Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สิ้นแผ่นดินสามก๊ก ติดต่อทีมงาน

คุ้ยพงศาวดารจีน

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

    ตอนที่ ๑ สิ้นแผ่นดินสามก๊ก

" เล่าเซี่ยงชุน "


                   แผ่นดินจีนยุคสามก๊กนั้น เจ้าแผ่นดินราชวงศ์ฮั่นที่ปกครองบ้านเมือง ไม่เข้มแข็งและไม่ตั้งอยู่ในธรรม จึงมีขุนพลหลายฝ่ายต่างก็จะแย่งกันเป็นใหญ่ เมื่อไม่มีใครยอมใคร ก็ต้องเกิดสงครามขึ้นระหว่างก๊ก ซึ่งมีด้วยกันสามฝ่าย รบพุ่งยืดเยื้อกันอยู่หลายสิบปี กว่าจะสิ้นสุดยุติลงได้

                   ฝ่ายแรกคือ วุยก๊ก ซึ่งมี โจผี บุตรชายคนโตของโจโฉเป็นต้นวงศ์   เมื่อบิดาได้สิ้นชีพไปใน พ.ศ.๗๖๓ ก็บังคับให้ พระเจ้าเหี้ยนเต้ สละราชสมบัติให้ตนเป็นฮ่องเต้แทน ตั้งราชธานีอยู่ที่เมืองลกเอี๋ยง ครองบัลลังก์อยู่ได้เจ็ดปี  สิ้นพระชนม์ไป เมื่ออายุได้สี่สิบปี

                   พระเจ้าโจยอย ราชบุตรของพระเจ้าโจผี ก็ได้สืบราชสมบัติต่อ ตั้งแต่  พ.ศ.๗๗๐  จนถึง พ.ศ.๗๘๓ ก็ประชวรสิ้นพระชนม์ไป

                   พระเจ้าโจฮอง ราชบุตรของพระเจ้าโจยอย อายุเพียงแปดปี ก็ได้ขึ้นครองราชย์ต่อ อยู่ในราชสมบัติได้สิบสี่ปี ก็ถูกสุมาสูมหาอุปราชถอดออกจากราชบัลลังก์

                   พระเจ้าโจมอ ขึ้นครองราชย์เมื่อ พ.ศ.๗๙๗  อยู่ในราชสมบัติได้หกปีก็ถูกสุมาเจียวมหาอุปราชปลงพระชนม์เสีย                  

พระเจ้าโจฮวน ขึ้นครองราชย์สมบัติเมื่อ พ.ศ.๘๐๓ อยู่มาอีกสามปี สุมาเจียวมหาอุปราชยกทัพไปตีเมืองเสฉวนได้ มีความชอบมากได้เลื่อนเป็นจีนอ๋อง แต่ถึงแก่ความตายไป              สุมาเอี๋ยน บุตรชายได้ตำแหน่งแทนบิดา ก็ถอดพระเจ้าโจฮวนออกจากบัลลังก์ ตั้งตัวป็นฮ่องเต้แทน

                   ฝ่ายที่สองคือ จ๊กก๊ก ซึ่ง พระเจ้าเล่าปี่ ต้นวงศ์ได้ตั้งตัวเป็นฮ่องเต้ขึ้นที่เมืองเสฉวนทางภาคตะวันตก เมื่อ พ.ศ.๗๖๔ แต่อยู่ในราชสมบัติได้ไม่ถึงสามปีก็ยกทัพไปรบกับซุนกวนแห่ง  ง่อก๊ก แต่ก็พ่ายแพ้อย่างยับเยิน  ต้องตรอมใจจนประชวร  และถึงกับสิ้นพระชนม์ลงที่เมืองเป๊กเต้

                   พระเจ้าเล่าเสี้ยน จึงได้สืบราชสมบัติต่อจากพระบิดา เมื่อ พ.ศ.๗๖๖   ครองบัลลังก์อยู่ด้วยความสำราญถึงสี่สิบปี ก็พ่ายแพ้แก่สุมาเจียว ต้องตกอยู่ใต้อำนาจของวุยก๊กโดยสิ้นเชิง

