ความคิดเห็นที่ 1 เด็กที่เรียนนานาชาติ  ก็ไม่้ได้เน้นเรียน GRAMMAR จากคุณ : j_pang เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 17:40:34

ความคิดเห็นที่ 2 ก็คงมีส่วนมั้งครับ แต่ถ้าไม่เรียนแกรมม่า พูดออกมามันจะเป็นประโยคที่ไม่สวยงาม ฝรั่งเข้าใจยาก เพราะวาง part of speech ไม่ถูก เป็นต้นอ่าครับ จากคุณ : ผมจะอยู่เพื่อคุณสองคน เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 18:33:52

ความคิดเห็นที่ 3 ภาษาไทย ที่เราพูดได้ตั้งแต่เด็กก็เพราะเรา ได้ยิน ได้ฟัง ได้จำมา ล่ะครับ   ถ้าได้ยินบ่อยๆ ได้พูดบ่อยๆ ก็จะจำได้และพูดได้   แต่ผมคิดว่า ถ้าเรียนไวยากรณ์ไปด้วย เราก็จะเข้าใจได้อย่างถูกต้องมากขึ้นนะ   และพูดได้ดีมากขึ้นนะครับ  ^^ จากคุณ : art (art_ping) เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 19:12:15

ความคิดเห็นที่ 4 เด็กฝรั่ง พูดก่อนเรียนเขียน เรียนอ่าน  เหมือนคนไทย ใช้ภาษาไทย เด็กฝรั่งเรียนภาษาอังกฤษ เหมือนการปีนต้นไม้จากโคน ขึ้นไปหายอดหรือปลายต้นไม้ เหมือนคนไทย เรียนภาษาไทย เริ่มจากพูด ก่อน  จากนั้นก็แก้ประโยค มาตั้งแต่ เล็กๆ จนเรียบเรียง เขียนประโยคภาษาไทย สวยงามถูกต้องกันทีหลัง แต่คนไทย ที่เรียนภาษาอังกฤษ เหมือนปีนต้นไม้ จากปลายยอด ลงไปที่โคนต้นไม้ เรียนหลักไวยากรณ์ก่อน อ่าน เขียนและพูด  หากไม่รู้ ไวยากรณ์ จะเขียน อ่าน พูด ให้ถูกต้องได้ยาก    หากพูดโดยไม่เน้นไวยากรณ์ จะเหมือน broken english พูดเป็นคำๆ หลายๆคำมาต่อกัน  ที่พบได้ทั่วไปเวลาฟังหญิงไทย พูดกับผู้ชายฝรั่ง แถบเมืองท่องเทียวชายทะเล  เรียกว่า beach language จากคุณ : Stuff_shirt เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 21:15:36

ความคิดเห็นที่ 5 พูดได้เร็ว แต่ถูกต้องหรือเปล่าก็ไม่รู้ จะเอาอย่างงั้นหรือเปล่าครับ? ดูตัวอย่างคนนี้ ภาษาพูดเขาทำคะแนนได้ดีระดับ 7 แต่ตัวเขาว่า การเขียนเรียงความของเขาก็เหมือนภาษาพูด และทำได้แย่มากๆ เพราะผิดแกรมมาร์ และการใช้ภาษาอังกฤษทุกประโยคเลย คุณอยากเป็นแบบ ตย. ในกระทู้นี้หรือครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10957767/K10957767.html และดูตัวอย่างนี้ประกอบ คนขนาดจบจากจุฬา พูดอังกฤษได้ แต่เมื่อมีการติดต่อการค้าระดับสูงที่ต้องไวยากรณ์เปรียะๆ ความหมายถูกต้องไม่เพี้ยน เพื่อให้ดูน่าเชื่อถือ ยังต้องจ้างล่ามเลย http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K10964695/K10964695.html เคยได้ยินหรือไม่ ปากเป็นเอก เลขเป็นโท? รู้หรือเปล่า คนทีไต่สูงสุดในการบริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ของโลก ไม่ใช่แค่มีความรู้ บริหารเป็น แต่การพูดเขาเก่ง ฟังน่าเชื่อถือ ไม่ผิดไวยากรณ์ สรุป พูดได้เร็ว ไม่ได้หมายความว่า จะพูดได้ถูกต้อง ถูกหลักไวยากรณ์ระดับผู้มีการศึกษาเขาถือกัน ถ้าไม่อยู่ในวงการธุรกิจ วงการศึกษา พูดได้เร็ว ห่วย ความหมายผิดๆ ผิดไวยากรณ์ ก็คงไม่ถึงกับตายหรอก จะเอาแค่นี้หรือ? แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 21:29:43 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 21:26:39

