ความคิดเห็นที่ 1 ผมว่ามาจากหางเครื่องลูกทุ่งนี้แหละครับ อีกส่วนมาจากการคิดท่าเองของรุ่นพี่ ที่จะสืบทอดให้รุ่นน้อง คหสต. จากคุณ : Elizarah เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 12:39:52

ความคิดเห็นที่ 2 เออ ที่มาแบบไทยๆ ผมไม่รู้นะครับ จำได้ว่า รุ่นปู่ นั่งพับเพียบ นุ่งผ้าม่วง ร้องเพลงเชียร์ "เดินจุฬาฯ" เพราะรูปถ่ายยังมีอยู่ แต่ขอหาก่อน ส่วนที่เอามาลงให้ดู เป็นของญี่ปุ่นครับ มีมานานก่อนสมันสงครามกลางเมือง เป็นวิชาหนึ่งที่ซามูไรต้องฝึก คือ "เปล่งเสียงดังๆ" และแสดงสัญลักษณ์ "อักษรคน" เพื่อสื่อสารให้หน่วยทหารที่อยู่ไกลออกไป ได้รับรู้ว่าข้าศึก มากน้อยขนาดไหน โจมตีทางไหน มีมาก่อนอักษรมือทางทหารสงครามโลก แต่ต่อมาได้พัฒนามาจนกลายเป็นการเชียร์ นำอุปกรณ์เช่นกลองไทโกะ ทรัมเป็ต ทรอมโปนมาเสริม จนกลายเป็นการเชียร์ที่มีเอกลักษณ์ที่ดีมากๆ ที่สุด และไม่น่าจะมีที่ใดเหมือนครับ เขาเรียก "Oencan" โอเอนดัง จากคุณ : พี่คนใต้ใจดี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 13:31:31

ความคิดเห็นที่ 3 อันนี้ คงหมายถึงที่ จขกท มาถาม เดินจุฬา ครับ เห็นแล้วถ้าผมเป็นนักกีฬา มันคงไม่ได้ให้กำลังใจนักกีฬาเท่าไหร่แน่ๆ น่าจะให้ความบันเทิงกับ กองเชียร์มากกว่า จากคุณ : พี่คนใต้ใจดี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 13:36:38

ความคิดเห็นที่ 4 อันนี้ของธรรมศาสตร์ แช่แว๊บ ไม่รู้ว่านักกีฬาจะได้กำลังใจมากน้อยแค่ไหน แต่คนดู ดูกันเพลินตาแน่ๆ แถมมีลุ้นอีก 555 จากคุณ : พี่คนใต้ใจดี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 13:44:31

ความคิดเห็นที่ 5 cheer leader คือ ผู้นำการ cheer ซึ่งผมว่า มาใช้อธิบาย น้องๆหลีดเดอร์ พวกนี้ไม่ถูกต้อง 1 leader จะ lead ได้ ก้ต่อเมื่อมีคนร้องเพลง cheer ถ้าไม่มีคนร้องอยู่ ก้จะเหมือนคนบ้า 2 คนร้องเพลง cheer สามารถร้องได้ เข้าจังวะบ้าง ไม่เข้าจังหวะบ้าง  แต่ก็ร้องได้เป็นหมู่คณะโดยอาศัยการฟังเป็นหลัก  โดยไม่ต้องมี leader ก้ได้ หน้าที่ของ leader คือ คอยให้จังหวะให้ตรงกัน  ซึ่งที่ผ่านมา ไม่เคยคุมได้จริงจริงเลย เพราะ คนร้องไม่เคย เข้าใจท่าทางที่ทำอยู่  เพราะจะ ดูกีฬา เพราะฉะนั้น คนกลุ่มนี้ควรเรียก ว่า cu and tu field color entertainer มากกว่า ไมควรใช้คำว่า leader เพราะไม่ได้ lead อะไรเลย ที่มาของ lead มือคือ การยืนให้จังหวะ สมัยก่อน  โดยธรรมศาสตร์ เอาท่า lead เลขแปดมาจาก วไวทยากรถือ stick หรือมาจากการให้จังหวะ ดุริยางค์ทหาร อิอิ อันนี้เท่าที่ฟังมา  นะครับ point คือการให้จังหวะ ครับ จากคุณ : tinglee tingamee เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 15:18:47

ความคิดเห็นที่ 6 ใครเอาเข้ามาไม่รู้ รู้แต่เคยเป็นหลีด 555 จากคุณ : ไข่มุขราตรี เขียนเมื่อ : 11 ก.ย. 54 22:23:32

