Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ขุนนางเหลวไหล ติดต่อทีมงาน

คุ้ยพงศาวดารจีน

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๔  ขุนนางเหลวไหล

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เจียฉองว่าราชการเมืองเกงจิ๋วได้ประมาณสองปีเศษ ขุนนางฝ่ายพลเรือนว่างลงหนึ่งที่ เกาะเอ็กก็กราบทูลฮ่องเต้ ให้ย้ายเจียฉองเข้ามาทำราชการในเมืองหลวง ในตำแหน่งที่ว่างนั้น ฮ่องเต้ก็โปรดแต่งตั้งเจียฉองตามที่เกาะเอ็กเสนอ

อยู่ในเมืองหลวงไม่นาน เจียฉองก็ไปซื้อที่ดินปลูกบ้านใหม่เป็นเงินห้าพันตำลึง แต่เมื่อขุดดินทำรากก่อตึก ก็พบเงินทองฝังดินอยู่เป็นอันมาก ตั้งแต่นั้นมาเจียฉองก็มั่งมีเงินทอง ทรัพย์สิ่งของมากกว่าขุนนางทั้งปวงในเมืองหลวง

แต่มีขุนนางฝ่ายทหารคนหนึ่ง ชื่อ อองค่าย เป็นน้องชาย นางบุนเหมง พระสนมเอกของฮ่องเต้ เป็นคนมั่งมีเงินทองมากมายมาก่อน ไม่ยอมน้อยหน้าเจียฉอง เมื่อพบกันหลังเวลาเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว ก็อวดมั่งอวดมีแข่งกันอยู่เสมอ วันหนึ่งก็เกิดท้าแข่งขันประกวดเครื่องโต๊ะที่ตั้งในสวนกันขึ้น ฮ่องเต้กลัวว่าเครื่องตั้งโต๊ะของอองค่ายจะสู้ของเจียฉองไม่ได้ ด้วยเห็นแก่นางสนมเอก จึงพระราชทานต้นไม้กระถางทำด้วยศิลาอย่างดีมีสีต่าง ๆ เป็นของประหลาด ให้อองค่ายเอาไปประกวดกับเจียฉอง

เมื่อเจียฉองเห็นต้นไม้ศิลาของอองค่าย ก็รู้ว่าเป็นของหลวง แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ พูดว่า

“……..ต้นไม้ทำด้วยศิลาอย่างนี้ เป็นของเลวเอามาตั้งทำไม ที่อย่างดีกว่านี้ของเรามีถมไป แต่ไม่ได้เอามาตั้ง ด้วยเห็นว่าเป็นของตามธรรมเนียม ไม่ได้ประหลาดนัก…….”

แล้วเจียฉองก็แกล้งเอาด้ามพัด ตีต้นไม้นั้นแตกหักยับเยินไป แล้วว่าจะใช้ให้ใหม่  และสั่งให้คนใช้เอาต้นไม้ซึ่งทำด้วยศิลาและหยก ที่ดีมีราคามากกว่าต้นที่แตกนั้น ให้อองค่ายเลือกเอาตามชอบใจ อองค่ายก็เลือกเอาไว้ต้นหนึ่ง เอาไปมอบไว้กับนางบุนเหมงในพระราชวัง นางจึงเอาไปถวายให้ฮ่องเต้ทอดพระเนตร แล้วกราบทูลความที่เจียฉองทำต้นไม้ของหลวงแตก และเอามาใช้ให้ทรงทราบทุกประการ ฮ่องเต้ก็ไม่กล้าเอาโทษเจียฉอง ด้วยเกรงขุนนางทั้งปวงรู้จะนินทาได้ว่าลำเอียงเข้ากับน้องของพระสนม และขุนนางทั้งปวงที่นับถือเจียฉอง และอองค่ายก็แตกกันออกเป็นสองพวก