ความคิดเห็นที่ 6 คิดว่างานวิจัยนี้ คงจะใช้ได้กับเจ้าของภาษา หรือประเทศที่มีรากฐาน หรือพื้นฐานภาษาไกล้เคียงกันมากกว่า ส่วนพวกเราๆ ท่านๆ ก็ต้องเรียนแกรมม่าไปด้วย ไม่งั้นจะได้แค่สื่อสารรู้เรื่อง แต่เอาไปใช้งานอื่นๆ ไม่ถูกต้อง ถ้าอยากแค่ พูดได้ สื่อสารได้ ไม่เน้นถูกต้องตามหลัก ก็ไปเรียนรู้เอาอังกฤษแบบ นานา ถ้ายังไม่คล่องก็ไปเรียนที่สำนัก พัทยา หากต้องการให้ถูกต้องตามหลัก ทั้ง ฟัง พูด อ่าน เขียน ก็ต้องเรียนไวยากรณ์ด้วยครับผม จากคุณ : Chrysocolla เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 21:57:12

ความคิดเห็นที่ 7 ส่วนตัว  ผมเริ่มจากการฟังเเละพูดครับ ผมว่าไม่มีใครในนี้ให้คำตอบกับคุณได้ดีเท่ากับตัวคุณเองหรอกครับ ทุ่มเททำในสิ่งที่คุณคิดว่าคุณน่าจะทำได้ดีที่สุด ผลลัพธ์มันก็จะออกมาดี ส่วนจะเร็วหรือช้าเเค่ไหน ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวคุณทั้งนั้นครับ จากคุณ : Mirage__ เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 22:09:03

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้าว่ากันตามหลักความเป็นจริง ถ้าเริ่มจากการพูดก่อน มันก็ต้องพูดเป็นก่อน ถ้าพูดเยอะ ก็พูดคล่อง สมมติถ้าให้เวลา 1 เดือน คนที่หนึ่งฝึกพูดวันละ 6 ชั่วโมง ส่วนคนที่สองฝึกพูดวันละ 3 ชั่วโมงและฝึกแกรมม่าอีก 3 ชั่วโมง  มองแบบง่ายๆ คนที่หนึ่งก็น่าจะพูดได้ดีกว่ากระมัง แต่แกรมม่าคงสู้คนที่สองไม่ได้ และคนสองก็ไม่น่าจะพูดได้ดีกว่าคนหนึ่ง ถ้าจะพูดเป็นเร็วก็คงต้องอาศัยลอกฝรั่งมา ฟังเยอะๆ อ่านเยอะๆ แล้วเลียนแบบตามมาเลย ก็พูดเป็นได้เร็วได้ อุปกรณ์ที่ใช้ก็เช่น ซีดีบทสนทนา หนังสือ หรือเว็บไซต์ก็เยอะแยะมาก แต่ถ้าขั้นแอดแวนซ์คงไม่สู้ คงพูดเป็นการเป็นงานไม่ได้ งานเขียนเป็นแบบทางการหรือวิชาการก็คงเขียนไม่ได้แน่ๆ  ของแบบนี้แล้วแต่คนจะมอง ถ้าเป็นสาวตามชายหาดก็คงเอาแค่พอรู้เรื่องกระมัง เธอก็น่าจะคิดว่าขั้นแอดแวนซ์ไม่เหมาะกับเธอ การที่เอาเราไปเทียบกับเจ้าของภาษาคงไม่ถูกนัก มันก็เหมือนกับเราที่ใช้ภาษาไทยนั่นแหละ ทั้งๆที่เป็นคนไม่ค่อยได้อ่าน ไม่ค่อยได้ฟังก็ยังพอรู้ว่าควรพูดแบบไหนถึงเรียกว่าสุภาพชน พูดแบบไหนใช้กับเพื่อนฝูง พูดแบบไหนเป็นการเป็นงาน เราดัดแปลงประโยคเองได้เลย เซ้นส์มันพาไป ก็แหม๋ ก็เราเป็นเจ้าของภาษาหนิ แต่สังเกตไหมว่ามันใช้เวลานานมากๆเลยนะ อาจจะเขียนกระทู้ใจความมั่วไปหมด ไม่มีเอกภาพเลย haha ความคิดของเราก็คือ ไม่น่าจะจริงที่ว่าพูดเร็วไม่ต้องเรียนแกรมม่า อย่างคนไทยเห็นไหมว่าใช้เวลานานๆกว่าจะพูดได้คล่องอะ ถ้าเรียนแกรมม่าด้วยน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีที่จะพูดให้คล่อง แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 23:10:43 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 23:09:05 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 23:00:08 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 22:57:15 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 22:52:04 แก้ไขเมื่อ 29 ส.ค. 54 22:46:08 จากคุณ : lze0001 เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 22:42:14

