ความคิดเห็นที่ 1 หนูมีพื้นฐานบ้างแล้ว แนะให้อ่านหนังสือหลักคือ English Grammar in Use เพื่อปูฐานให้แน่น ทำ exercise ทุกบท ถ้าขยันเดือนเดียวก็จบเล่ม อีกสองเดือนที่เหลือไปหาหนังสือข้อสอบเก่าๆ Entrance, TOEFL มาทำ ทุ่มสุดๆ ด้าน structure เพราะมันเป็นของตาย ข้อสอบมันวนเวียนอยู่ไม่หนีไปไหน ตอนลุงอยู่ มศ 5 เทอมกลาง ก็ทำ structure ได้เต็ม 100% เลย เพราะทุ่มทำข้อสอบเก่าๆ นี่แหละ ส่วน comprehension ไม่มีเวลาทำได้ดีเพิ่มอีกแล้ว นอกจากอ่านข้อสอบเก่าๆ เปิดดิก ดูคำถาม แล้วลองทำแยะๆ ดู จะได้เข้าใจเนื้อหา คำถาม แนวคำตอบที่ถูก เจอข้อสอบเก่าๆ ที่ทำแล้ว มีแต่เฉลย ไม่มีคำอธิบาย ไม่เข้าใจ มาโพสต์ถามที่นี่ได้ ทุ่มมันสุดๆ อ่านอังกฤษวันละ 12 ชม ไม่ต้องดูหนัง ฟังเพลง ไม่ต้องไปเรียนวิชาอะไรอื่นๆ อีกแล้ว แนะพักสายตา 5 นาที ทุก 1 ชม รับรองเห็นผลแน่นอน ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ถ้าเรามีความเพียร เชื่อลุงเถิด จากเด็ก อังกฤษระดับกลาง มศ.3 ทุ่มสุดๆ 1 ปี มศ 4-5 ก็สามารถกลายเป็นที่ 1 ห้อง King รร ดังใน กทม ได้ สมัยนั้นนอกจากเรียนวิชาอื่นๆ ทั่วๆ ไปแล้ว ลุงอ่านอังกฤษวันละ 5-6 ชม ทุกวัน หยุดเทอม สิงอยู่ในห้องสมุด อ่าน 10-12 ชม ก็มี ตั้งแต่เช้าจนค่ำ ปล. หัดใช้ E-E dictionary ได้แล้ว ลุงใช้ตั้งแต่เริ่ม มศ.4 ปิดเทอม เพราะได้มาฟรีเนื่องจากสอบได้ที่ 1 อังกฤษของห้อง สมัยนั้นใช้ Oxford Advanced Learners' สมัยนี้มีง่ายกว่าอีกคือพวก Longman, Cambridge, Collins เอาฉบับ Learners นะครับ เราต้องทำตัวเราให้อยู่สภาพคุ้นตาเป็นประโยค วลี อังกฤษ ทุกเวลาเพราะมันจะฝังในหัวไม่ลืม ไม่ยากหรอก ลุงใช้เวลาแค่ 1 วันก็เรียนรู้การใช้งานได้แล้ว สมัยโน้น แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 54 00:19:04 จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 00:09:38

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณมากๆๆๆเลยนะคะคุณ K.Senior สำหรับคำแนะนำ หนูจะพยายามให้มากขึ้นกว่าเดิมแน่นอนค่ะ แต่ช่วงนี้หนูลงเรียนพิเศษเพื่อสอบ gat-pat ไว้ยังเรียนไม่จบเลยค่ะ แล้วยังมีสอบย่อย+สอบปลายภาค (หนูเป็นเด็กสายวิทย์น่ะค่ะ...แต่ความรู้ก็ลงเหวยิ่งกว่าภาษาอังกฤษอีกค่ะ) ตอนนี้เครียดมากๆเลยค่ะจนมาตั้งกระทู้เพื่อขอคำแนะนำจากพี่ๆห้องสมุดทุกๆท่าน ขอบคุณมากๆเลยนะคะสำหรับคำแนะนำ ขอบคุณจริงๆค่ะ จากคุณ : จำไม เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 00:18:00 A:182.53.93.125 X: TicketID:330029

