว้ถึงการทำสงครามระหว่าง สมเด็จพระนเรศวร และ พระเจ้านันทบุเรง ๒.. ลักไวทำมู เดิมเป็นมหาดเล็กในพระเจ้านันทบุเรง เมื่อมาทำศึกกับอยุธยาไม่แน่ใจว่าครั้งไหน  ปรากฏว่าตัวเขาถูกจับได้ (ไม่ได้โดนพระแสงทวนแต่อย่างใด ) ต่อมาภายหลัง เมื่อคราว พ.ศ. ๒๑๓๗ คราวเสด็จไปตีเมืองหงสาวดี ปรากฏว่า ลักไวทำมู สามารถลอบหนีออกไปจากที่คุมขังของทางฝ่ายสยามไปได้ (เหมือนกรณีพระยาจักรี หนีที่คุมขังของทัพบุเรงนองเลย !!!!) หนีเข้าไปยังเมืองหงสาวดี ภายหลังพระเจ้านันทบุเรง โปรดฯ เลื่อนตำแหน่งเป็นที่ มังไชยนันทมิตร จนเขามาแต่งบทกวี "มังรายนราเอซิ้ง" นั่นเอง ๓.. ลักไวทำมู ในพงศาวดารพม่ายังเป็น ..........."ทูตสันถวไมตรี" อีกตำแหน่ง เพราะเมื่อเขาหนีจากที่คุมขังฝ่ายสยามมากลับไปหงสาวดี ปรากฏว่าภายหลัง เขาได้นำ "สาส์นลับ" ของ เจ้าหญิงมังอะถ้วย (พระราชธิดาองค์เล็ก ของพระเจ้านันทบุเรง : จำชื่อนี้ให้ดีนะครับ) ไปเข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายแด่ สมเด็จพระนเรศวรฯ ใจความเป็นอย่างไรไม่ทราบได้ ทราบเพียงแต่ว่า พระบรมราชวินิจฉัยเกี่ยวกับการพระราชสงครามตีเมืองหงสาวดีได้เปลี่ยนไป........... ไม่ได้ทรงตีหงสาวดีเพื่อนำพระพี่นางกลับ แต่ทรงไปหงสาวดีเพื่อทรงต้องการทำความเข้าใจกับพระเจ้านันทบุเรง เรื่องการทิวงคตของพระมหาอุปราช !!!!!!!!!!!!! ๔.. เจ้าหญิงมังอะถ้วย ถ้าตามบทกวีชื่อเรื่องว่า ธิดาถ้วยเอเช้ง ที่แต่งโดย นายนวเดย์ กวีร่วมสมัยตั้งแต่พระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้ จนถึงสมัยกษัตริย์พระองค์แรกแห่งราชวงศ์ยองรัม ( อยู่มา ๔ แผ่นดิน ) มีพระนามว่า พระนางจันทร์สุชา ( มณีจันทร์ ??? ) ทรงประสูติเมื่อ พ.ศ. ๒๑๐๑ และทรงมีความสนิทสนมกับสมเด็จพระนเรศวร มาตั้งแต่ยังทรงมีฐานะเป็นตัวประกันที่หงสาวดี !!!!! จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 12:35:53

ความคิดเห็นที่ 63 บทกวีของนายนวเดย์ เท่าที่หาอ้างอิงได้ จะอยู่ในหนังสือ nawad radu  baunggyoke nawade พิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ นะครับ ตัวหนังสือจริง ๆ ผมไม่มีครับ ทราบจากหนังสือของคุณมิกกี้ ฮาร์ท อีกทีหนึ่ง ข้อมูลใน Google ที่หาได้ พบแต่ Link นี้ https:s.me.com/inkish/uqm58q ซึ่งเป็นเอกสารสรุปเกี่ยวกับ บทกวีโบราณของพม่า จัดทำโดยคุณ ดรากาน ยาเนโควิช (Dragan Janekovic) ส่วนแรกจะเป็นภาษาสลาฟ พอหน้าที่ ๑๘ ไปจะเป็นบทสรุปภาษาอังกฤษครับ มีการอ้างถึงกวีของนายนวเดย์ด้วยเช่นกัน ในยุคราชวงศ์ตองอู จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 12:47:52

ความคิดเห็นที่ 64 อ้าว link กลายเป็นรูปไปเสียงั้น เอาใหม่ https://f i l e s.me.com/inkish/uqm58q จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 12:49:00