ความคิดเห็นที่ 9 อย่างเช่น essential grammar in use ของ murphy อันนี้ก็น่าจะไปลองศึกษาดู คล้ายๆบทสนทนาเลยหละ แต่เน้น grammar คือมันประมาณว่า .... พูดไม่ถูก มันยังไงหละ แต่ตัวนี้ทำให้เราพูดได้ดีขึ้นแน่นอน เราว่านะ  ลองหาๆมาดูนะ จากคุณ : lze0001 เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 23:17:51

ความคิดเห็นที่ 10 กลุ่มคำและวลีที่เขา (เขา=กลุ่มนักเรียนทดลอง)เรียนกัน คือกลุ่มคำและวลีที่ถูกแกรมมาร์และเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่คิดเอง ผูกประโยคเอาเอง...วันหนึ่งๆ ต้องเรียนรู้มากมายพอที่จะเก็บเป็นคลังไว้ในสมองและเกิดเซ้นส์ได้ พอพูดได้ฟังออกแล้วมาเรียนแกรมมาร์ก็เหมือนการนั่งชิมแกงแล้ววิเคราะห์ว่าแกงรสแบบนี้มันน่าจะปรุงมาจากอะไรบ้าง ถ้าตอนแรกสักแต่ใส่ไปมั่วๆ มันก็วิเคราะห์อะไรไม่ได้หรอก สรุปว่าถ้าคุณจะเรียนแต่ฟังกับพูดอย่างเดียว คุณก็ต้องฟังและพูดแต่สิ่งที่ถูกแกรมมาร์และเป็นธรรมชาติในปริมาณที่มากกกกกกกกกพอ เหมือนเด็กที่ฟังกับหัดพูดมาตั้งห้าหกปีกว่าจะเรียนเป้นเรื่องเป็นราวน่ะแหละ แล้วคุณคิดว่าคุณรอขนาดนั้นได้ไหม สภาพแวดล้อมก็ไม่เอื้อด้วย ถ้าคิดจะทำวิธีนี้จริงๆ ก็อ่านหนังสือไปด้วยเยอะๆ ก็แล้วกัน เผื่อจะช่วยได้...แต่เฮ้อ เผื่อเจอโครงสร้างยากๆ ศัพท์แปลกๆ ก็จะท้ออีกน่ะซี้ ทางที่ดีน่าจะผสานทุกอย่างไปด้วยกันจะดีกว่านะ อยากเน้นอันไหนมากก็ฝึกมากหน่อยเท่านั้นเอง มันถึงจะเกิดทักษะ เป็นกระบวนการ รับเข้า-ประมวลผล-ส่งออก จากคุณ : kiria chalee เขียนเมื่อ : 29 ส.ค. 54 23:47:45

ความคิดเห็นที่ 11 http://moccatong.wordpress.com/tag/effortless-english/ กฎข้อที่ 2 ไม่ต้องเรียนแกรมม่า หยุดเรียนแกรมม่า แกรมม่าสอนการวิเคราะห์ภาษา ทำให้เราไม่สามารถพูดโดยไม่ต้องคิดก่อนได้ Just this alone is enough to know that Effortless English is a hoax. Grammar can be taught in several ways, not confining to syntax analysis. When you are a beginner, the drill method is used to drill correct phrase/sentence structures into your head. กฎข้อที่ 3 เริ่มจากการฟัง (กฎข้อนี้สำคัญที่สุด) ฟังบ่อยๆ หยุดอ่าน เริ่มต้นควรเรียนด้วยหู [...] How can you learn from listening in Thai environment without any contextual clue? If you don't read, how can you understand just by listening? If you don't have some knowledge in your head beforehand, learning by listening is impossible. You need to listen while seeing the context/clue to understand what you listen. ผมสรุปให้ง่ายๆ เลย พวกที่หลอกให้คุณเสียเงิน ใช้หลักการตลาดที่ฉลาด จะใช้การโฆษณาต่างๆ เช่น Fast English, Effortless English, Mind Map, ภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียว ผมบอกให้ฟรีๆ ไม่ต้องเสียเงิน พวกนี้หลอกคนโง่ที่ต้องการอาหารจานด่วนและไม่ต้องออกแรงมากนักโดยแลกกับการเสียเงิน มีคนเสียเงินให้กับพวก 18 มงกุฎพวกนี้มากต่อมากแล้ว เพราะในโลกนี้มีคนโง่มากกว่าคนฉลาดครับ Fools are born every minute. A fool and his money are soon parted. ฝรั่งเขาอุตส่าห์เตือนไว้ แต่อย่างว่า คนโง่ซะอย่าง มันก็ย่อมโง่เสมอ แบบพวกบัวใต้น้ำแหละครับ ภาษาเป็นทักษะ และทักษะทุกชนิดจะมีได้ต้องหมั่นเพียรศึกษา ฝึกฝน อย่างยากลำบาก ไม่มีทางได้มาอย่างง่ายๆ หรอกครับ Believe me. Been there, done that. แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 54 00:45:05 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 00:12:56