วันหนึ่งขุนนางในกรมอาลักษณ์ ทราบข่าวเรื่องเจียฉองกับอองค่ายเล่นประกวดอวดมั่งมีกันใหญ่โต จึงทำหนังสือเป็นเรื่องราวกราบทูลฮ่องเต้ เอาไปถวายต่อพระหัตถ์ มีความว่า

กษัตริย์แต่ก่อนซึ่งครองแผ่นดิน ให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขนั้น ย่อมประพฤติพระองค์โดยมัธยัสถ์รอบคอบ มิได้เพลิดเพลินด้วยการเล่นที่ไม่เป็นประโยชน์ แล้วก็เอาพระทัยใส่               ในราชการบ้านเมือง และทรงพระเมตตาอารีแก่ข้าราชการและราษฎร ไม่ให้ได้ความเดือดร้อนด้วยเหตุต่าง ๆ พวกขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยต้องประพฤติตามกระแสพระเจ้าแผ่นดิน ช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมือง ให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข

และทุกวันนี้พระองค์ประกอบแต่ การเล่นที่ไม่เป็นประโยชน์ ข้าราชการทั้งปวงก็พากันประพฤติการเล่นตามพระองค์ เหมือนเจียฉองกับอองค่าย ตัวเป็นขุนนางไม่เอาใจใส่ราชการ มาคิดอ่านเล่นสนุกอวดสมบัติเป็นการเอิกเกริกใหญ่โตนัก เสียข้าวของและป่วยการผู้คนเปล่า ๆ ไม่เป็นคุณแก่บ้านเมืองเลย เป็นที่ก่อเหตุให้หมางน้ำใจกัน ให้ช่องโอกาสแก่ศัตรูเข้ายุยงดูถูกดูแคลน ถ้าประพฤติการเล่นอยู่เนือง ๆ ดังนี้แล้วก็เหมือนหนึ่งจะล้างความดี ที่เคยมีอยู่

แต่ก่อนบ้านเมืองซึ่งอยู่เย็นเป็นสุขนั้น เพราะมีผู้ประกอบด้วยสติปัญญาและฝีมือเข้มแข็งมาก ช่วยคิดอ่านป้องกันข้าศึกทั้งภายนอกภายในมิให้เกิดขึ้นได้ ถึงอาณาเขตจะโตใหญ่ก็ดูเหมือนแคบอยู่ ด้วยผู้คนคับคั่งตั้งทำมาหากินเป็นสุขทุกตำบล เหมือนคำโบราณกล่าวไว้ว่า น้ำไหนขังฝั่งไหนเย็นเป็นที่ฝูงปลาอาศัย  แม้นปราศจากผู้มีฝีมือและสติปัญญาช่วยรักษาบ้านเมือง ก็จะเกิดเหตุการณ์ขึ้นต่าง ๆ แผ่นดินไม่เป็นสุข เมื่อราษฎรทิ้งถิ่นฐานบ้านเรือนเสียแล้ว ถึงอาณาเขตจะแคบก็ดูเหมือนใหญ่โต เพราะไม่มีคนอยู่เป็นแต่แผ่นดินเปล่า ขอพระองค์ได้ทรงดำริ ด้วยทุกวันนี้ผู้ซึ่งจะช่วยคิดอ่านรักษาบ้านเมืองนั้นยังน้อยนัก จงโปรดให้สืบเสาะแสวงหาผู้มีสติปัญญาและฝีมือมาไว้ให้มาก ได้สมที่พระราชอาณาเขตกว้างใหญ่จึงจะควร

พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ได้ทอดพระเนตร หนังสือของขุนนางอาลักษณ์ฉบับนี้แล้ว ก็ไม่สบายพระทัย ทรงระลึกถึง เตียโฮ เจ้าเมืองฮิวจิว ด้วยเป็นคนซื่อตรงเคยใช้สอยเชื่อถือมาแต่ก่อน จึงรับสั่งให้ข้าหลวงไปตามเตียโฮที่เมืองฮิวจิวเข้ามาเฝ้า แล้วตรัสว่า

