Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
สูญเสียตนดี ติดต่อทีมงาน

คุ้ยพงศาวดารจีน

คนชั่วผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๕  สูญเสียคนดี

“ เล่าเซี่ยงชุน “

เมื่อขุนนางทั้งปวงได้รู้ว่าซินอ๋องไม่เข้ามารับราชการในเมืองหลวง พวกกังฉินก็ยินดี แต่พวกตงฉินก็เสียใจ ตั้งแต่นั้นมาขุนนางที่มีกตัญญูต่อแผ่นดิน ก็ห่างเหินไปไม่ใคร่จะมาเฝ้าทุกวันเหมือนก่อน พวกขุนนางที่สอพลอเป็นพวก เอียงจุ้น ก็เฝ้าแหนใกล้ชิดฮ่องเต้ยิ่งขึ้น เมื่อฮ่องเต้หวนกลับไปคิดถึง เตียโฮ จะเรียกเข้ามาอีก พวกกังฉินก็ทูลคัดค้านไว้ แม้ฮ่องเต้จะไม่ทรงเชื่อ ก็กล่าวอ้างเหตุผลเปรียบเทียบว่า

“………อันเตียโฮอยู่รักษาเมืองฮิวจิวเป็นสุขสบาย ไม่มีทัพศึกมากระทำย่ำยี ก็เพราะคบค้าด้วยพวกฮวน ซึ่งพระองค์จะเอาเข้ามาเป็นที่ปรึกษานั้น เกรงจะเป็นช่องแห่งข้าศึก อันน้ำใจเตียโฮนั้นไม่ซื่อตรงเหมือน จงโฮย เมื่อแผ่นดินสามก๊ก นี่หากว่าพระราชบิดาของพระองค์ ประกอบด้วยสติปัญญามาก จงโฮยจึงวิบัติไปไม่คดประทุษร้ายได้ ความเรื่องนี้พระองค์ย่อมทรงทราบแล้ว……..”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงตรัสถามขุนนางทั้งปวงซึ่งล้วนเป็นพรรคพวกกังฉิน ต่างก็เห็นด้วยทั้งสิ้น จึงทรงเลิกความคิดนั้น จึงตรัสว่าถ้ากระนั้นก็ต้องเอาซินอ๋องมาให้ได้ พวกกังฉินก็คัดค้านอีก แต่คราวนี้ไม่ทรงเชื่อฟัง ตรัสว่าไม่ควรจะมาขัดขวางติเตียนซินอ๋อง อันซินอ๋องนี้เป็นคนซื่อตรง เราได้เคยเชื่อถือ อย่าว่าแต่เราเลย ถึงพระราชบิดาของเราก็ทรงนับถือซินอ๋องว่าซื่อตรง พวกกังฉินก็ไม่อาจทูลความต่อไปได้ จึงมีรับสั่งให้เจ้าพนักงานทำหนังสือส่งไปให้ซินอ๋องอีกครั้ง มีความว่า ในเมืองหลวงนี้ไม่มีผู้ใดจะเป็นที่ปรึกษาราชการ ได้มีหนังสือมาถึงท่านครั้งหนึ่งแล้ว ก็     อิดเอื้อนผัดเพี้ยนไปต่าง ๆ ครั้งนี้ท่านจงเห็นแก่แผ่นดินให้มาก อย่าได้พูดจาบิดเบือนต่อไปอีกเลย

เมื่อซินอ๋องได้รับหนังสือรับสั่งแล้ว ไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ จึงจัดให้ขุนนางอยู่รักษาเมืองแซจิว แล้วเก็บรวบรวมทรัพย์สิ่งของ และบุตรภรรยาบ่าวไพร่ออกจากเมืองแซจิวไปเมืองหลวง ครั้นถึงสำนักกลางทางก็หยุดพักอยู่ที่นั้นก่อน แล้วมีหนังสือแจ้งเข้าไปยังเมืองหลวง