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าใครคิดว่า "มีเคล็ดลับในการสอบก็แสดงว่าไม่เข้าใจเรื่องการเรียนภาษาอังกฤษ" จริงๆแล้วมันมีเคล็ดลับในการทำข้อสอบ แต่ครูสอนภาษาอังกฤษระดับเทพ ไม่จำเป็นต้องสอนเคล็ดลับในการทำข้อสอบ เพียงแค่สอนทักษะทุกอย่างที่จำเป็นด้วยวิธีการที่ถูกต้องศิษย์ก็ฟันข้อสอบกระจุยได้โดยไม่ต้องเรียนทำข้อสอบเป็นการเฉพาะเจาะจง พวกเรียนทำข้อสอบคือหัดกาข้อโน้นข้อนี้แบบติวเตอร์สอนกันจนติวเตอร์ร่ำรวยน่ะ ถ้าเข้ามหาลัยได้พอไปเรียนปี 3 เอกอังกฤษ เวลาเขียนภาษาอังกฤษเขียนไม่เป็นภาษาคน จบมาก็หางานทำลำบาก ถ้าใครไม่เชื่อคิดว่าเรียนติววิธีกาข้อสอบมันสุดยอด เราจะท้าพิสูจน์ ให้นักเรียนกลุ่มหนึ่งไปเรียนกาข้อสอบกับติวเตอร์ (คือ passive learning เพราะนักเรียนนั่งฟังแต่คำบรรยายได้แต่ตะบันจดลูกเดียว)  ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมาให้เราสอนวิธีของเราที่เราจะสอนให้พัฒนาทักษะทุกอย่างที่จำเป็น (โดยใช้ active learning คือให้นักเรียนหัดฟังกับอ่าน แล้วเอาไปพูดไปเขียนออกมาให้ได้ โดยใช้สมองพลิกแพลง) โดยที่เราจะไม่สอนกาข้อสอบเป็นงานหลัก เราเชื่อว่าศิษย์เราพอเห็นข้อสอบ ก็ใช้ทักษะที่เรียนรู้มาอย่างเป็นธรรมชาติและอย่างเป็นระบบ จัดการกับมันได้อย่างสง่าผ่าเผย อักษรศาสตร์จุฬาเข้ายากกว่าอักษรศาสตร์ศิลปกร และเรารู้จักเด็กอักษรศาสตร์จุฬาหลายคนมากๆที่เรียนจบมาแล้วไปทำงานด้านภาษาได้เงินเดือนสูงๆ ทุกคนบอกเราเป็นเสียงเดียวว่า "ไม่เคยเรียนเทคนิคการทำข้อสอบเลย หากแต่รักภาษาอังกฤษ และเสพย์สื่อภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว คือหัดดูหนังฟังเพลงและอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เด็กๆแล้ว (เริ่มตั้งแต่ ม.1 แน่ะ) ส่วนใหญ่พ่อแม่ส่งเสริมจนเด็กรักภาษาอังกฤษ" แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 54 00:24:03 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 00:21:55

ความคิดเห็นที่ 4 ลุงก็เด็กสายวิทย์นะหนู ได้ที่ 1 อังกฤษห้อง King สายวิทย์ ตอนนี้หนูต้องทิ้งอะไรทุกอย่างไปได้เลย ทุ่มสอบตรงอังกฤษอย่างเดียว อย่าจับปลาหลายมือ เดินทางเรียนพิเศษเสียเวลาเปล่า ลูกสาวลุงก็เป็นแบบนี้เมื่อ 10 ปีก่อน ก็เชื่อตามแฟชั่นไป แต่เมื่อสอบครั้งแรกไม่ได้ดี ลุงก็สอนว่า เสียเวลาเดินทางเรียนพิเศษ ซื้อตำราอ่านเองดีกว่า ไม่เข้าใจพ่อ พี่ สอนได้ ลูกสาวก็เชื่อฟัง เลิกบ้าไปเรียนพิเศษ เรียนที่บ้านเอง ในที่สุดก็สอบเข้าบัญชีเกษตรได้ จบมาหลายปีแล้ว ได้เกียรตินิยมอันดับสอง ถ้าหนูจะเอาสอบตรง ต้องทิ้งอย่างอื่นไปให้หมด เวลายังมี ทุ่มสุดๆ ไปเลย ไม่เสียเปล่าแน่นอน เชื่อลุงเถิด อังกฤษเก่งสุดๆ อย่างไรก็มีประโยชน์มากมายมหาศาล ตัวอย่าง ลุงไม่ได้เรียนเก่งที่สุดในห้อง King หรอก แต่อังกฤษเก่งที่สุด ลุงอยู่ระดับกลางๆ ค่อนไปทางท้ายด้วย แต่เพราะอังกฤษเก่งที่สุดนี่แหละ ทำให้ชิงทุนไปนอกเมื่อจบ มศ.5 ได้ จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 00:25:11

