ความคิดเห็นที่ 1 รัชกาลที่ 1 ท่านต้องการสร้างพระนครแห่งใหม่นี้ให้สวยงามเช่น"ครั้งบ้านเมืองยังดี" แต่ก็น่าเสียดายที่มีการรื้อกําแพงพระนครเพื่อตัดถนนในสมัย รัชกาลที่ 5 จากคุณ : Medhawint_CPSK เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 18:45:49

ความคิดเห็นที่ 2 จริงๆแล้วเพราะการสร้างเมืองใช้อิฐจำนวนมาก ทางกรุงเทพมไม่พอ เลยไปขนอิฐเก่าจากซากเืองอยุธยามาใช้ จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 19:08:15

ความคิดเห็นที่ 3 เหตุผลที่สำคัญคือ เวลานั้นเรายังมีศึกกับพม่า ทรงเกรงว่าหากทัพพม่ายกมาแล้วเข้ายึดกรุงศรีอยุธยา ใช้กำแพงพระนครและป้อมปราการทำศึกยืดเยื้อกัยไทย จะเป็นอันตรายล่อแหลมกับการเสียเอกราช จึงโปรดให้รื้อกำแพงกรุงเก่าลง เอาอิฐมาสร้างกำแพงพระนครหลวงใหม่ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 19:25:58

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าจำไม่ผิดรัตนโกสินทร์ช่วงแรกๆก็เป็นเกาะเมืองเหมือนอยุธยา      ถ้าเกิดมีข้าศึกมาเราสามารถปิดเมืองตั้งรับแบบอยุธยาใช้แม่น้ำเป็นโล่ได้มั้ยครับ        น้ำหลากจากอยุธยาก็น่าจะลงมาถึงเหมือนกัน จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 20:39:25

ความคิดเห็นที่ 5 คุณปอจ๋าจ้ะขยันตั้งคำถามเกี่ยวกับอยุธยาจังครับ ชอบด้านนี้หรือครับ จากคุณ : ปลาทองสยองเมือง เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 20:52:03

ความคิดเห็นที่ 6 คุณzodiac28ครับ บทเรียนครั้งกรุงศรีอยุธยาคือ การป้องกันแบบตั้งรับอาจพลาด ถ้าแพ้แล้วก้แพ้เลย สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯท่านจึงทรงเปลี่ยนยุทธวิธีใหม่ คือยกทัพไปยันพม่าที่ชายแดนแทน หากพลาดพลั้ง จะยังถอยมาป้องกันพระนครโดยรอน้ำหลากเช่นกรุงศรีได้ และพอดีว่า กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทท่านก็สนองพระบรมราโชบายได้สมพระทัยยิ่ง ศึกพม่ากี่ครั้งๆที่รบกันแถวเมืองกาญจน์ ทัพไทยสามารถตีทัพพม่าแตกพ่ายยับเยินทุกครั้ง จนพม่าไม่เคยได้เข้ามาใกล้กรายกรุงเทพ เราจึงไม่เคยต้องรอฝนฟ้าเทวดาช่วยดังเก่าก่อน จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 21:05:49

ความคิดเห็นที่ 7 ^ สรุปคือไม่ได้ใช้     แต่ถ้าจำเป็นขึ้นมาจริงๆก็ใช้ได้เหมือนอยุธยาสินะครับ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 21:13:43

ความคิดเห็นที่ 8 สมัยพระเจ้าตาก ทรงเลือกธนบุรีเพราะหากมีศึกใหญ่จากพม่า ก็จะสามารถหนีทางเรือไปตั้งหลักที่จันทบุรีได้ ไม่ทรงเสี่ยงเรื่องน้ำหลาก สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ ทรงเลือกที่ตั้งกรุงเทพเป็นเมืองหลวง เพียงข้ามฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยามา อาจจะทรงเห็นข้อได้เปรียบของทำเลที่ใกล้ทะเลเช่นกันก็ได้ อยู่ในเมืองที่ข้าศึกล้อม มันไม่น่าสนุกตรงไหน หากน้ำเหนือมาช้า เสบียงหมด ก็เดือดร้อนหนัก สรุปว่า กรุงเทพ มีทางเลือกมากกว่าอยุธยา ในการรักษาอธิปไตยของชาติ จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 21:29:49