ความคิดเห็นที่ 12 เราเรียนภาษาอังกฤษมาโดยการหัดพูดอย่างเดียวซึ่งเราไม่เคยแตะต้องหนังสือ grammar เลยแม้แต่นิดเดียว เราเรียนแต่พูดแบบนี้จนเราพูดได้คล่องไปแล้วและพูดถูกต้องด้วย (รับรองว่าไม่ผิดเละเหมือนพวกผู้หญิงบาร์พูด) จากนั้นเราก็อ่านหนังสือภาษาอังกฤษเยอะมากๆจนเขียนได้ดีในระดับหนึ่งซึ่งจนมาถึงระดับนั้นแล้วเราก็ยังไม่เคยแตะต้องหนังสือ grammar อีกเหมือนกัน เราเพิ่งมาเรียน grammar เอาก็ตอนมาเล่น pantip นี่แหละ เพราะเห็นมีคนเก่งๆ grammar หลายๆคน เราก็เลยกลัวโดนจับผิดเรื่อง grammar ก็เลยต้องเรียน grammar กับเขาบ้าง แต่เราก็ไม่ได้เรียนแบบเอาเป็นเอาตายนะ คือเรียนแบบสงสัยตรงไหนก็ค้นข้อมูลเป็นเรื่องๆไปเรื่อยๆ แต่พอเรียนๆไปก็ชักจะเบื่อเหมือนกัน เลยเดี๋ยวนี้เลิกเรียนแล้วหละ คราวนี้เราจะตอบคำถามของ จขกท ที่ว่า "จริงหรือเปล่าวครับ ที่อยากพูดได้เร็วไม่ต้องเรียนจากแกรมม่า" ^ ตอบ เราก็เคยเห็นอาจารย์ฝรั่งเก่งๆที่สอนให้นักเรียนพูดได้ดีโดยที่นักเรียนไม่ต้องเรียน grammar แบบเอาเป็นเอาตายนะ คือนักเรียนสงสัยตรงไหนอาจารย์ก็อธิบายสั้นๆ เรารู้วิธีสอน conversation โดยไม่ต้องให้นักเรียนแตะต้องหนังสือ grammar เลย คือเราจะให้ประโยคตัวอย่าง แล้วให้นักเรียนเอาไปหัดพูดดัดแปลงเอาไปใช้งานพลิกแพลงเอาเอง (วิธีการนี้เขาเรียกว่า improvisation) จนพูดถูกต้องได้ในที่สุด จะว่าไปนะ ถึงไม่แตะต้องหนังสือ grammar แต่ improvisation มันก็เหมือนกับเรียน grammar แต่เรียนโดยธรรมชาตินั่นเอง ซึ่งเป็นการทำให้นักเรียน exercise สมองพลิกแพลงประโยคให้เป็นธรรมชาติ (จริงๆแล้วมันก็มีสื่อการสอนในแนวนี้ เป็น learning packages จากต่างแดนตั้งมากมาย คนที่อยู่ในอาชีพสอนภาษาอังกฤษจะเลือกสื่อสำเร็จรูปแบบนี้ เพื่อเอามาตัดต่อใช้งานได้เก่งมากๆ)   ^ พูดมานี่ฟังเหมือนหมู แต่จริงๆแล้วไม่หมูนะ เพราะคนที่สอนแบบนี้ได้มีน้อย แต่เรารู้ทางหนีทีไล่เพราะเราสนุกกับการค้นคว้าเรื่องวิธีการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 และเก็บสะสมสื่อการสอนภาษาอังกฤษดีๆจากต่างประเทศเอาไว้ตั้งมากมาย ^ จริงๆแล้วถ้าใครเรียนภาษาอังกฤษด้วยวิธีนี้จนพูดได้คล่อง แล้วอ่านหนังสือมากๆ แล้วค่อยมาเรียน grammar โดยการอ่านตำรา grammar กับตำรา writing ทีหลัง มันกลายเป็นเข้าใจ grammar ได้ดีกว่าการพยายามอัด grammar แน่นตอนนักเรียนยังฟังกับพูดไม่กระดิกหูเลยนะ แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่ยังฟังกับพูดอังกฤษไม่ได้เลย แล้วอยู่ดีๆเริ่มเรียนอังกฤษหนักโดยเน้นที่ grammar ส่วนใหญ่จะเบื่อแล้วท้อใจไปกันซะหมด... แต่ก็มีคนหลายๆคนที่กัดฟันเรียน grammar ตั้งแต่ยังพูดไม่ได้เลย (ทั้งๆที่น่าเบื่อไงก็กัดฟันสู้) แล้วกลายเป็นเก่งครบทุกทักษะได้ในที่สุด แบบนี้ก็มีเหมือนกัน ...................................................................... คือแนวคิดของเราที่ให้ไว้ในนี้ เป็นแนวคิดที่ใหม่มากๆ ซึ่งเราใช้เวลาค้นคว้าทดลองมาค่อนข้างนาน ก็เลยค่อนข้างแน่ใจว่ามันเป็นไปได้อย่างแน่นอนที่จะสอนคนให้พูดอังกฤษได้ดี โดยไม่ต้องอัด grammar หนักๆตั้งแต่แรกๆ แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 54 00:37:45 แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 54 00:31:53 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 00:25:31