ฮ่องเต้ทราบว่าซินอ๋องเดินทางมาถึงกลางทางก็ดีพระทัย เสด็จออกว่าราชการทอดพระเนตรเห็น บังซิม ก็ตรัสสรรเสริญซินอ๋องและรับสั่งว่า พวกที่ขัดขวางนั้นไม่รู้จักคนดีและชั่ว บังซิมจึงกราบทูลว่า ถ้อยคำของพวกที่คัดค้านนั้นไม่ควรจะทรงเชื่อฟัง แต่ตนเองมีคำจริงอยู่ข้อหนึ่ง ไม่อาจกราบทูลได้เพราะเป็นผู้น้อย ฮ่องเต้นึกในพระทัยว่าเห็นจะเป็นความสำคัญอยู่ จึงเสด็จขึ้นแล้วเลยไปในสวน มีรับสั่งให้บังซิมเข้าไปเฝ้า แล้วตรัสถามว่าความสำคัญอย่างไรจึงว่าเป็นผู้น้อยพูดไม่ได้ บังซิมเห็นเป็นทีจึงกราบทูลว่า

“………ข้าพเจ้าเห็นว่าถ้าได้ซินอ๋องมาไว้เป็นที่ปรึกษาแล้ว จะมีประโยชน์แก่แผ่นดินมากนัก ราชการบ้านเมืองคงเรียบร้อย ขุนนางข้าราชการทั้งปวงก็จะพากันนิยมยินดีมาก แต่ไม่มีประโยชน์แก่พระองค์ ถ้าพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ก็ไม่เป็นไร แม้นพระองค์ล่วงลับไปแล้ว ราชสมบัติแผ่นดินไซจิ้นนี้คงจะเป็นของผู้อื่น อย่าพึงหมายว่าจะได้แก่พระราชโอรสหรือพระราชนัดดา.”

แล้วบังซิมก็ท้าวความต่อไปว่า

“………โดยว่าซินอ๋องจะไม่คิดเอาราชสมบัติ ก็เห็นจะขัดขุนนางไม่ได้ ด้วย       ขุนนางทั้งปวงรักใคร่นับถือซินอ่องมาก เมื่อครั้งพระราชบิดาของพระองค์ยังมีพระชนม์อยู่ ก็โปรดปรานนับถือซินอ๋อง ซินอ๋องจึงมีความกตัญญูซื่อสัตย์ต่อพระราชบิดาของพระองค์ แต่เดี๋ยวนี้ที่ไหนซินอ่องจะรักใคร่พระองค์เหมือนพระราชบิดา ไม่ได้ยินสรรเสริญว่าพระองค์ดีประการใดเลย       สุม้าซองพระราชบุตรของพระองค์ ซึ่งเป็นไทจือจะมีสติปัญญาเพียงไร พระองค์ก็ทราบอยู่แล้ว      สุม้าเต็กซึ่งเป็นพระราชนัดดานั้นเล่าก็ยังเยาว์นัก ขอจงทรงพระดำริให้มาก ข้าพเจ้ากราบทูลทั้งนี้ ด้วยความกตัญญูต่อพระองค์……..”

พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ได้ทรงฟังบังซิมทูลดังนั้นก็เห็นจริง และไม่สบายพระทัย ให้คิดสงสัยระแวงซินอ๋องจะชิงเอาราชสมบัติ จึงรับสั่งให้เจ้าพนักงานทำหนังสือถึงซินอ๋องที่พักอยู่กลางทาง ให้รออยู่ก่อน จะให้เข้ามาเมื่อไรจะบอกให้รู้ภายหลัง พวกขุนนางตงฉินทราบข่าวก็เสียใจ พากันกราบทูลคัดค้าน แต่ฮ่องเต้ก็นิ่งเฉยเสีย

ฝ่ายขุนนางผู้ใหญ่หกคน ซึ่งเป็นรองจากผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ได้ทราบเรื่องจึงเข้าชื่อกันทำหนังสือขึ้นกราบทูลถวายต่อพระหัตถ์ มีความว่า