                   ฝ่ายที่สามเรียกว่า ง่อก๊ก ซึ่ง พระเจ้าซุนกวน ได้ตั้งตนขึ้นเป็นฮ่องเต้ครองเมืองกังตั๋งทางภาคใต้ เมื่อ พ.ศ.๗๗๒ ตรงกับสมัยพระเจ้าโจยอยแห่งวุยก๊ก และ พระเจ้าเล่าเสี้ยนแห่งจ๊กก๊ก พระเจ้าซุนกวนได้ทำศึกสงครามกับจ๊กก๊ก มาจนสิ้นสมัยของพระเจ้าเล่าปี่ แล้วก็กลับมาเป็น       พันธมิตรกับพระเจ้าเล่าเสี้ยน  ร่วมมือกันทำศึกกับวุยก๊ก    ตลอดเวลาจนถึง พ.ศ.๗๙๕ จึงได้สิ้นพระชนม์เมื่ออายุได้เจ็ดสิบเอ็ดปี

                   พระเจ้าซุนเหลียง ราชบุตรของพระเจ้าซุนกวน ซึ่งเกิดจากมเหสีคนที่สาม ก็ได้ขึ้นครองราชย์สืบต่อไป ตลอดเวลาหกปีก็ได้ทำสงครามกับวุยก๊กอีกหลายครั้ง แต่ถูกมหาอุปราช       ซุนหลิม หาว่าไม่เอาใจใส่ในกิจการบ้านเมือง มัวเมาแต่อิสตรี  จึงถอดออกจากตำแหน่งเมื่อ           พ.ศ๘๐๑

                   ซุนหลิมมหาอุปราชของง่อก๊กก็ไปเชิญ ซุนฮิว ราชบุตรองค์ที่หกของพระเจ้าซุนกวนมาครองราชสมบัติต่อไป แต่อยู่ได้ยังไม่ทันครบปี ก็ร่วมมือกับพวกขุนนางกำจัดซุนหลิมลงได้ และปกครองง่อก๊กด้วยพระองค์เอง พอดีถึง พ.ศ.๘๐๖ พระเจ้าเล่าเสี้ยนแห่งจ๊กก๊กผู้เป็นพันธมิตร ยอมอ่อนน้อมต่อวุยก๊ก ก็ใจเสียวิตกว่าวุยก๊กจะหันมาโจมตีง่อก๊กเป็นรายต่อไป จึงเกณฑฺทหารไปตั้งค่ายเรียงรายไว้ตามริมแม่น้ำเมืองกังตั๋ง ถึงสามร้อยค่าย แต่วุยก๊กก็ไม่ได้ยกทัพมา จนกระทั่ง         สุมาเอี๋ยนยึดอำนาจจากพระเจ้าโจฮวน  ตั้งตนเป็นฮ่องเต้ต้นราชวงศ์จิ้น เมื่อ พ.ศ.๘๐๘  และได้ข่าวว่าเตรียมกองทัพจะยกมาตีเมืองกังตั๋ง ก็เลยใจฝ่อประชวร และสิ้นพระชนม์ไป ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เห็นกองทัพของข้าศึกเลย

                   พระเจ้าซุนโฮ ซึ่งเป็นราชบุตรของพระเจ้าซุนเหลียง ที่ถูกเนรเทศไป  ก็กลับได้รับเชิญมาครองราชย์ต่อ แต่เนื่องจากไม่เคยนึกฝันว่าจะมีวาสนาถึงเพียงนี้ จึงมิได้เอาใจใส่ต่อราชการบ้านเมืองทั้งหลาย ดังที่ขุนนางทั้งปวงได้ตั้งความหวังเอาไว้ มัวแต่หลงระเริงอยู่ในความสุขสบาย เสพสุราเคล้านารีอยู่เป็นนิจ  ผู้ใดทูลทัดทานก็ให้เอาไปฆ่าเสียบ้าง ตัดหูตัดจมูกเสียบ้าง