ความคิดเห็นที่ 13 เหมือนจะเคยได้ยินมาว่า การเรียนภาษาอังกฤษในประเทศต่าง มีแต่พี่ไทยนี่แหละ ที่เน้นจังเรื่องแกรมม่า เพราะเรียนเพื่อไปสอบ จากคุณ : SaintPSU เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 01:29:14

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณทุกๆความเห็นมากนะครับ ผมเองก็อยากจะฟังพูดเก่บกับเค้าบ้าง พยายามจะหาวิธีที่ดีที่สุดและเร็วทีสุด แต่ตอนนี้ก็ยังสับสนอยู่น่ะครับว่าจะเลือกทางไหนดี ตอนนี้ผมก็อาศัยดูหนังแล้วเปิดซับอิ๊ง แล้วก็พูดตามอ่ะครับ ^^ จากคุณ : NutSangWoo เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 08:02:07

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ดูหนังฝรั่งแล้วหัดพูดตามช่วยได้มากๆ แต่เรียนเพิ่มจาก Side by Side จะดีมากๆ มันมีหนังสือและ audios ให้ด้วย สอน conversation ล้วนๆด้วยวิธีการที่เรียกว่า improvisation คุณแค่ฟัง audio แล้วดูประโยคตัวอย่างที่เขาให้มา จากนั้นก็หัด improvise ไปเรื่อยๆ ถ้าเรียนครบ 4 เล่มนี้ (แต่คนสอนต้องรู้วิธีสอน หรือจะเรียนเองต้องอ่านคู่มือครูให้ดีๆด้วย) อย่่างถูกต้องก็จะพูดเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันได้โดยไม่ผิดเพียน หลักการมันไม่เหมือนเปิดหนังสือ grammar อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับ grammar ที่ซับซ้อนแล้วทำแบบฝึกหัดจนมึนหัว แต่หลักการมันคือฝึกสมองให้มัน exercise โดย improvise ประโยคตัวอย่างพลิกแพลงไปเรื่อยๆ อย่างสนุกสนานในสถาการณ์ต่างๆ (มีการ์ตูนสนุกๆประกอบบทเรียนให้ด้วย) จนในที่สุดก็พูดได้ถูกต้อง   หลังจากนั้นคุณค่อยไปเรียนตำรา grammar กับ writing มันจะทำให้เข้าใจ grammar ได้ดีกว่าและลึกซึ้งกว่าการพยายามเรียน grammar ตั้งแต่ยังฟังกับพูดอังกฤษไม่กระดิกหู และยังสร้างประโยคง่ายๆไม่ได้เลย จริงๆแล้วสื่อการสอนภาษาอังกฤษสมัยใหม่ที่สอน conversation โดยไม่อัด grammar แน่น มันมีอีกตั้งหลายยี่ห้อ คนที่ชอบค้นคว้าเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 จะรู้ข้อมูลเรื่องพวกนี้เยอะมากๆ ข้อมูลเกี่ยวกับ Side by Side ไปดูได้ที่นี่ http://www.pearsonlongman.com/ae/marketing/sidebyside/ แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 54 10:29:29 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 10:27:40

ความคิดเห็นที่ 16 หากต้องการ ฝึกพูด พร้อมกับฝึกไวยากรณ์ไปพร้อมกัน สนับสนุนหนังสือ  side by side  อีกหนึ่งความเห็น หนังสือมีสี่เล่ม ระดับมัธยมต้น เริ่มตั้งแต่เล่มที่ 3 หรือ 4 แล้วแต่พื้นฐานผู้เรียน จากการแสวงหาหนังสือจากblack market  เล่มที่มีคู่มือผู้สอน มีเล่มสาม เล่มเดียว นอกนั้น ต้องเฉลยเอง ................................................................... หากต้องการฝึกไวยากรณ์อย่างเดียว  ขอแนะนำ  round_up  new and update ของสนพ. longman  เริ่มตั้งแต่ ฉบับ starter จนถึงเล่มที่ 6 รวมเจ็ดเล่ม พอไปแสวงหา  key จาก black market พบว่ามีเฉลย ทุกเล่ม   ................................................................... จากที่เคย ใช้ side by side  ฝึกไวยากรณ์ (ที่เป็นยาขม) ตอนนี้ ใช้ round_up แทน จากคุณ : Stuff_shirt เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 11:41:33