ความคิดเห็นที่ 7 ที่มาของ lead มือคือ การยืนให้จังหวะ สมัยก่อน  โดยธรรมศาสตร์ เอาท่า lead เลขแปดมาจาก วไวทยากรถือ stick เออ ผมว่าไม่น่าใช่นะครับ "วาทยากร" นะครับ เพราะ วาทยากร จะแกว่งไม้ ปาตอง ตามจังหวะโน็ตเพลง ซึ่งบางครั้งช้า และมาเร็วท่อนแยก บางครั้งชี้ไปที่ผู้เล่นดนตรีชิ้นนั้นๆ เพื่อให้เพิ่มเสียงดังให้เด่น หรือให้เล่นเบาๆ ลง มันจะเป็นสัญลักษณ์การสั่นปลายไม้ปาตอง อีกอย่างนึง ห้องดนตรี 1 ห้อง หากเป็นโน็ตเต็ม มันจะแค่ 4 จังหวะปาตอง แกว่งไม้จากขวา ขึ้นบน 1 แกว่งจากบนมาซ้าย 1 แกว่งจากซ้ายขึ้นบน 1 แกว่งจากบนมาขวา 1 ครบ 4 พอดี ซึ่งจะเต็มโน็ตกลม ไม่ได้แกว่งเป็นเลขแปดแต่อย่างใด อีกอย่าง การนำดนตรีตามโน็ตนั้น จะเน้นอารมณ์ของเพลง ซึ่งเพลงเดียวกัน โน็ตเดียวกัน วงเดียวกัน แต่ วาทยากรต่างกัน อารมณ์ของเพลงก็ต่างกันอย่างสิ้นเชิงครับ ส่วนคลิปที่เอามาให้ดู Oendan นอกจากจะเชียร์แล้ว ในญี่ปุ่นยังใช้เป็นการทำกิจกรรมพร้อมกัน ร่มกัน (คนญี่ปุ่นชอบทำอะไรเป็นหมู่คณะครับ) เป็นการโชว์ความสามัคคีในกลุ่ม และการเชียร์อีกรูปแบบนึง ลองพิจารณาดูก็ได้ครับ ของเขาพร้อมเพรียงกันมากกว่าของไทยแค่ไหน จากคุณ : พี่คนใต้ใจดี เขียนเมื่อ : 12 ก.ย. 54 00:17:47

ความคิดเห็นที่ 10 ถ้านับประวัติศาสตร์ร่วมของการลีดมือ (ให้สัญญาณ) ก็อยู่ในช่วงเดียวกับ การเกิดขึ้น ของฟุตบอลประเพณี ทั้ง จุฬา ฯ  - ธรรมศาสตร์ ( 2477  - 2525)สวนกุหลาบ - เทพศิรินทร์, เซนต์คาเบรียล - วัดบวรนิเวศ อิทธิพล สำคัญ มาจากการนำเชียร์โดย "ผู้นำเชียร์" (Cheer Leader) ไม่ใช่แบบ (Cheer Dancer - ปอม ปอม - เชียร์อเริกัน) แบบในยุคปัจจุบัน มาจาก สัญญาณมือของกองทัพ โดยเฉพาะสัญญาณมือของกองทัพญี่ปุ่น ที่พัฒนาเข้ามาสู่วงโยธวาทิต สัญญาณ มือ เริ่มต้นง่าย ๆ จากการให้จังหวะ ตบมือ ดังกรณีการนำเชียร์ในครั้ง อัสสัมชัญ แปรอักษรด้วยตัวบุคคล จนกลายมาเป็นการแปรอักษรบนอัฒจันทร์ครั้งแรก ๆ ในประเทศไทย การให้สัญญาณจังหวะ คือตบมือ 1 2 3 4 จนไปถึงจังหวะการรัวมือ ในราวทศวรรษที่ 2500 เป็นต้นมา สัญญาณมือ จะมีการนำเพลง เสียงสั่งเข้ามาผสม กลายเป็น เสียง วี๊ด บูม หรือ เสียง ฮู..... รวมทั้งการกระทืบเท้าบนอัฒจันทร์ ผู้นำเชียร์ในยุคแรก คือ ผู้นำที่มีจิตวิทยา มีอำนาจและแข็งแรง ไม่อ่อนช้อยหรือ หล่อสวยอย่างในยุคปัจจุบัน สัญญาณทำจังหวะตามเสียงตบมือด้วยท่าทาง ถูกพัฒนาขึ้นมากกว่า 60 ปี พร้อม ๆ กับงานฟุตบอลประเพณี ที่ถือว่า เป็นต้นแบบสำคัญไปสู่การลอกเลียน พัฒนาของสถานศึกษาในระดับอุดมศึกษา ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด เมื่อ ท่าทางทางทหาร ถูกนำมาใช้นำจังหวะการเชียร์ (2480 -2500) มีการพัฒนาเพลงเข้าไปสู่ในจังหวะตบมือ และพัฒนาท่าทางมือ เลียนแบบจากญี่ปุ่น อเมริกา (หลังสงครามโลก) ท่ามือผสมท่าร่างกาย (2500 - 2525) ท่ามือผสมเพลงมหาวิทยาลัย (2525) ท่าบูม (กระโดด) หลังปี 2500 เป็นต้นมา หลัง ปี 2525 ท่าลีด แปลงร่างเป็นท่าเต้น ผมว่า ผู้นำเชีบร์ สูญเสีย - หายไป ตั้งแต่ มีการพัฒนาของกลุ่มนักเต้น นักแสดง เข้ามาผสม จนกลืน Cheer Leader ที่มีอำนาจ พลัง ดึงดูดกองเชียร์ ให้หายไป จนกลายเป็น - Cat Walk CHeer - CHeer Dancer - Cheer Entertainer - Pom poms Cheer ที่ล้วนแต่เปลี่ยนแปลงมาจาก การนำจังหวะตบมือ จังหวะเพลง กลายมาเป็น การเต้นตามเพลงเชียร์ มากขึ้น จากคุณ : วรณัย เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 10:44:39