“………ซึ่งซินอ๋องคิดอิดเอื้อนบิดพริ้วไม่เข้ามานั้น พวกข้าพเจ้าก็นึกติเตียนอยู่ว่าขัดรับสั่ง ไม่เห็นแก่ราชการแผ่นดิน ครั้นอยู่มาพระองค์มีรับสั่งให้หาตัวซินอ๋องอีก ซินอ๋องจึงได้มาตามรับสั่ง ครั้นมาถึงกลางทางพระองค์รับสั่งให้ไปห้ามไว้ไม่ให้เข้ามานั้น จะขัดขวางด้วยเหตุอันใด ข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ทราบ ยังมีความสงสัยนัก อนึ่งซินอ๋องก็เป็นเชื้อพระวงศ์อันสนิท และมีความกตัญญูสัตย์ซื่อ พระองค์ยังคิดระแวงพระทัยแล้ว ก็พวกข้าพเจ้านี้ต่างแซ่และตระกูลอื่นเข้ามา    เป็นข้า ทำราชการสนองพระเดชพระคุณ จะมิรักษาตัวยากนักหรือ อันผู้อื่นซึ่งจะมาใช้สอยให้สนิทเป็นที่ไว้วางพระทัยนั้น แต่ครั้งก่อนก็มีเป็นแบบอย่างอยู่……..ครั้งสามก๊กเล่าปี่ได้ขงเบ้งมาใช้ คนเหล่านี้ก็เป็นผู้อื่นต่างตระกูลเจ้าทั้งนั้น แต่มีปัญญาคิดอ่านทำนุบำรุงเจ้านายของตัว จนมีอำนาจมากขึ้นได้………”

ฮ่องเต้ได้ทราบความในเรื่องราวแล้ว ทรงตรึกตรองว่าซึ่งขุนนางทั้งหกพูดนั้นก็ชอบ แต่พิเคราะห์ไปอีกชั้นหนึ่ง เห็นจะสมคำบังซิมว่าเสียแล้ว ขุนนางเหล่านี้พากันนิยมยินดีด้วยซินอ๋องทั้งนั้น ทรงพระราชดำริฉะนี้แล้ว ก็ยิ่งมีพระทัยเคลือบแคลงระแวงซินอ๋องมากขึ้นกว่าเก่า จึงตรัสว่า

“………ซึ่งเราตั้งขุนนางไว้ก็หวังจะให้รู้การดีและชั่วทั่วไปทั้งแผ่นดิน แต่ความในใจเรานิดหนึ่งเท่านี้ยังไม่รู้ถึง  ขืนเอาแต่อะไรมาพูด จะตั้งแต่งไว้ทำไมให้เปลืองเบี้ยหวัดเงินเดือน ถอดเสียดีกว่า……..”

ตรัสแล้วก็สั่งทหารรักษาพระองค์ ให้จับขุนนางผู้ใหญ่ทั้งหกไปจำขัง แต่ขุนนางทั้งหกก็หัวเราะมิได้เศร้าโศก ฮ่องเต้ก็ขัดเคืองพระทัยยิ่งนัก ขุนนางฝ่ายทหารที่เป็นพวกกังฉินจึงกราบทูลว่า พระองค์เป็นกษัตริย์อันประเสริฐ ขุนนางเหล่านี้ต้องโทษแล้วมาหัวเราะไม่เกรงพระราชอาญา ชอบแต่ให้เอาตัวไปประหารชีวิตเสียที่หนทางสามแพร่ง ตัดเอาศรีษะเสียบประจานไว้ อย่าให้ผู้อื่นเอาอย่างต่อไป

ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ เอาตัวขุนนางทั้งหกไปประหารเสีย  แต่ขุนนางผู้ใหญ่กรมวัง ได้กราบทูลว่า