ความคิดเห็นที่ 17 round_up6 จากคุณ : Stuff_shirt เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 11:45:33

ความคิดเห็นที่ 18 รู้แต่คำๆ หรือ วลี แต่ไม่ได้แกรมม่า ฟังแต่จากหนัง ภาษาอังกฤษจะออกมาแบบนี้ how you doin', wassup with that. hey hey, have car garden come Exactly I speak snake snake fish fish อาจจะได้ภาษาพูด แต่ภาษาเขียนคงไม่ได้ จากคุณ : Carry On!! เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 11:48:50

ความคิดเห็นที่ 19 สภาพแวดล้อมของเราไม่เอื้อต่อการฝึกพูดก่อนแล้วค่อยเรียนไวยากรณ์ เหมือนเจ้าของภาษาที่เกิดขึ้นท่ามกลางสังคมที่ใช้ภาษาอังกฤษครับ หากเราฝึกพูดก่อน เก่งแล้วค่อยไปเรียนแกรมม่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่เราพูดจนคล่องนั้น ถุกต้อง   และเมื่อเรา(ยิ่งคนอายุเยอะๆ) พูดคล่องเท่าไหร่ รูปแบบภาษาที่เราพูดบางอย่างมันจะติดเป็นสันดานของเรา  และจะแก้ไม่หาย แม้ต่อมาจะทราบถึง โครงสร้างที่ถูกต้องก็ตาม ผมคิดว่า เราควรเรียนทักษะทั้งหลายไปพร้อมๆ กัน เพราะถือ english as a foreign language ผมมั่นใจในโครงสร้างและเนื้อหาที่ระบบการศึกษาไทยได้วางไว้ครับ โครงสร้าง และเนื้อหานั้น ได้รับการศึกษามาแล้ว แต่ที่ทำให้การศึกษามันด้อยไป ผมว่าขึ้นอยู่กับกระบวนการ วิธีปฏิบัติหรือกระบวนการเรียน การสอน มากกว่า ก็ดูสิ โครงสร้างเดียวกัน หลักสูตรเดียวกัน หนังสือเล่มเดียวกัน แต่ทำไม นักเรียน ต่างโรงเรียนกันถึงมีประสิทธิผลที่ต่างกันล่ะครับ แล้วถ้าหากวิธีของสำนักติวๆ ทั้งหลายดีจริงๆ กระทรวงฯ คงเอาแบบอย่างมาปรับปรุงในหลักสูตรแล้วครับ ไม่ใช่กระทรวงดื้อด้านแต่ประการใด สำนักติวต่างๆ ก็มีจุดขายของตัวเอง ถ้าวิธีการของพวกเขาดีจริง วิธีการนั้นคงใช้ได้ตลอดไป   แต่ที่เจอ แต่ละวิธีก็โชว์จุดขาย โชว์วิธีการของตัวเอง มีชื่อเสียง และมีผู้คนแห่ไปเรียน ไปพักหนึ่งๆ แล้วก็หายไปกับสายลมและแสงแดด แค่ความคิดเห็นครับ ไม่ใช่ข้อเท็จจริง Foreigners learn English as a foreign language++++++++ แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 54 12:04:55 จากคุณ : Chrysocolla เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 12:01:37

ความคิดเห็นที่ 20 ตอบ คคห 18 เราก็เรียนภาษาอังกฤษจากการดูหนังฟังเพลงนะเพื่อเอาไปฝึก conversation นะ แต่ภาษาอังกฤษเราไม่เห็นจะผิดบานเบอะอย่างที่คุณยกตัวอย่างมาเลย พออ่านหนังสือมากๆเข้ากลายเป็นเขียนได้ แล้วเราถึงมาเปิดตำรา grammar เรียนเป็นจุดๆไปเฉพาะเรื่องที่เราสงสัยเท่านั้นเพื่อความมั่นใจเวลาเขียนเรื่องอะไรที่มันยากๆ จริงๆแล้วการเรียน conversation โดยไม่เปิดหนังสือ grammar เลย ไม่ใช่ว่าไม่เรียน grammar นะ เพราะอะไร ไปอ่านข้อความที่เราตอบ คคห 19 ที่ คคห19 ถามว่า "หากเราฝึกพูดก่อน เก่งแล้วค่อยไปเรียนแกรมม่า เราจะรู้ได้อย่างไรว่า ที่เราพูดจนคล่องนั้น ถุกต้อง" ตอบ การฝึก conversation ด้วยวิธีการที่เรียกว่า improvisation เป็นการเอาประโยคตัวอย่างมาผันกลับไปกลับมา มันเป็นการเรียน grammar โดยวิธีฟังกับพูดให้ซึมลงไปใน subconscious จนเวลาจะฟังจะพูดมันจะเป็นแบบ interactive แทนที่จะเรียนแบบน่าเบื่อโดยการพยายามอ่านตำรา grammar ที่อธิบายยืดยาด ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเจ้าของภาษาก็สร้างสื่อการสอนแบบ interactive ขึ้นมาใช้สอนคนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ซึ่งเรามั่นใจว่ามันดีกว่าสื่อการสอนในระบบการศึกษาแบบไทยๆที่อธิบายยาวเกินไปเรื่อง grammar จนทำให้กลายเป็น passive learning โดยไม่มีการแสดงออก ให้สังเกตดูดีๆว่าคนที่ทำข้อสอบ grammar แบบไทยๆได้คะแนนเยอะๆ แต่อ่านหนังสือน้อย เวลาเขียนออกมาบ่อยครั้งมันก็ยังดูผิดธรรมชาติอยู่ดีนั่นแหละ เพราะจะไม่เคยเห็น collocations ที่ฝรั่งเจ้าของภาษาใช้ก้น ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเร็วๆนี้ก็มีเด็กนักเรียนเอาแบบฝึกหัด grammar ในระบบการศึกษาแบบไทยๆมาถาม พออ่านดูแล้ว "มันเหมือนกับสอน machine เพราะเถรตรงไปกับ sentence structure ที่มันเป็นไปได้ในเชิง grammar แต่มันเป็นไปไม่ได้ในความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 14:17:48