ความคิดเห็นที่ 11 ด้วยความเคารพ คุณพี่วรณัย ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 - สัมพันธมิตร จะใช้ การส่งสัญญาณทางไกลด้วยสัญลักษณ์ธง คล้ายๆ Dit Dat ในรหัส Morse เช่น dit dit dit dat dat dat  หรือ . . . - - - หมายถึงสัญญาณขอความช่วยเหลือ หรือ SOS - แต่ทางญี่ปุ่น ซึ่งสื่อสารด้วยภาษาญี่ปุ่นนั้น จะไม่เน้นการใช้สัญลักษณ์ธงร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะญี่ปุ่นเอง พัฒนา "อักษรคน" มาเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เพราะใช้ตัว ฮิราคานะ ในการสื่อสาร ลองหารหัส dit dat เวป และดูสัญลักษณ์ธง ภาษาอังกฤษในรูปภาพที่ผมเอามาลงก็ได้ครับ ผมว่ารหัสธง มันก็อาจจะเป็นต้นกำเนิดการ เชียร์แบบไทยๆ เราทุกวันนี้ก็ได้ครับ จากคุณ : พี่คนใต้ใจดี เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 11:50:29

ความคิดเห็นที่ 12 ธงสองมือ ยากชะมัด จากคุณ : เสือดำขโมยใจ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 13:11:39

ความคิดเห็นที่ 13 . จากคุณ : เสือดำขโมยใจ เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 13:12:11

ความคิดเห็นที่ 14 เอาจริงๆแล้ว การเต้นที่มีลักษณะของการโบกมือไปมาผมเคยเห็นของญี่ปุ่นครับ คล้ายๆลีดมือของไทยแต่ของเค้าไม่เร็วแต่จะอ่อนช้อย เลยเกิดสงสัยเป็นคำถามนี้ขึ้นมาเพียงแต่ไม่ได้แจ้งไว้ที่หัวกระทู้เพราะกลัวการชี้นำ ดังนั้นเรื่องการชียร์แบบลีดมือของไทยที่ว่าได้รับอิทธิพลมาจากญี่ปุ่นผมจึงคิดว่าน่าจะมีส่วนและผมก็ทึ่งมากเพราะสิ่งที่ผมสงสัยว่ามันคล้ายๆจะมีจุดเชื่อมโยงกันอย่างน่าประหลาด เพียงแต่ผมไม่ทราบว่าท่าเต้นของทางญี่ปุ่นนั้นมาจากสัญลักษณ์ของทหารหรือไม่ ถ้าไม่ก็คงไม่เชื่อมโยงกัน จากคุณ : Disorder เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 13:43:22

ความคิดเห็นที่ 15 ขอฝากเกร็ดประวัติการเชียร์ในสยามประเทศ สักนิดครับ       ใน ช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๐ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยได้จัดการแข่งขันกีฬาภายในเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ระหว่างคณะต่างๆ ซึ่งคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลในฐานะคณะแพทยศาสตร์แห่งจุฬาลงกร ณมหาวิทยาลัยได้ส่งนักกีฬาเข้าร่วมแข่งขันเป็นประจำทุกปี การเชียร์กีฬาในสยามสมัยนั้นยังไม่มีเพลงเชียร์เหมือนเช่นปัจจุบัน เข้าใจว่าคงมีเพียงการออกเสียงแสดงอารมณ์คล้ายกับการเชียร์มวยตามงานวัด หรือหากจะมีการจัดระเบียบให้ดูสุภาพเหมาะสมก็คงไม่มากไปกว่าการให้สัญญาณ เปล่งเสียงเป็นจังหวะอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ยังไม่ถึงกับเรียบเรียงเป็นเพลงขึ้นมา จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ อาจารย์หลวงวาจวิทยาวัฑฒน์ (วาด แย้มประยูร) ได้แนะนำให้นิสิตแพทย์แต่งเขียวและร้องเพลงเชียร์ โดยนำเพลง Hail, Hail, The Gang’s All Here มาสอนร้องในวันแข่งขันและท่านเป็นผู้นำเชียร์เอง จึงอาจกล่าวได้ว่าท่านเป็นเชียร์ลีดเดอร์คนแรกของสยามก็ว่าได้ จากหนังสือ อนุสรณ์ประเพณีข้ามฟาก พ.ศ. ๒๕๕๑ ^^ จากคุณ : beam_muboy เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 23:29:28