“………ขุนนางทั้งหกคนนี้ ถ้าผิดจากโทษขบถแล้ว ซึ่งจะประหารชีวิตนั้นไม่ควร ผิดด้วยกฎหมายสำหรับแผ่นดิน เป็นแต่โทษหยาบช้าเพียงนี้ ชอบแต่ถอดเสียจากยศ เอาตัวจำไว้ในคุกเจ็ดวันพอเข็ดหลาบ แล้วปล่อยไปให้พ้นโทษ จึงจะถูกต้องตามกฎหมาย……”

พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้จึงรับสั่งให้เอาขุนนางทั้งหก ไปจำคุกไว้ตามที่กรมวังกราบทูล แล้วโปรดให้เจ้าพนักงานทำหนังสือรับสั่ง ให้ขุนนางเป็นข้าหลวงถือไปถึงซินอ๋อง ตามที่ทรงดำริ

ฝ่าย ซินอ๋อง ซึ่งพักรออยู่ระหว่างทางที่จะเข้าเมืองหลวง เป็นเวลานานยังไม่ได้   ข่าวคราวแต่ประการใด มีความเสียใจอับอายแก่ขุนนางและราษฎรยิ่งนัก ก็ตรอมใจจนป่วยลง เมื่อผู้ถือหนังสือรับสั่งของฮ่องเต้มาถึง ซินอ๋องคำนับรับหนังสือมาอ่าน มีใจความว่า แต่แรกซินอ๋องไม่สมัครมาอยู่ในเมืองหลวง จึงพูดจาผัดเพี้ยน ครั้นภายหลังขัดเราไม่ได้ต้องจำใจมา เมื่อซินอ๋องไม่อยากอยู่กับเรา ก็ให้กลับไปอยู่เมืองแซจิวตามเดิมเถิด

ซินอ๋องแจ้งความแล้วก็ไล่เลียงข้าหลวงผู้ถือหนังสือรับสั่ง จึงรู้ว่าฮ่องเต้หลงเชื่อฟังแต่ขุนนางสอพลอ ทูลทัดทานไว้มิให้ตนเข้าเมืองหลวง ขุนนางที่เข้าไปทูลเตือนพระสติ ก็ไม่ทรงเห็นด้วย กลับต้องโทษถอดจากตำแหน่ง ซินอ๋องก็ยิ่งมีความน้อยใจเป็นอันมาก โรคนั้นก็กำเริบมากขึ้นอาการทรุดหนักลง ขุนนางที่ติดตามมาก็เห็นควรพักอยู่ก่อน อย่าเพิ่งกลับเมืองแซจิว แล้วก็ทำหนังสือบอกอาการโรคของซินอ๋อง เข้าไปกราบทูลฮ่องเต้

พระเจ้าซีโจบู๊ทรงทราบแล้ว จึงรับสั่งให้ไทอุยหมอหลวงออกไปรักษาซินอ๋อง แต่บังซิมกับซุนหยกซึ่งเป็นขุนนางกังฉิน ก็ให้คนใช้ไปตามหมอมาเกลี้ยกล่อมว่า

“……..ซึ่งมีรับสั่งให้ท่านไปรักษาซินอ๋องนั้น จงระวังตัวให้ดี เราเห็นว่าซินอ๋องเป็นถึงเชื่อพระวงศ์ การที่จะรักษานั้นยาก ถ้าวางยาถูกก็เป็นแต่เสมอตัว ถ้าพลาดพลั้งลงไปก็จะมีแต่ความผิด เราเห็นว่าอย่าวางยาเสียเลยนั้นแหละดี ไม่มีความผิด แต่เป็นการรับสั่งแล้วก็ต้องไป ถ้าท่านกลับมามีรับสั่งถาม จงกราบทูลว่าได้ไปพิจารณาดูอาการโรคไม่มี เป็นไข้มารยา ถ้าท่านทูลดังนี้แล้ว เราจะให้เงินทองแก่ท่านเป็นอันมาก…….” หมอหลวงก็รับคำว่าจะทำตามที่สั่งทุกประการ