“………ตั้งแต่ท่านออกไปอยู่เมืองฮิวจิว เราไม่มีใครจะเป็นที่ปรึกษาหารือไว้ใจได้เลย บัดนี้ขุนนางบางพวกก็ว่าบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุข บางพวกก็ว่าบ้านเมืองเกิดจลาจลต่าง ๆ มีโจรผู้ร้ายชุกชุมขึ้น ครั้นฟังดูก็ไม่รู้ว่าจะเชื่อแน่ข้างผู้ใด ตัวท่านออกไปเป็นเจ้าเมืองอยู่ข้างนอก ได้รู้ความเป็นอย่างไรบ้าง จะเท็จจริงข้างไหน………”

เตียโฮกราบทูลว่า

“………พระทัยของพระองค์นั้น ก็ปรารถนาจะให้บ้านเมืองเป็นสุขอย่างเดียว ข้าพเจ้าได้ยินคำนักปราชญ์แต่ก่อนกล่าวเป็นคำโคลงไว้สองบท บทหนึ่งว่าคำสิ่งใดชอบหูหวานปากอยู่แล้ว ย่อมเป็นที่ชอบใจผู้ฟัง แต่มักจะให้โทษเหมือนกินของผิดสำแดง คำสิ่งใดเคืองหูขมปาก ย่อมไม่ชอบใจผู้ฟัง เปรียบเหมือนยา ถ้าใคร่อุตส่าห์ขืนใจกินไว้บ้างก็อาจบำบัดโรคได้ คำโคลงท่านว่าไว้ดังนี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าผู้ซึ่งมากล่าวว่าบ้านเมืองไม่เป็นสุขเกิดจลาจลต่าง ๆ จงเชื่อฟังไว้บ้าง เหมือนกับขืนใจกินยาขมปาก คำซึ่งว่าบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขนั้น พรองค์อย่าเพิ่งทรงเชื่อนักจะมีโทษ เหมือนกับกินของที่หวานชอบปากมักจะเกิดโรค และผู้ซึ่งว่าบ้านเมืองเกิดจลาจลต่าง ๆ นั้นเป็นความจริง ข้าพเจ้าได้ทราบความมาหลายปีแล้ว…….”

ฮ่องเต้ได้ฟังเตียโฮเอาคำนักปราชญ์แต่ก่อนมาเปรียบเทียบ ก็เห็นจริงด้วย จึงขอให้เตียโฮเข้ามาอยู่ในเมืองหลวง จะได้ปรึกษาหารือข้อราชการบ้านเมือง ช่วยกันรักษาแผ่นดินอย่าให้มีอันตรายขึ้นได้ เตียโฮทูลว่าตนเองเป็นคนชราอายุมากแล้ว เห็นจะรับราชการสนองพระเดชพระคุณไปไม่ตลอด และที่เมืองฮิวจิวนั้นโจรผู้ร้ายเกิดชุกชุมขึ้นมาก ไม่เห็นมีผู้ที่จะไปรักษาเมืองแทนได้ และกราบทูลว่า

“………….ถ้าพระองค์จะต้องพระราชประสงค์ผู้มีสติปัญญา ไว้เป็นที่ปรึกษาราชการบ้านเมืองแล้ว จงเอาสุม้าฮิว ซึ่งเป็นที่ซินอ๋องมาไว้ เห็นจะดีกว่าคนอื่น พอเป็นที่ปรึกษาหารือได้ ซินอ๋องนี้มีสติปัญญาหลักแหลมซื่อตรง ทั้งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระองค์ด้วย……”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็เห็นชอบด้วย จึงตรัสว่า ซินอ๋อง นี้ แต่ก่อนพระราชบิดาเราก็นับถืออยู่ ตรัสแล้วจึงมีรับสั่งให้ข้าหลวงถือหนังสือไปหาซินอ๋อง จะให้เข้ามาเป็นที่ปรึกษา เตียโฮ  ก็กราบถวายบังคมลากลับ