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณคุณ fortuneteller มากๆค่ะสำหรับคำแนะนำ (หนูแอบตามดูคอมเมนต์ของพี่อยู่บ่อยๆค่ะ) คือหนูไม่เก่งอังกฤษเลย ก็เลยหาทางเรียนพิเศษเพิ่มเติม เพื่อนก็เลยแนะนำให้ไปเรียนที่เอ็นคอนเซ็ปน่ะค่ะ ตอนแรกคิดว่าน่าจะช่วยในการทำข้อสอบได้บ้าง แต่หากมีวิธีที่ช่วยพัฒนาภาษาอังกฤษอื่นๆ ก็ขอคำแนะแนำด้วยนะคะ ^^ ขอบคุณคุณK.Senior มากค่ะสำหรับคำแนะนำ เมื่อกี้เลยไปลองหาข้อมูลของหนังสือ English Grammar in Use มาแล้วค่ะ เลยนึกได้ว่าเคยเห็นที่ร้านหนังสือ คิดว่าพรุ่งนี้คงไปซื้อมาเริ่มทำแล้วน่ะค่ะ ^^ จากคุณ : จำไม เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 00:36:23 A:182.53.93.125 X: TicketID:330029

ความคิดเห็นที่ 6 ไม่มีวิธีเรียนอังกฤษให้เก่งได้ นอกจากอ่านตำราแกรมมาร์ให้แตกฉาน เพราะจะทำให้เข้าใจโครงสร้างรูปประโยคต่างๆ ได้ สิ่งที่ลุงทำมาตลอด มศ4-5 คืออ่านหนังสือ graded readers จบเกิน 200 เล่ม ในสองปี แค่หยุดเทอม มศ4 ก็อ่านเกิน 100 เล่มแล้ว บางวันอ่านจบ 2-3 เล่ม คือเมื่อเราเก่งแกรมมาร์แบบสุดๆ วิเคราะห์โครงสร้างประโยคได้ ทำ error ได้ 100% การอ่านหนังสืออังกฤษต่างๆ ก็เพิ่มความเคยชินรูปประโยค โครงสร้างพื้นฐาน ทำให้ทำ comprehension ได้คะแนนดีด้วย ที่ทำเช่นนี้ได้เพราะใช้ E-E dictionary มาโดยตลอดตั้งแต่วันแรกที่ได้จากครูสอนภาษาอังกฤษ วันสุดท้าย มศ.4 ก่อนปิดเทอม อย่างหนูมีเวลาเหลือน้อย คงไม่มีเวลาอ่านพวก graded readers มากแบบลุง ก็เอาแค่อ่านตำราแกรมมาร์ 2-3 รอบให้ขึ้นใจสุดๆ แล้วเอาข้อสอบเก่าๆ มาทำทุกวัน เพราะการทำก็ได้ทวนแกรมมาร์ comprehension ศัพท์ต่างๆ โครงสร้างต่างๆ ไปด้วย เจอศัพท์อย่าเดา เปิด E-E dictionary ทันที อยากเข้าอักษร มันไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้อยู่แล้ว เพราะเวลามันเหลือน้อยแล้ว ต้องใช้วิธี cram แบบมีประสิทธิภาพที่สุดมาใช้ ลุงก็ไม่ได้รักภาษาอังกฤษแบบพวกเด็กอักษรจุฬาหรอก แต่ลุงคิดแบบเด็กวิทย์ว่า อังกฤษมันเป็นกุญแจไปสู่วิชาการต่างๆ ไปเมืองนอกก็ยังได้ ลุงเลยทุ่มมากสุดๆ ไปเลย แล้วก็ได้ผล ภาษาอังกฤษสำหรับลุง มันก็แค่ tool หนึ่งเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตลุงพ้นจากความจน ยากลำบาก คาดว่าหนูอาจเคยอ่านมา ลุงเดินไป รร. 12 ปี แทบทุกวัน ตั้งแต่ ป.1-มศ.5 ระยะทาง 3-5 กม ต่อเที่ยว หรือ 6-10 กม ต่อวัน จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 00:48:36