จนถึง พ.ศ. ๘๒๓ พระเจ้าสุมาเอี๋ยนได้กรีธาทัพใหญ่มาโจมตี ก็ไม่สามารถจะสู้รบได้ ต้องพ่ายแพ้ทั้งทางบกและทางน้ำ พระเจ้าซุนโฮเสียใจจะเชือดคอตายเสียแต่ขุนนางห้ามไว้ทัน จึงยอมอ่อนน้อมมอบตัวเป็นข้าพระเจ้าสุมาเอี๋ยน เช่นเดียวกับพระเจ้าเล่าเสี้ยน ง่อก๊กก็ตกอยู่ใต้อำนาจของวุยก๊กอีกรายหนึ่ง

                    พระเจ้าสุมาเอี๋ยน ซึ่งมิใช่เชื้อสายของก๊กทั้งสามที่ได้แย่งชิงความเป็นใหญ่กันมา ตลอดเวลาหกสิบสี่ปี ก็สถาปนาราชวงศ์จิ้น ขึ้นปกครองแผ่นดินจีนแต่ผู้เดียว ทรงพระนามว่า               พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้

บ้านเมืองก็เรียบร้อยปราศจากโจรผู้ร้าย ราษฎรได้ทำมาหากินเป็นปกติ พ่อค้า    วานิชไปมาค้าขายเป็นสุขสบายมาประมาณเจ็ดปี ฮ่องเต้ก็ทรงดำริว่าบ้านเมืองก็ราบคาบสิ้นศึกสงครามแล้ว ซึ่งจะให้หัวเมืองซ้อมหัดทหารต่อไปนั้น ก็ป่วยการเปล่าหาประโยชน์ไม่ ทรงดำริดังนี้แล้วก็เสด็จออกที่ว่าราชการ ตรัสปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่ว่า

“……..หัวเมืองใหญ่น้อยซึ่งขึ้นแก่เมืองลกเอี๋ยงนี้ พากันฝึกหัดทหารไม่หยุดหย่อน ต้องเสียเงินหลวงปีละหลายร้อยหมื่น เราเห็นว่าทุกวันนี้บ้านเมืองก็อยู่เย็นเป็นสุข สิ้นข้าศึกศัตรู ราษฎรได้ทำไร่นาค้าขายหากินเป็นปกติทั่วกันแล้ว คิดจะมีหนังสือไปห้ามเจ้าเมืองกรมการทั้งปวง มิให้ซ้อมฝึกหัดทหารต่อไป ท่านทั้งหลายจะเห็นประการใด……..”

ซันถิว ขุนนางผู้ใหญ่ก็คัดค้านว่า

“……..ซึ่งบ้านเมืองเป็นสุขอยู่ทุกวันนี้ เพราะเจ้าเมืองกรมการทั้งปวง ฝึกหัดทหารและสร้างสมเครื่องสาตราวุธไว้พรักพร้อม ข้าศึกศัตรูจึงได้เกรงขาม ผู้ที่คิดประทุษร้ายต่อแผ่นดิน ก็ครั่นคร้ามคิดทำการไปไม่ตลอด และผู้ที่มีใจหยาบช้าแต่ยังไม่ทรยศนั้นเล่า ก็ไม่อาจกำเริบขึ้นได้ เปรียบเหมือนมีกำแพงศิลาอันหนาแน่นล้อมรอบพระราชอาณาเขตอยู่ ถ้าพระองค์โปรดให้เลิกการหัดทหารเสียแล้ว คนที่เป็นพาลสันดานโลภ ก็จะคิดตั้งตัวเป็นใหญ่ มากระทำย่ำยีแก่บ้านเมือง แม้นเกิดศึกสงครามขึ้นแล้ว จะเรียกเอาทหารที่ไหน มาสู้รบกับข้าศึกได้ทันท่วงทีเล่า……..”

และยังได้ย้ำอีกว่า

“……ถ้าบ้านเมืองเกิดศึกสงครามขึ้นแล้ว จะต้องเสียเงินซื้อเสบียงอาหาร และเสื้อเกราะเครื่องสาตราวุธ มากกว่านี้หลายเท่าหลายส่วนนัก ทั้งทแกล้วทหารและราษฎร ก็จะพากันล้มตายเสียโดยมาก ถ้าบ้านเมืองมีความสุขอยู่อย่างนี้ ผู้คนมั่งมีทรัพย์สิ่งของบริบูรณ์แล้ว ก็จะได้ส่วยสาอากรมากขึ้นทุกปี……..”

พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ก็มิได้เชื่อฟัง มีรับสั่งให้พนักงานทำประกาศไปตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้เลิกการฝึกหัดทหารเสีย หัวเมืองใหญ่ให้มีทหารไว้พันหนึ่ง หัวเมืองน้อยให้มีทหารเพียงแค่ร้อยคนเท่านั้น

เจ้าเมืองทั้งหลายในอาณาเขตของแผ่นดินจิ้น เมื่อได้รับประกาศของฮ่องเต้ ให้ลดกำลังทหารลง ก็พากันตกใจ จึงชวนกันไปปรึกษากับเอี้ยวเฮงเจ้าเมืองเกาจิ๋ว ซึ่งเป็นขุนนางเก่า ซึ่งฮ่องเต้เคยโปรดปราน ได้ทรงเชื่อถือมาแต่ก่อน ให้มีหนังสือไปกราบทูลทัดทานไว้ เอี้ยวเฮงจึงว่า

“…..ท่านทั้งหลายมาพูดนั้น ถูกต้องกับความคิดของข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า ถึงจะมีหนังสือไปกราบทูลเตือนพระสติก็คงไม่สำเร็จ ด้วยขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวง ท่านได้กราบทูลชี้แจงทุกอย่างแล้ว ก็ไม่ทรงเชื่อฟัง แต่ข้าพเจ้าจะต้องมีหนังสือบอกเข้าไปกราบทูลตักเตือน ลองดูสักครั้งหนึ่ง ด้วยเป็นความกตัญญูเห็นแก่แผ่นดิน……..”

แล้วเอี้ยวเฮงก็ทำหนังสือให้คนนำไปกราบทูลฮ่องเต้ ตามความคิดของตน เมื่อเจ้าพนักงานนำหนังสือนั้น ขึ้นถวายพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ ที่เมืองลกเอี๋ยงแล้ว ฮ่องเต้ก็เปิดผนึกออกทรงอ่าน หนังสือนั้นมีความว่า

ทุกวันนี้หัวเมืองเอกมีทหารเมืองละสองหมื่น หัวเมืองโทมีทหารเมืองละหมื่น หัวเมืองตรีมีทหารเมืองละหกพัน และหัวเมืองจัตวามีทหารเมืองละสี่พันบ้างสองพันบ้าง

ทหารในจำนวนซึ่งบอกเข้ามานี้ ได้ฝึกหัดไว้คล่องแคล่วชำนิชำนาญในการรบ แล้วเคยได้รับพระราชทานเบี้ยหวัดเงินเดือน ตามจำนวนปีมิได้ขาด จึงมีความอุตส่าห์ตั้งใจทำราชการโดยสุจริต แต่บรรดาเจ้าเมืองใหญ่น้อยนั้น ได้เป็นที่หวังอุ่นใจอยู่ด้วยทหารเหล่านี้ ถึงแม้นว่ามีศึกสงครามมาประการใด ก็เป็นที่ป้องกันอันตรายได้

ประการหนึ่ง แขวงเมืองเกาจิ๋วนั้นมีเขตแดน กว้างยาว ตั้งแต่ทิศตะวันออกไปถึงทิศตะวันตก ประมาณเจ็ดพันลี้ ตั้งแต่ทิศเหนือไปทิศใต้ ประมาณห้าพันลี้ ลำแม่น้ำกว้างใหญ่เดินเรือได้ตลอดถึงเมืองฮวนต่าง ๆ ราษฎรที่ตั้งทำมาหากิน มิได้อยู่ในบังคับบัญชาของเจ้าเมืองนั้นถึงหกหมื่นครัวเศษ เปรียบเหมือนริมฝีปากกับไรฟันใกล้ชิดกันอยู่ ถ้าเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นแล้ว จะต้องระวังทั้งภายนอกภายใน เห็นเหลือกำลังนัก ด้วยไพร่พลทหารที่รักษาเมืองมีไม่พอ

เมื่อฮ่องเต้ทรงทราบความตามหนังสือนี้แล้ว จะมีพระดำริประการใด คงจะต้องรอไปจนถึงตอนหน้า

                   #############

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 6 ก.ย. 54 08:09:38




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com