ความคิดเห็นที่ 21 จริงครับ...เคยได้ยินคำกล่าวที่บอกว่า สุ จิ ปุ ลิ ไหมครับ ฟัง พูด อ่าน เขียน ครับ ฟ้งก่อนแล้วพูดบ่อย ๆ ครับ... จากคุณ : ผ่านมา-ผ่านไป (Come N Go) เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 15:41:05

ความคิดเห็นที่ 22 ให้สังเกตดูดีๆว่าคนที่ทำข้อสอบ grammar แบบไทยๆได้คะแนนเยอะๆ แต่อ่านหนังสือน้อย เวลาเขียนออกมาบ่อยครั้งมันก็ยังดูผิดธรรมชาติอยู่ดีนั่นแหละ เพราะจะไม่เคยเห็น collocations ที่ฝรั่งเจ้าของภาษาใช้ก้น ยกตัวอย่างเช่นเมื่อเร็วๆนี้ก็มีเด็กนักเรียนเอาแบบฝึกหัด grammar ในระบบการศึกษาแบบไทยๆมาถาม พออ่านดูแล้ว.... คงหายากครับ เพราะการอ่านหนังสือมันง่ายกว่า อ่านตำราแกรมมาร์ ยกเว้นพวกที่เรียนลัดเอาคะแนนเท่านั้น เช่นลูกศิษย์อาจารย์ชื่อดังแถวเสาชิงช้า สมัยตอนผมอยู่ มศ 5 ทำ Structure ได้เต็ม แต่ผมก็อ่านหนังสืออังกฤษ แบบ graded readers ในสองปีกว่า 200 เล่ม และหนังสือ English texts ทางด้านวิทยาศาสตร์อีกกว่า 10 กว่าเล่ม ฟังวิทยุคลื่นสั้น BBC, VOA อีก แค่อยู่ มหาวิทยาลัยปี 1 ผมก็เขียนอังกฤษระดับที่ตัวเองสามารถตรวจได้ว่า ผิดแกรมมาร์ หรือไม่เป็นธรรมชาติได้แล้ว เพราะผมใช้ Oxford Advanced Learners มาตั้งแต่ มศ.5 แล้ว ทุกอย่างมันอยู่ที่ความเพียร พยายาม ฝึกแล้วฝึกอีกแบบไม่ย่อท้อ ซึ่งใครๆ ก็ทำได้ถ้ามีความเพียรพอ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 15:52:45

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ ^ คุณ K.Senior สมัยอยู่ มศ 5 อ่าน graded readers เฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 เล่ม!!! ทึ่งในความขยันจริงๆค่ะ จากคุณ : The Starry Night เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 19:55:00

ความคิดเห็นที่ 24 ช่วง มศ 4 อ่านไม่มาก เพราะศัพย์ยังไม่เก่ง แกรมมาร์ยังไม่แน่น มาอ่านมากถึงมากที่สุดตอนหบุดเทอม 3 เดือนก่อนขึ้น มศ 5 แค่ 3 เดือน ก็เกิน 100 เล่ม แล้ว เพราะภาษาเริ่มเก่งขึ้น ตอนอยู่ มศ.5 อ่านไม่มาก เพราะต้องเรียนวิชาอย่างอื่นๆ อีกมากมาย แผนกวิทย์เรียนหนักมาก แต่ก็ทุ่มภาษาอังกฤษมากกว่าวิชาอื่นๆ รร. ผมอยู่ติดกับ British Council ครับ ช่วงหยุดเทอม ผมไปสิงอยู่ที่ไหนตั้งแต่เช้าถึงเย็นเกือบทุกวัน อ่านทั้ง graded readers และ science texts ต่างๆ สำหรับนักเรียน สมัครฟรีไม่เสียเงินในสมัยโน้น ก็ราวๆ ปี 1969-70 ที่ผมสิงอยู่ที่นั่นมากกว่าในห้องเรียนเสียอีก วิชาสังคม ภาษาไทย ชีวะ เคมี ตอน มศ 4-5 ผมโดดเรียนเลยครับ เพราะพวกนี้อ่านเองได้สบายๆ ไปอยู่ที่ห้องสมุด British Council ริมน้ำเจ้าพระยาสมัยโน้น จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 20:52:06