ความคิดเห็นที่ 9 ซ้ำ แก้ไขเมื่อ 23 ส.ค. 54 21:31:34 จากคุณ : Navarat.C เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 21:30:57

ความคิดเห็นที่ 10 ร.1 คงจะคำนวนแล้วว่า ประหยัดแรงงานกว่ากัน แต่ก็ยังเป็นข้อสงสัยของผมอยู่เหมือนกกัน  คิดแบบคนสมัยนี้ซึ่ง แรงงานเป็น cost สัก 20 เปอร์เซ็นของ งาน แต่สมัยก่อน ในการก่อสร้าง  แรงงาน ฟรี แถมเวลาก็ไม่เป็นเรื่องสำคัญเหมือนสมัยนี้       ผมสังเกตุเห็น ในหนังสือของบาดหลวง ปาเลอกัวล์ ท่านบอกว่า การขนอิฐมาจากอยุทธยานั้นไม่ work เอาเสียเลย ก็เลยไม่แน่ใจว่า จะมีการขนอิฐมาทำตั้งแต่ต้นจนจบหรือเปล่า          การทำอิฐสมัยนี้ นอกจากใช้ดินที่เหมาะสมแล้ว เขาผสมแกลบลงไปด้วย (ผมไม่แน่ใจว่าอิฐรุ่นก่อนนี้เขาผสมหรือเปล่า) แล้วก็ต้องมีเชื้อเพลิงเผา จนอิฐสุก  แกลบที่จะนำมาทำอิฐ จำนวนมากแบบนี้อาจจะไม่พอทำ ก็เป็นได้ คิดดูว่าต้องทำนากี่ทุ่ง กี่ปีจึงจะได้พอมาผสมทำอิฐ  ส่วนเชื้อเพลิง คงไม่น่าเป็นห่วง  แถบ บางกอก สมัยก่อนเป็นป่า  ป่า บางกอก  คงจะหมดเพราะ เอาไม้มาทำมาทำฟืนนี่แหละ  แรงงานสมัย ร.1 ใช้ไพร่ ทำเดือนเว้นเดือน  แถมไม่ต้องจัดหาอาหารให้ คงไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่  แต่อย่าลืมว่า คู่กับอิฐ คือปูน ซึ่งต้องเก็บเอา หอย - ปะการัง มาเผา อันนี้ก็ต้องใช้แรงงาน ไปขนปะการังมาจากริมทะเล ( ผมว่าใช้แต่หอยอย่างเดียว คงจะยาก)   อันนี้ก็ยุ่งยากพอ ๆ กับทำอิฐเหมือนกัน         ส่วนการขนอิฐจากอยุธยาคงเอามาจากตัวกำแพงอย่างเดียวก็คงเหลือแหล่แล้ว  เพราะ กำแพง รอบเกาะยาวเกือบ 12 กม สูง 3เมตรกว่า ๆ หนา2-3 เมตร   แล้วก็ยังอยู่ติดแม่น้ำด้วย เอาเรือไปเทียบก็ไม่ต้องขนไกล เสียแต่แรงงาน ทุบทะลายกำแพง ลงมา แล้วค่อย ๆ ทุบปูนออก ทีละก้อน อาจมีเสียหายบ้าง  แต่แรงงานส่วนนี้ น่าจะให้ผู้หญิงทำก็ได้ พอ ได้เป็นก้อนแล้วแล้วก็แบกใส่ปุ้งกี๋ลงเรือ จนเต็ม  เสร็จแล้วก็ล่องลง บางกอก 2-3 วัน          ที่เขียนมานี่อยากให้จินตนาการตาม จะได้ดูเอาเองว่าอย่างใหนจะยากกว่ากัน  ไม่ต้องคิดถึง เวลานะครับ  ผมว่า คนสมัยก่อนไม่มี schedule มาบีบเหมือนการทำงานในสมัยนี้เท่าไหร่ เสร็จเมื่อไหร่ ก็เมือ่นั้น  ทั้งหมดนี้ผมว่าใช้อิฐกันเป็น 10 ล้านก้อนนะครับ จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 21:37:06