ความคิดเห็นที่ 7 จากประสบการณ์ไม่ดีสำหรับลูกสาวลุงที่เรียนพิเศษเสียเวลามาก ไม่ได้ผล สู้เรียนด้วยตนเองไม่ได้ ลุงก็จน ไม่เคยเรียนพิเศษ อาจารย์ดังๆ เช่น สงวน ก็ไม่ได้เรียนพิเศษ เรียนด้วยตนเองเท่านั้น ลุงว่า หนูยอมตัดใจ อย่าไปเรียนเลย เสียตังไปแล้วก็แล้วไป เสียเวลาเดินทางไม่คุ้มหรอก ระดับคนที่ได้ 4 ไม่มีทางที่โง่อ่านตำราอังกฤษเองไม่ได้ หรือวิชาอื่นๆ ไม่ได้ เอาเวลาเดินทาง มาทุ่มอ่านหนังสือให้มากๆ จะได้ผลกว่า เพราะเราสามารถหยุดทบทวนจุดที่เราสะดุดได้ ความรู้มันก็สะสม วางพื้นฐานให้ตัวเองแน่นๆ ถึงแน่นที่สุด ไม่งั้นเด็กจน ต้องเดินไป รร 12 ปี จะสอบชิงทุนไปนอกได้อย่างไร? ที่ทำได้เพราะมีเวลาทุ่มอ่านหนังสือแบบเป็นบ้าเป็นหลัง เป็นหนอนหนังสือนั่นเอง ถึงแม้จะเสียเวลาไปราวๆ 2 ชม ทุกวันสำหรับการเดินทางด้วยเท้าเปล่า แต่ไม่เสียเวลาไปกับการเดินทางไปเรียนพิเศษ และไม่มีสิ่งยั่วใจ ที่บ้านไม่มีโทรทัศน์ มีวิทยุเก่าๆ ลุงก็เปิดฟัง BBC, VOA คลื่นสั้น อู้อี้ ตอนที่ลุงจะสอบชิงทุนไปนอก ก่อนหน้านั้นไม่เสียเวลาฟัง เอาแต่อ่านอย่างเดียว ต้องหัดคิดให้เป็น ใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด อันไหนสำคัญต่อชีวิต ต้องมาก่อน เวลาตลอดชีวิตยังมีที่จะดูหนัง ฟังเพลง ปั่นจักรยานได้ ตอนนี้คือต้องเรียน ต้องอ่านหนังสืออยู่กับบ้าน/ห้องสมุดเท่านั้น จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 01:02:39

ความคิดเห็นที่ 8 ฟังคุณลุง K.Senior พูดแล้วละอายใจมากๆค่ะ คือหนูเป็นคนที่มีโอกาสได้เรียนร.ร.ที่ดีกว่าพี่น้องคนอื่น แต่หนูก็ขี้เกียจมากๆเลย จนละเลยกับสิ่งต่างๆจนกลายเป็นคนโง่ไปเลย ทั้งๆที่ตอนม.ต้นนั้นหนูเองก็ทำคะแนนเป็นอันดับต้นๆของห้องเลยค่ะ แต่เพราะความขี้เกียจ ตอนนี้เลยกลายเป็นรั้งท้ายไปแล้ว ก็ไม่รู้ว่าจะสายเกินแก้ไปรึเปล่านะคะ แต่หนูก็จะพยายามให้ถึงที่สุด และคิดว่าคงจะฝึกภาษาอังกฤษให้ดีมากขึ้นๆไปอีกค่ะ ขอบคุณมากๆนะคะสำหรับคำแนะนำ หนูขอบคุณจริงๆค่ะ จากคุณ : จำไม เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 01:37:08 A:182.53.93.125 X: TicketID:330029