เมื่อมาถึงตึกที่พักของ ก็พบขุนนางหลายคนต่างก็พูดกันว่า มีรับสั่งโปรดให้ท่านเข้ามาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาในเมืองหลวง พวกตนก็พากันดีใจ หมายว่าท่านเข้ามาอยู่แล้ว บ้านเมืองจะได้เรียบร้อยเป็นปกติ เหตุใดท่านจึงไม่รับ

เตียโฮจึงบอกว่า

“……….ซึ่งโปรดให้ข้าพเจ้าเข้ามาเป็นขุนนางที่ปรึกษาในเมืองหลวงนั้น เห็นขัดอยู่ด้วยข้าพเจ้าสังเกตดูท่วงทีกิริยาเอียงจุ้นไม่เต็มใจ จะให้ข้าพเจ้าเข้ามาทำราชการในเมืองหลวง เอียงจุ้นเล่าเขาก็เป็นบิดานางเอียงกิมฮองเฮา ราชการสิทธิ์ขาดอยู่กับเขา เขามีพวกพ้องมากแล้วประกอบด้วยความโลภและอิจฉาเป็นดังนี้ ไม่มีความกตัญญูต่อแผ่นดิน ทำการข่มเหงราษฎรให้ได้ความเดือดร้อน ครั้นข้าพเจ้าเข้ามาอยู่ทำราชการ ถ้าประพฤติตามเอียงจุ้น ก็จะเสียชื่อเสียงพลอยเป็นคนอสัตย์ไปด้วย ครั้นจะตั้งอยู่ในยุติธรรมไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเล่า นานไปภัยจะมีมาถึงตัว ด้วยกำลังบุญวาสนาข้าพเจ้าน้อยนัก พวกพ้องก็ไม่มีมาก จะโต้ทานกำลังพวกเอียงจุ้นได้หรือ ทั้งตัวข้าพเจ้าก็แก่เฒ่าแล้ว คิดจะหาแต่ความสุขไปกว่าจะสิ้นชีวิต………”   ว่าแล้วเตียโฮก็เดินทาง กลับไปทำราชการที่เมืองฮิวจิวตามเดิม

ฝ่าย เอียงจุ้น กับขุนนางที่เป็นพวกพ้อง แจ้งความว่า พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้      ให้ข้าหลวงไปหาตัว ซินอ๋อง เข้ามาเป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษาก็ไม่สบายใจ มีความวิตกด้วยตัวกระทำผิดจากพระราชกำหนดกฎหมายไว้มาก เพราะเชื่ออำนาจ นางเอียงกิมฮองเฮา ไม่มีผู้ใดขัดขวางได้ จึงปรึกษากันหาทางที่จะกำจัดซินอ๋อง ไม่ให้เข้ามาเป็นใหญ่ในเมืองหลวง แล้วก็คอยโอกาสอยู่.

เมื่อข้าหลวงซึ่งถือหนังสือรับสั่งของพระเจ้าซีโจบู๊ ไปถึงเมืองแซจิวแล้ว ก็เอาหนังสือส่งให้ซินอ๋อง ในหนังสือรับสั่งนั้นมีความว่า

ตัวเราได้ครองราชสมบัติ รักษาแผ่นดินมาถึงยี่สิบสามปี บัดนี้ขุนนางผู้ใหญ่ซึ่งมีสติปัญญาใจสัตย์ซื่อมั่นคง ทำราชการมาแต่ครั้งพระราชบิดาเรานั้นล้มตายไปมาก ที่ยังเหลืออยู่ก็แก่ชรา บางคนขอลาออกเสียจากราชการบ้าง บัดนี้เราไม่มีผู้ใดจะเป็นที่ปรึกษาการงานทั้งปวง เห็นว่าท่านประกอบด้วยสติปัญญา พระราชบิดาเราได้เคยนับถือว่าซื่อตรง ให้ท่านเข้ามาทำราชการในเมืองหลวง จะได้ช่วยกันรักษาแผ่นดินให้เป็นสุข