ฝ่ายเพียวเต๊กกับอองจี้ขุนนางผู้ใหญ่ ซึ่งเห็นชอบที่จะให้ซินอ๋องเข้ามาทำราชการเป็นที่ปรึกษาของฮ่องเต้ แต่กราบทูลแล้วฮ่องเต้ไม่ฟัง จึงขอให้นางสุมากงจู๊ภรรยาของตน ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ เข้าไปในพระราชวัง กราบทูลฮ่องเต้ตามความคิดของตน ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงฟัง เมื่อนางเซ้าซี้หนักเข้า ฮ่องเต้ก็มีรับสั่งให้เฮงหยุนขุนนางกรมวังเข้ามา แล้วมีรับสั่งว่า

“………อองจี้กับเพียวเต๊กกวนจุกจิกนัก จนเราหนีเข้าไปข้างในแล้ว ก็ยังใช้ให้ภรรยาตามเข้าไปรบกวนอีก ตั้งแต่นี้ไปอย่าให้อองจี้กับเพียวเต๊กเข้ามาให้เราเห็นหน้า เขาจะเป็นขุนนางทำราชการหรือไม่ ก็ตามแต่ใจเขาเถิด………”

ตั้งแต่นั้นมาขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสอง ก็ถูกห้ามมิให้เข้าไปในพระราชวังโดยเด็ดขาด ส่วนไทอุยหมอหลวง เมื่อไปดูอาการซินอ๋องแล้ว ก็กลับมาทูลฮ่องเต้ว่า ได้พิจารณาแล้ว ดูท่วงทีเหมือนเป็นไข้มารยา ฮ่องเต้จึงไม่ได้รับสั่งถามถึงอาการป่วยของซินอ๋องอีกเลย

พวกขุนนางกรมเมืองซึ่งอยู่ที่เมืองแซจิว ครั้นแจ้งว่าซินอ๋องป่วยอยู่กลางทาง ก็พากันมาเยี่ยม แล้วว่าเดี๋ยวมีรับสั่งให้เข้าไปเฝ้า เดี๋ยวก็มีรับสั่งให้กลับไปอยู่เมืองแซจิวตามเดิม ฟังดูเห็นการกลับกลอกนัก ไม่แน่นอนยั่งยืนเลย ชะรอยจะมีผู้กราบทูลยุยงขัดง้าง ด้วยเหตุสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นมั่นคง ซินอ๋องจึงว่า

“…….แต่เดิมเรารู้อยู่แล้วว่า พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้พระทัยไม่แน่นอนมักกลับกลอก ทุกวันนี้พวกกังฉินเข้าสอพลอ พิดทูลยุยงต่าง ๆ ราชการบ้านเมืองจึงผันแปรไป อันตัวเรานี้ถึงจะไม่ได้อยู่ในราชการก็ไม่ว่า แต่เสียดายแผ่นดินไซจิ้น คงจะไม่ยืดยาวไปได้นาน แซ่สุมาเห็นจะสิ้นสูญเสียคราวนี้……..”

มีนายทหารเอกของเมืองแซจิวสองนาย ได้ฟังซินอ๋องพูดดังนั้น ก็พากันลอบหนีไปเมืองแซจิว บอกแก่ทหารทั้งปวงว่า บัดนี้ซินอ๋องให้ตระเตรียมตัว พร้อมสรรพเครื่องสาตราวุธคอยท่าไว้ ต้องการเมื่อไรจึงจะมีหนังสือบอกมาให้รู้ ครั้นจัดแจงเสร็จแล้วก็กลับมาบอกซินอ๋องว่า พวกตนได้เตรียมทหารไว้พร้อมแล้ว ขอให้ยกกองทัพเข้าไปในเมืองหลวง จับพวกขุนนางแซ่เอี๋ยงที่เป็นกังฉินฆ่าเสียให้หมอ ซิยอ๋องก็ตกใจห้ามว่า

“……..ซึ่งจะคิดการเช่นนี้ไม่ชอบ ชื่อเสียงเราจะเสียไปไม่ต้องการ จะอุตส่าห์รักษาชื่อไปกว่าจะสิ้นชีวิต……..”