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่มีวันสาย ทำมากก็ได้มาก ภาษาอังกฤษเป็นทักษะที่สะสม ยิ่งทุ่มให้มากไม่เสียเปล่า เพราะนำไปใช้ได้ตลอด อย่างบางวิชาเช่น ชีวะ สังคม เคมี ลุงก็เรียนพอผ่านๆ เพราะจบ ม.ปลายไปความรู้วิชาเหล่านี้ก็ไม่นำไปต่อยอดได้ วิชาอื่นๆ ก็เหมือนกัน มีแต่ภาษาอังกฤษที่สามารถนำไปต่อยอดได้ตลอดชีวิต ลุงสำนึกเรื่องนี้ตอนขึ้น มศ.4 ก็เลยฝึกอย่างหนัก แล้วมันทำอะไรให้กับชีวิตได้ดีจริงๆ ทั้งเรื่องการงาน ความบันเทิง ความรู้ การท่องเที่ยวไปโลกกว้าง มันเป็นกุญแจที่สำคัญที่สุดในชีวิตของลุง มันไม่มีวันล้าสมัย ใช้ได้เรื่อยๆ ใช้ได้ทุกวันกว่า 40 ปีแล้ว ไม่มีวันเสียใจที่ได้ทุ่มไปกับภาษาอังกฤษถึงแม้ว่าจะไม่ได้เรียนเก่งสุดๆ ในห้อง King เกือบบ้วยก็ตาม แต่ก็เก่งอังกฤษที่สุดในห้องก็พอใจแล้ว จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 02:22:14

ความคิดเห็นที่ 10 เป็นคนหนึ่งค่ะที่เห็นด้วยกับคุณ K.Senior เพราะตนเองก็ไม่ได้มีโอกาสไปอยู่ในสังคมที่แวดล้อมด้วยผู้ที่พูดภาษาอังกฤษ แล้วจะให้ไปฝึกภาษาอังกฤษอย่างเจ้าของภาษาได้อย่างไร  ดังนั้นสิ่งที่ทำได้ก็อย่างเรื่องเล่าเร้าพลังของคุณK.Senior นั่นแหละค่ะ แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 54 10:31:10 จากคุณ : justkitty (justkitty) เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 10:30:56

ความคิดเห็นที่ 11 จริงๆแล้ววิธีของคุณ K.Senior มันใช้ได้ผลดี แต่ถ้าเรียนด้วยตัวเองมันต้องเรียนสะสมกันหลายปี (มาเรียนเอา ม.6 มันไม่ทัน) แต่ถ้ากรณีที่ไม่ได้เรียนสะสมก้นหลายปี แต่มาถึง ม.6 เอาซะแล้ว ถ้ามีคนเก่งๆสอนให้มันเร็วกว่าเรียนด้วยตัวเอง เพราะการสอนภาษาอังกฤษระดับ ม.6 ให้เด็กอ่านหนังสือรู้เรื่องและใช้ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษคล่อง ถ้าครูไม่เก่งสอน 5 ปี ก็ยังไม่มีทางบรรลุเป้าหมายได้ แต่ครูเก่งๆสอนเพียงแค่ 1 ปีการศึกษาก็บรรลุเป้าหมายได้สบายๆ ^ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ 1. ครูที่สอนเก่งขนาดนั้น ส่วนใหญ่ไม่เข้ามาเป็นครูในระบบหรอก 2. การติวด่วนเพื่อให้เด็กสอบได้อย่างรวดเร็ว มันทำได้ก็จริง แต่มันเป็นการสอนแบบอัดแน่น cram course ซึ่งเป็น passive learning คือนักเรียนฟังกับจดลูกเดียว (แต่มันใช้ัทำข้อสอบแบบไทยๆได้เพราะข้อสอบไทยวัดแค่ reading comprehension กับ grammar) หากแต่พอนักเรียน (ที่ผ่านการติวมา) ไปเรียนระดับสูงๆจะมีปัญหาเรื่องการพูดกับการเขียน เพราะไม่ได้ฝึกพูดฝึกเขียนเลย จริงๆแล้วถ้าครูที่สอนพูดเก่งเขียนเก่ง แล้วกระตุ้นให้นักเรียนเรียนแบบ active learning (สะสมมาหลายๆปี จาก ม.1- ม.6) เด็กจบ ม.6 มาจะอยู่ในสภาพที่พร้อมมากๆ แต่ก็อีกนั่นแหละ ถ้าครูสอนเก่งระดับนั้นจริงๆก็แสดงว่าทักษะภาษาอังกฤษของครูอยู่ในระดับสูงมากๆ เขาก็คงไม่มาเป็นครูสอนเด็กมัธยม เพราะภาษาอังกฤษระดับนี้ไปทำงานบริษัทข้ามชาติได้เงินเดือนมากกว่าเงินเดือนครูตั้งหลายเท่า ดังนั้นวิธีการของคุณ K.Senior ประหยัดเงินดีไม่ต้องไปติว แต่มีข้อแม้ว่า "ต้องช่วยตัวเอง ขยันมากๆ และเรียนสะสมกันหลายปี" แก้ไขเมื่อ 13 ก.ย. 54 11:31:46 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 11:28:48