ความคิดเห็นที่ 11 #5 ชอบครับ เพิ่งสนมาได้ไม่กี่เดือน ^^ ขอบคุณทุกท่านครับ จากคุณ : ปอจ๋าจ้ะ เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 22:51:10

ความคิดเห็นที่ 12 คุณวรรณเกษม    น่าจะบาทหลวงปิญโญรึเปล่าครับ       บาทหลวงปาล เลอกัวนั่นเข้าสยามมาก็สมัยร.3แล้วนะ จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 23:06:27

ความคิดเห็นที่ 13 ที่ย้ายมาฝั่งกรุงเทพผมเดาอีกเหตุผลหนึ่ง       คือพม่าอยู่ทางตะวันตกของไทย     ถ้าเกิดพม่าบุกมาถึงเมืองได้       กรณีอยู่ธนบุรีเราจะต้องสู้แบบหลังชนฝา     ถอยไปทางตะวันออกไม่ได้ง่ายๆเพราะติดแม่น้ำใหญ่       แต่กรณ๊อยู่กรุงเทพถ้าพม่ามาถึงเมืองพม่าจะต้องอ้อมไปข้ามแม่น้ำมาฝั่งตะวันออกซะก่อน     เพราะแม่น้ำเจ้าพระยาจะเป็นโล่ให้กรุงเทพอย่างดี     ทำให้พม่าตีกรุงเทพจากทางตะวันตกไม่ได้      นอกจากจะสร้างกองเรือ          ซึ่งในระหว่างที่พม่ากำลังข้ามฝั่งมา     ถ้าเราเห็นเหลือที่จะรับศึกได้จริงๆ      ก็เลือกว่าจะล่องเรือออกทะเลไป     หรือว่าจะถอยทัพไปตั้งหลักกันทางตะวันออก จากคุณ : zodiac28 เขียนเมื่อ : 23 ส.ค. 54 23:11:39

ความคิดเห็นที่ 14 คิดว่าเพื่อความสะดวกมากกว่าครับ เพราะถ้าจะผลิตอิฐใหม่ จะต้องใช้วัตถุดิบมหาศาล ทั้งดิน แกลบ ฟืน ซึ่งต้องสิ้นเปลืองมาก และที่สำคัญคือเรื่องแรงงาน ซึ่งไม่ได้ว่าแรงงานเกณฑ์ที่ไหนก็ทำได้เลยครับ แต่ต้องใช้คนมีประสบการณ์พอสมควร ตั้งแต่การผสมวัตถุดิบให้เข้ากันดี การปั้น และขั้นตอนสำคัญที่ต้องใช้ผู้ชำนาญการอย่างมากก็คือตอนเผาครับ เพราะการเผาอิฐไม่ได้ว่าสักแต่โยนฟืนเข้าเตาก็พอนะครับ แต่ต้องมีความชำนาญในการดูไฟรู้จักกะเวลาในการใส่ฟืนให้ความร้อนให้เหมาะสม ซึ่งไม่ได้ว่าง่ายๆ ขนาดทุกวันนี้มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากมายแล้ว ก็ไม่แน่ว่าเผาแล้วจะได้ออกมาดีทั้ง 100% ครับ ซึ่งหลังสงครามจะไปหาช่างผู้ชำนาญแบบนี้มาเป็นจำนวนมากๆ ก็ไม่ได้ว่าง่ายเหมือนกัน จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 00:09:34