ความคิดเห็นที่ 25 Grammar ถูกมองว่าเป็นผู้ร้ายอยู่เรื่อยไป จากคุณ : pokemon trainer เขียนเมื่อ : 30 ส.ค. 54 22:58:18 A:223.205.13.161 X: TicketID:000119

ความคิดเห็นที่ 26 คุณ fortuneteller เบอร์ 20 คะ ที่เราหมายถึงใน เบอร์ 18 คือ ฟังอย่างเดียว รู้แค่ศัพท์ แต่ไม่คิดจะสนใจแกรมม่าร์ มันก็จะได้ออกมาเป็นประโยคภาษาพูด ซึ่งก็แล้วแต่หนังที่ดู ถ้าดู Pride and Prejudice ก็ได้ศัพท์ Mr.Darcy ถ้าดู Rush Hour II คุณก็จะได้ wassup Yo เอาเข้าใจจริงๆ ถึงเวลาพูด ถึงเวลาเขียน ก็นึกไม่ออกว่าจะต้องใช้ยังไง จะจำทุกประโยคที่ได้ยินมา มันก็ใช้ไม่ได้กับทุกสถานการณ์ วิธีเรียนที่ถูก มันมีหลายวิธีน่ะค่ะ แต่จะไม่สนใจแกรมม่า หรือ structure เลย นี่เราว่า ก็ไม่ใช่อ่ะ จากคุณ : Carry On!! เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 54 07:36:37

ความคิดเห็นที่ 27 เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน Black American football stars หลายคนจบมหาวิทยาลัย อ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ได้เลย สรุปง่ายๆ คือ illiterate ทั้งที่พูดได้เป็นต่อยหอย ใครที่แนะนำว่า ฟังมากๆ พูดมากๆ แล้วเก่งอังกฤษเอง ใครที่แนะนำว่า ฟังมากๆ พูดมากๆ ให้คล่องก่อน แล้วจะเขียนภาษาอังกฤษได้ น่าจะเข้าใจผิดแล้ว เพราะภาษามี 4 ทักษะ คือ ฟังคู่กับพูด อ่านคู่กับเขียน การสื่อสารในโลกปัจจุบัน ไม่ใช่แค่ฟังและพูดเท่านั้น การอ่านและเขียนโต้ตอบ email ทางธุรกิจ มีมากกว่าในการพูดเสียอีก จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 31 ส.ค. 54 10:32:32

ความคิดเห็นที่ 28 เห็นด้วยกับ คห. 27   อย่างแรงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง จากคุณ : Chrysocolla เขียนเมื่อ : 1 ก.ย. 54 10:33:07

ความคิดเห็นที่ 29 ที่ คคห 27 พูดว่า "เอาอย่างงี้ก็แล้วกัน Black American football stars หลายคนจบมหาวิทยาลัย อ่านไม่ค่อยออก เขียนไม่ได้เลย สรุปง่ายๆ คือ illiterate ทั้งที่พูดได้เป็นต่อยหอย" ^ สิ่งที่คุณพูดน่ะ ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าคนไทยที่พูดอังกฤษไม่เก่งถ้าอ่านอังกฤษรู้เรื่องมากแล้วจะต้องเขียนอังกฤษเก่งเสมอไป นั่นก็เพราะว่า language acquisition ของฝรั่งเจ้าของภาษาอังกฤษกับของคนไทยที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 มันไม่เหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นคนไทยที่จบปริญญาเอกจากอังกฤษหรืออเมริกามีทั้งพูดอังกฤษเก่งและไม่เก่งที่พอเขียนภาษาอังกฤษแล้วอ่านไม่เป็นภาษาคนเลยก็มีตั้งมากมาย ดังนั้น ถ้าพูดว่าฝรั่งเจ้าของภาษาอังกฤษ illiterate แต่พูดเก่งเป็นต่อยหอย มันไม่ได้หมายความว่าคนไทยที่อ่านอังกฤษเก่ง (แต่พูดอังกฤษไม่ได้เลย) จะต้่องเขียนภาษาอังกฤษเก่งเสมอไป แก้ไขเมื่อ 06 ก.ย. 54 16:56:16 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 54 16:55:07