ความคิดเห็นที่ 12 "ต้องช่วยตัวเอง ขยันมากๆ และเรียนสะสมกันหลายปี" ครับ ทุกอย่างไม่พ้นถ้ามีความเพียร จะเล่าความทุกข์ทรมานในการเรียนภาษาอังกฤษให้ฟัง ระยะแรกๆ ลุงนึกว่าตัวเองความจำไม่ค่อยดี แต่ฉลาด เพราะถ้าไม่ฉลาดก็คงไม่สอบเข้า รร. รัฐบาลดัง ตอน มศ.1 ได้ และคงไม่ได้อยู่ห้อง King ที่ว่าทรมานก็คือ ตอนที่ศัพท์ยังไม่แก่กล้า ตอนเริ่มอ่านอย่างจริงจังอยู่ มศ.4 หนังสือ graded readers เล่มหนึ่งๆ ใช้เวลาอ่าน 1-2 สัปดาห์ค่อยจบก็ยังมี เริ่มจากศัพท์ 1000 และไปถึง 3000 เมื่ออยู่ มศ.5 ปี มศ.4 อ่านเจอศัพท์ เปิดดิกแล้ว รู้เรื่องแล้ว พออ่านเล่มอื่น เจอศัพท์คำเดิมอีก จำไม่ได้ ก็เปิดดิกอีก รู้เรื่องแล้ว จบแล้ว เอาเล่มอื่นมาอ่าน เจอศัพท์คำเดิมอีก จำไม่ได้อีก เปิดดิกอีก ในที่สุดเพื่อที่จะให้จำได้ ไม่แค่อ่านเท่านั้น เขียนศัพท์ลงสมุดเลย คล้ายๆ กับตูโง่จริง ความจำไม่ดี ต้องบันทึกด้วยมือคล้ายกับ บันทึกลง hard disk อย่างไรก็อย่างงั้น วิธีนี้ คือบันทึกศัพท์ ความหมาย และรูปประโยคที่เจอ ไปไหนว่างๆ ก็เอามาอ่าน เพราะมันเล่มเล็ก วิธีนี้ได้ผล ลุงมาสรุปได้ว่า การจะจำศัพท์ได้ ก็ต้องมีโอกาสได้เจอมันบ่อยๆ ทบทวนบ่อยๆ นั่นเอง คล้ายๆ กับโฆษณา ไม่สนใจ แต่จำได้ เพราะมันเล่นเปิดวันหนึ่งหลายครั้งและหลายวัน หลังจากนั้นการอ่านก็เพิ่มความเร็วขึ้น อ่านได้มากขึ้น เพราะเริ่มติดศัพท์น้อยลงทุกที ทุกอย่างไม่พ้นความเพียรพยายามจริงๆ ฝรั่งให้คำนิยามการฝึกแบบนี้ว่า Use it, or lose it. ใช้มัน ถ้าไม่ใช้ก็จะลืม ดังนั้นถึงแม้ว่า ลุงจะเก่งอังกฤษมาตั้งแต่ มศ.5 แล้ว คิดว่า ภาษาอังกฤษตอนจบและชิงทุนไปต่างประเทศได้ คงไม่น้อยหน้าพวกเรียน Eng major ระดับมหาวิทยาลัยรองๆ ในไทยเท่าไร เพราะพวกนี้ ถามเถอะ ใน 4 ปีที่เรียนมหาวิทยาลัย อ่านหนังสืออังกฤษได้เกิน 200 เล่มหรือเปล่า? ลุงจบ มศ.5 ก็อ่านเกินแล้ว ถึงระดับนั้นแล้ว ลุงก็ยังอ่าน ฟัง เขียน อังกฤษอยู่สม่ำเสมอ ไม่ประมาท เพราะถ้าไม่ใช้ ก็จะสูญหายไป มันไม่ใช่ภาษาพ่อแม่เรา จากคุณ : K.Senior เขียนเมื่อ : 13 ก.ย. 54 19:49:57

ความคิดเห็นที่ 13 K.Senior สุโก๊ย...!!!!!!!! ผมจะเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ให้ได้ ขอบคุณมากมาย จากคุณ : mum (mum2520) เขียนเมื่อ : 14 ก.ย. 54 14:53:53