ความคิดเห็นที่ 15 - ในช่วง ร.1 -ร.3 โปรดให้รื้ออิฐ หินศิลาแลง จากสุโขทัยยันอยุธยา อาจจะด้วยเหตุผลที่สัมพันธ์กัน คือ การสร้างกรุงศรีอยุธยาขึ้นมาใหม่ ที่กรุงเทพ (คติความเชื่อ จึงต้องใช้อิฐจากอยุธยา) และเพื่อมิให้เมืองใหญ่เหล่านั้นเป็นที่ตั้งของทัพศัตรู (ยุทธศาสตร์) - รัชกาลที่ 3 - 4 ก็ยังคงรื้ออิฐจากหัวเมืองมาสร้างศาสนสถาน เช่นวัดอรุณ วัดภูเขาทอง ฯลฯ - ในช่วงรัชกาลที่ 5 มีการกลับไปสร้างปราสาทราชวัง และกำแพงเมืองขึ้นใหม่ น่าจะเป็นการยุติการรื้ออิฐจากวัดร้างในครั้งแรก - สภาพพบ้านเมืองอยุธยา ยังมีการอยู่อาศัยเป็นจุด ๆ โดยเฉพาะตามเส้นทางแม้น้ำ ส่วนด้านในจะรกร้างเป็นส่วนใหญ่ - กระบวนการนื้ออิฐจริง ๆ อยู่ในช่วงจอมพลป. ที่มีการให้สัมปทานรื้ออิฐจำนวนมหาศาลจากเกาะเมือง ช่วงนี้เป็นช่วงสำคัญที่ทำให้อยุธยาหายไป (นับจากแผนที่พระยาโบราณฯ) วัดหายไปประมาณ 40 % หลายวัอยู่ใต้ถนน กำแพงวัดหายไปจำนวนมาก ยกเว้นวัดที่อยู่ห่างจากตัวเกาะเมืองหรือวัดที่ยังมีสภาพของป่ารก จากคุณ : วรณัย เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 08:56:47

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบคุณ zodiac28 บาทหลวงเปอลากัวส์ ท่านเขียบันทึกไว้ครับ  แน่นอนว่าท่านเข้ามาตอนร.3  ท่านอาจจะมีข้อมูลว่า  การย้ายอิฐจากอยุธยามาไม่ได้ผล  การสร้างกำแพงกรุงเทพอาจจะไม่ได้นำอิฐมาจากอยุธยาทั้งหมด  จึงได้กล่าวเช่นนั้น จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 09:14:07

ความคิดเห็นที่ 17 ไม่แน่ใจว่าผมอ่านจากที่ไหนนะครับ เห็นเขาบอกว่ากำแพงพระนครในสมัยรัชกาลที่ 1-2 นี่ บางด้านยังเป็นกำแพงไม้อยู่เลย ค่อยมาก่ออิฐจนได้รอบกรุงจริงๆก็สมัยรัชกาลที่ 3 นี้เอง อันนี้จริงหรือไม่ครับ จากคุณ : digimontamer เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 14:33:53

ความคิดเห็นที่ 18 หนังสือของ จอนห์ คลอเฟิด สมัย ร.2 ยังบรรยาย บอกว่ากำแพง เมือง (หรือ ราชวัง) ยังเป็นไม้อยู่เลยครับ  แต่ไม่แน่ใจว่า ส่วนใหน  ภาพที่แกบรรยายออกมายังให้ความรู้สึกว่า อะไรก็ยังดูกระจอกอยู่เลย ทั้งราชวัง ถนนก็ เฉะไปด้วยโคลนตม  ขนาดแกเป็นทูตนั่งแปลหามมา  บางทียังต้องเดินลุยโคลนด้วยเลยครับ จากคุณ : วรรณเกษม เขียนเมื่อ : 24 ส.ค. 54 16:08:22

ความคิดเห็นที่ 19 แสดงว่าที่อยุธยาเสียหายแบบทุกวันนี้เป็นเพราะคนไทยกันเองใช่ไหมครับ โดยพม่าเป็นจำเลย ตอนแรกที่ผมไปเที่ยวอยุธยาผมถึงกับอึ้ง เพราะซากปรักหักพังขนาดนั้น ผมนึกว่าเป็นเพราะพม่าเผาทำลายจนสภาพเป็นอย่างที่เห็น ผมก็ยังแปลกใจว่า ถ้าแค่เผามันก็น่าจะเผาไหม้แค่โครงสร้างที่เป็นไม้ ส่วนอิฐหินต่างๆก็น่าจะคงสภาพอยู่ได้ ... ที่แท้ก็ฝีมือคนไทยนี่เอง ... จากคุณ : sanchai0045 เขียนเมื่อ : 2 ก.ย. 54 21:25:34