ความคิดเห็นที่ 65 พงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐเองก็ไม่ได้ระบุว่ามีการดวลตัวต่อตัวเพียงแต่ระบุแค่ว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงม้าเอาพระแสงทวนแทงทหารตายไปหลายคน เป็นไปได้ว่าลักไวทำมูอาจจะถูกจับแล้วต่อมาชื่อของลักไวทำมูก็กลายเป็นชื่อที่เป็นที่จดจำของคนอยุธยาสมัยนั้น แล้วผู้ชำระพงศาวดารอาจจำมาผิดเมื่อเวลาผ่านไป(หรืออาจพยายามแต่งเป็นการเฉลิมพระเกียรติซึ่งมีมากในเรื่องพระนเรศวรโดยเฉพาะตอนยุทธหัตถีมีอภินิหารเยอะมาก ลูกปืนยิงเป็นห่าฝนไม่ถูกพระองค์ ในขณะที่ฉบับหลวงประเสริฐซึ่งเก่าแก่สุดยังกล่าวเลยว่าตอนนั้นพระองค์ถูกยิงที่มือ) ผมเคยได้ยินว่ามังอะถ้วยหรือเมงอะทเวนี่เป็นพระธิดาของพระเจ้าบุเรงนองกับพระสุพรรณกัลยาไม่ใช่เหรอครับ รายชื่อมเหสีเจ้าจอมของพระเจ้าบุเรงนองปรากฏอยู่ในพงศาวดารมหายาสะเวงเต๊ะของมหาสีตู ความตอนนึงกล่าวว่าว่า(อ้างจากหนังสือพระสุพรรณกัลยาของอ.สุเนตร) แต่อย่างไรก็ตามเอกสารนี้แต่สมัยศตวรรษที่ 18 คงมีความน่าเชื่อถือน้อยกว่าบทกวีที่อยู่ร่วมสมัย "อะเมี้ยวโยง พระพี่นางของพระนริศกษัตริย์โยธยา ประสูติพระธิดานามเมงอเทวหนึ่ง" โดยอธิบายว่าเมงอะทเว(Minatawe) แปลว่าคนสุดท้องหรือคนเล็กสุด เขียนความตอนนี้เลยเพิ่งได้ว่าทำไมในหนังว่าพระสุพรรณมีพระโอรสกับพระเจ้าบุเรงนองทั้งที่ อ.สุเนตรก็เป็นที่ปรึกษา ส่วนชื่อพระนางจันทร์สุชาผมเคยได้ยินเรื่องเล่าเชิงตำนานเกี่ยวกับพระสุพรรณซึ่งฟังดูคล้ายๆกัน(ไม่ทราบว่ามีที่มายังไงแต่มีคนชอบนำเรื่องเล่าเชิงตำนานแบบนี้มาพิมพ์ขายเยอะเหลือเกิน)ว่ามีคนชื่อพระองค์จันทร์ซึ่งเป็นคนสนิทของพระสุพรรณเป็นผู้นำพระเกศาของพระสุพรรณมาถวายพระนเรศวร ขอเอาจากวิกิมาลง ในนั้นอ้างว่ามาจากฉบับหอแก้ว(ซึ่งนักประวัติศาสตร์ไทยเคยศึกษามานานมากแล้วแต่ไม่มีใครเคยพูดเรื่องนี้เลย) นักประวัติศาสตร์อย่าง อ.สุเนตรก็ยังไม่เคยพูดแถมยังบอกด้วยว่านักวิชาการพม่า(เช่นมิกกี้ ฮาร์ต)ไม่เชื่อเรื่องถูกปลงพระชนม์เพราะไม่มีหลักฐานพม่าระบุ "พระองค์มีคนสนิทคนหนึ่ง มีนามว่า พระองค์จันทร์ ภายหลังพระอุปราชาสิ้นพระชนม์ในการกระทำยุทธหัตถีกับสมเด็จพระนเรศวรมหาราชนั้น พระเจ้านันทบุเรงมิได้ประหารพระสุพรรณกัลยาทันทีที่ทราบข่าว หากแต่ได้เสวยน้ำจัณฑ์จนเมามายอยู่เป็นเวลานาน แต่ละวันก็พาลหาเรื่องพระสุพรรณกัลยาและขู่อาฆาตบ่อยๆ จนพระนางสังหรณ์พระทัย ได้ทรงเรียกพระองค์จันทร์มาปรับทุกข์หลายครั้ง ท้ายที่สุดพระองค์ได้ตัดปอยพระเกศาใส่ผอบเครื่องหอมประทานแก่พระองค์จันทร์ เตรียมนำไปถวายสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่กรุงศรีอยุธยา เผื่อพระองค์จะไม่มีพระชนม์ชีพต่อไป ต่อมาวันหนึ่งพระเจ้านันทบุเรงทรงเมามายไม่ได้พระสติ ได้เสด็จไปถึงห้องพระบรรทมของพระสุพรรณกัลยาแล้วใช้พระแสงดาบฟันแทงพระสุพรรณกัลยาสิ้นพระชนม์อยู่บนพระที่นั่นเอง แต่อย่างไรก็ตามพงศาวดารพม่าฉบับหอแก้วได้ระบุว่าพระนางมีพระราชโอรสกับพระเจ้าบุเรงนองหนึ่งพระองค์ และในครรภ์อีก 1 พระองค์ เมื่อพระเจ้านันทบุเรงทรงคืนพระสติแล้ว ก็ได้มีพระราชโองการจัดพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพแก่พระสุพรรณกัลยาอย่างสมพระเกียรติ ส่วนพระองค์จันทร์นั้นได้ลักลอบออกจากวังโดยนำผอบพระเกศาไปกับนายทหารมอญโดยทำทีเป็นสามีภรรยากันตลอดเป็นเวลาสามเดือนเศษจนถึงกรุงศรีอยุธยา และได้นำความกราบบังคมทูลแก่พระญาติวงศ์ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจ ในครั้งนั้น พระองค์จันทร์ได้รับการสถาปนาเป็น ท้าวจันทร์เทวี หลังจากได้พระราชทานเพลิงพระศพพระวิสุทธิกษัตรีย์ (ซึ่งทางไทยได้กล่าว่าสิ้นพระชนม์เนื่องจากทรงตรอมพระทัยในการสูญเสียพระสุพรรณกัลยา-เอาอะไรมาอ้างอิง:จขกท) " จากคุณ : ศรีสรรเพชญ์ (Slight06) เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 15:43:42