ตั้งแต่นั้นอาการโรคของซินอ๋องก็ทรุดลงทุกวัน จนกระทั่งถึงแก่กรรมลง ขุนนางก็ทำหนังสือกราบทูลว่า ซินอ๋องซึ่งป่วยมาสองเดือนเศษ บัดนี้ได้ถึงแก่กรรมเสียแล้ว

ฮ่องเต้ก็ตกพระทัยมีความเสียดายอาลัยโศกเศร้าถึงซินอ๋องเป็นอันมาก จึงเสด็จออกจากเมืองหลวง ไปเยี่ยมศพซินอ๋องถึงที่พัก แล้วรับสั่งให้ สุมาก๊วง บุตรของซินอ๋องมาเฝ้า ตรัสถามถึงอาการป่วยของบิดา แล้วว่าเมื่อป่วยมากเหตุใดจึงนิ่งเสีย ไม่บอกให้รู้จนถึงแก่ความตาย      สุมาก๊วงก็กราบทูลว่า

“……เดิมเมื่อซินอ๋องป่วยนั้นได้มีหนังสือบอกเข้าไปกราบทูลแล้ว จึงพระราชทานให้ไทอุยหมอหลวงออกมารักษา หมอได้จับเทพจรดูแล้วนิ่งเสีย ไม่บอกอาการว่าโรคมากและน้อย นั่งอยู่ครู่หนึ่งก็ลากลับไป หยูกยาก็ไม่ได้ให้ไว้ ตั้งแต่วันนั้นหมอไม่ได้มาอีกเลย จนซินอ๋องถึง        แก่กรรม…….”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังดังนั้น จึงรับสั่งให้ทหารรักษาพระองค์ กลับเข้าไปเมืองหลวง เอาตัว ไทอุย หมอหลวงมาให้พนักงานชำระ หมอหลวงก็ยืนยันว่าได้ดูอาการแล้วแต่ไม่รู้ถึงโรค จึงไม่ได้รักษา ขุนนางกังฉินที่ตามเสด็จไปด้วย ก็ช่วยแก้ไขว่า

“…….อันไทอุยไม่รักษานั้นเพราะรู้ไม่ถึงโรค ซึ่งจะยกเอาเป็นข้อผิดใหญ่ฉกรรจ์ ยังไม่ได้ ชอบแต่ลงพระราชอาญาตีสี่สิบที แล้วถอดออกเสียจากที่ขุนนางกรมหมอให้ลงเป็นไพร่”

พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้จึงตรัสว่า

“…….ข้อที่รู้ไม่ถึงโรคจึงไม่วางยานั้น ความผิดไม่มี ถ้ามาบอกแก่เราอย่างนี้ ก็จะได้ให้หมออื่นไปรักษา นี่มาบอกว่าเป็นไข้มารยา เราจึงนิ่งอยู่ด้วยเข้าใจว่าไม่เจ็บจริง ไทอุยมาปดเราให้หลงเชื่อจนซินอ๋องถึงแก่กรรม ข้อนี้เป็นความผิดใหญ่ ต้องประหารชีวิตเสีย ตัดเอาศรีษะมาเซ่นศพ      ซินอ๋อง………”

ทหารก็ทำตามรับสั่ง และเมื่อเวลาเซ่นคำนับศพซิน อ๋องนั้น ฮ่องเต้ก็ทรงเครื่องขาว และขุนนางทั้งปวงก็แต่งเครื่องขาวทุกคน พากันมาคำนับศพซินอ๋อง ฮ่องเต้ก็โปรดตั้งให้สุมาก๊วงเป็นเจ้าเมืองแซจิวแทนบิดา และให้นำศพซินอ๋องไปทำการฝังตามยศอย่างเจ้า แล้วจึงเสด็จกลับเมืองหลวง

############

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 15 ก.ย. 54 17:08:44




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com