ซินอ๋องแจ้งความในหนังสือรับสั่งก็อิดเอื้อนอยู่ แล้วจึงทำหนังสือฉบับหนึ่ง  เข้าผนึกมอบให้ข้าหลวงนั้นนำกลับไปถวายฮ่องเต้ ขุนนางเมืองแซจิวก็สงสัยจึงถามว่า เหตุใดมีรับสั่งแล้ว จึงทำบิดพริ้วอยู่ดังนี้ ซินอ๋องก็บอกว่า

“……….ซึ่งมีรับสั่งจะชุบเลี้ยงให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ที่ปรึกษานั้นก็ชอบแล้ว แต่เราเห็นว่าพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ พระทัยไม่แน่นอนยั่งยืนมักกลับกลอก ครั้นเราจะเข้าไปรับราชการก็กลัวจะทำไปไม่ตลอด มีคำนักปราชญ์แต่ก่อนกล่าวไว้ว่า

เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว เปรียบเหมือนพ่อค้าสองจำพวก จำพวกหนึ่งขายครามและกระเหม่า จำพวกหนึ่งขายชาดและเสน ถ้าค้าขายสิ่งใดมือต้องเปื้อนสิ่งนั้น

อันคบด้วยคนพาลที่ไม่ตั้งอยู่ในยุติธรรมแล้ว ก็ย่อมชักนำพาให้ประพฤติการที่ชั่ว เหมือนกับพวกพ่อค้าที่ขายครามและกระเหม่า ก็จะพลอยให้มือดำ ถ้าคบค้าสมาคมด้วยผู้มีสติปัญญา ประกอบความสัตย์สุจริตแล้ว มีแต่จะชักพาให้ประพฤติแต่การที่ดี เป็นประโยชน์แก่ตัวและผู้อื่น เปรียบเหมือนพ่อค้าขายเสนและชาด มือก็พลอยแดงด้วย…….”

แล้วซินอ๋องก็แจ้งเหตุที่ไม่ยอมเข้าไปเมืองหลวงว่า

“…….ในเมืองหลวงนั้นขุนนางที่มีสติปัญญา ซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินก็ยังมีถมไป เมื่อพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ประพฤติแต่การเล่นนั้น ขุนนางที่ซื่อสัตย์กตัญญูกราบทูลห้ามปราม และทำเรื่องราวถวายเตือนพระสติก็หลายครั้ง พระองค์ก็มิได้เชื่อฟัง ชอบพระทัยแต่จะใกล้เคียงแต่พวกกังฉินอย่างเดียว ไม่พอพระทัยที่จะใกล้ชิดกับพวกตงฉิน ซึ่งเป็นคนซื่อสัตย์ต่อแผ่นดิน ครั้นเราจะเข้าไปรับราชการ ก็กลัวจะทำไปไม่ตลอด จึงอิดเอื้อนอยู่ดังนี้ ถึงเราอยู่ที่นี่ก็ช่วยป้องกันรักษาพระราชอาณาเขตเหมือนกัน เราทำราชการทุกวันนี้ เอาแต่ถูกเป็นประมาณไม่ได้เห็นแก่หน้าผู้ใด ซึ่งจะเข้าไปอยู่ในเมืองหลวงนั้น เห็นจะรักษาตัวยาก……….”

เมื่อข้าหลวงผู้ถือหนังสือของซินอ๋อง นำหนังสือขึ้นถวายฮ่องเต้ ทรงรับมาทรงอ่านมีความว่า ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดจะชุบเลี้ยงข้าพเจ้า ให้เข้ามาทำราชการในเมืองหลวงนั้น พระเดชพระคุณหาที่เปรียบมิได้ ข้าพเจ้าจะขอรับพระราชทานตรึกตรองดูก่อน ถ้าตกลงประการใดจึงจะกราบบังคมทูลให้ทราบภายหลัง

ฮ่องเต้ทรงทราบความแล้วก็ตรัสว่า เมื่อซินอ๋องไม่เต็มใจมาก็ตามอัชฌาสัยเถิด.

###########

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 08:41:47




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com