ความคิดเห็นที่ 66 มาตามต่อครับ จากคุณ : หน้าต่างไร้กลอน เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 16:19:56

ความคิดเห็นที่ 67 ถามหน่อยครับ พระมหาอุปราชา เหมือนในหนังหรือเปล่าครับ แก้ไขเมื่อ 21 ส.ค. 54 20:11:49 จากคุณ : หน่วยอาชาเหล็ก (JSB TO EX) เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 18:19:32

ความคิดเห็นที่ 68 I love ห้องสมุด คือคำจํากัดความสั้นๆของผม จากคุณ : muk_22 เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 20:25:46

ความคิดเห็นที่ 69 สงสัย แต่คนละจุดครับ ดูหนังจบ เห็นพระแสงดาบที่ทรงคาบปีนค่าย เป็นทรงญี่ปุ่น จากในหนัง และแสตนบิลหน้าโรง ผมลองเอา IAITO น้ำหนัก 800 กรัมมาคาบดู ไม่ไหวครับ มันไม่สมดุล ส่วน ดาบทรงปลาหลดที่เคยเจอ ใบยาว 2 คืบกึ่ง ด้ามยาว 2 คืบ เลยสงสัยต่อ - พระแสงที่ทรงคาบปีนค่าย จะเป็นรูปทรงใด - จากรูปวาดใน คห. 53 ด้ามยาวใกล้เคียงที่เคยเจอ ด้ามที่ยาวมีไว้กันข้อมือหรือเปล่าครับ - ทรง....พระหัตถ์ ที่คล้ายๆ กับ tekkou ของญี่ปุ่น แต่เป็นโลหะอย่างในหนัง จะใช้อาวุธคล่องหรือครับ ส่วนประเด็นทางประวัติศาสตร์ ขอผ่านครับ จากคุณ : พี่คนใต้ใจดี เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 22:28:59

ความคิดเห็นที่ 70 ถ้าเป็นพระแสงดาบทรงญี่ปุ่นจริงๆ เป็นไปได้หรือไม่ครับที่จะเป็น Wakizashi จากคุณ : ShopperKimpy เขียนเมื่อ : 21 ส.ค. 54 22:49:02

ความคิดเห็นที่ 71 # คุณพี่คนใต้ใจดี ๑..พระแสงองค์จริง คาดว่าไม่มีใครทราบครับว่าเป็นทรงไหน เพราะโดยปกติเจ้าพนักงานจะไม่ได้ถอดฝักจากพระแสงตราบใดที่ยังไม่ทรงมีพระบรมราชานุญาตครับ พนักงานชาวที่เขาเชื่อกันว่า พระแสงทุกองค์ "มีเทวดา" ประจำครับ ที่เคยได้ยินมาบ้าง น่าจะเป็นกรณีพระแสงขรรค์ชัยศรี ที่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพนักงานทำความสะอาด ได้ยินมาว่า เจ้าพนักงานท่านนั้นถึงกับเครียดพอสมควร เพราะตอนดึงพระแสงออกจากฝัก ฟ้าผ่าตั้งหลายทีทั้ง ๆ ที่ฟ้าแจ้งไม่มีฝนแต่อย่างใด ๒..ด้ามดาบที่ยาว มีหลายแนวคิดครับ เช่น เอาไว้ใช้เป็นเคล็ดวิชาบางประการ เพราะบางสำนักจะมีเคล็ดในการใช้ปลายด้ามดาบเหมือนกัน นอกเหนือจากนี้ บางทีคนตีดาบก็อาจจะออกแบบตัวด้ามดาบให้มาเหมาะสมกับ "กั่นดาบ" นะครับ เพราะการวางโครงดาบว่าจะให้ใช้งานในแนวไหน ก็จะขึ้นอยู่กับกั่นดาบและด้ามนี่ล่ะครับ ตอบเท่าที่ทราบนะครับ และอาจจะไม่ถูกต้องก็ได้ ส่วนประเด็นอื่นขอผ่านครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 22:15:28

ความคิดเห็นที่ 72 ประวัติพระมหาอุปราชาจากการค้นคว้า จากคุณ : Slight06 เขียนเมื่อ : 27 ส.ค. 54 09:23:13

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณมากครับ. จากคุณ : Zen Entania เขียนเมื่อ : 28 ส.ค. 54 14:22:07