ความคิดเห็นที่ 1 ระบบการศึกษาไทยยังล้าหลังมากๆ เดี๋ยวนี้เด็กฝรั่งใช้ google หาบทเรียน แล้วเรียนด้วยตัวเองไปสอบเทียบกันเป็นส่วนใหญ่แล้วหละ เราลองทำแบบนี้ดูบ้าง คือใช้ google ค้นบทเรียนวิชาระดับมัธยมของฟรีที่เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษ แล้วลองเรียนดู โดยเลือกเอาวิชาที่เราไม่เคยเรียนหรือเรียนได้แย่มากๆ ถึงแย่ที่สุดสมัยอยู่มัธยมนะ (ไม่นับภาษาอังกฤษที่เราชำนาญในการสอนอยู่แล้วนะ) ผลปรากฎว่าหลังจากหัดใช้สมองคิดอะไรพลิกแพลง เราใช้ข้อมูลที่ค้นเจอ มาใส่ computer software สร้าง สื่อการสอน แบบ digital media ที่ใช้สอนเด็กมัธยมได้สบายๆเลย โดยที่เราเรียนวิชาแต่ละวิชาเพียงแค่ไม่กี่เดือนเอง ^ แต่เวลานี้การศึกษาไทยพยายามสร้างครูสายพันธ์ใหม่ เรียน 5 ปีเอาปริญญาโทเพื่อไปสอนเด็กมัธยม งงอ๊ะ! เมื่อ 2-3 ปีก่อนเห็นมีคนๆหนึ่งที่เรียนมหาลัยวิชาครู (เอกการสอนภาษาอังกฤษ) ในมหาลัยที่ผลิตครูออกมาปีละมากๆ  ตอนนั้นเธอใกล้จะจบแล้ว เธอเอา essay มาแปะให้ดูประมาณ 1 หน้า เธอเขียนภาษาอังกฤษผิดธรรมชาติเกือบทุกประโยค ตอนนี้จบไปแล้วและได้เป็นครูสอนภาษาอังกฤษแล้ว "แต่ในระหว่างประกอบอาชีพครูด้วยใบอนุญาตครูที่ได้มา เธอไม่เคยหาตำราหรือสื่อภาษาอังกฤษจากต่างประเทศมาศึกษาเพิ่มเติมด้วยตัวเองให้พูดเขียนอังกฤษได้เป็นธรรมชาติมากกว่านี้เพื่อประโยชน์ของนักเรียนเธอเอง" สิ่งที่เธอทำก็คือ "เรียนปริญญาโทต่อจนจบไปแล้ว (แต่ภาษาอังกฤษก็ยังแย่เหมือนเดิม) เพื่อขึ้นเงินเดือนตัวเอง" ^ นั่นก็เพราะว่าระบบการศึกษาในเมืองไทยไม่ขึ้นเงินเดือนให้ครูที่เก่งมากขึ้นในวิชาที่ตัวเองสอน  แต่ขึ้นเงินเดือนให้ครูที่เพิ่มวุฒิการศึกษาให้กับตัวเอง แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 22:35:17 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 11:01:51 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 11:00:08

ความคิดเห็นที่ 2 เดี๋ยวนี้โลกเขาไปถึงไหนกันแล้ว ขนาด ครูชาวอังกฤษ ชื่อ Ian Gilbert  เขย่าวงการศึกษาของโลก โดยการเขียนหนังสือออกมา มีชื่อว่า Why Do I Need a Teacher When I've Got Google?: Things Every Teacher Should Know ลองไปดูข้อมูลได้ที่นี่ http://www.amazon.co.uk/Why-Need-Teacher-When-Google/dp/0415468337 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 11:12:34

ความคิดเห็นที่ 3 สถานภาพและความตกต่ำของการศึกษาไทย ในกลุ่มผู้สนใจ โดยเฉพาะภายในปรเทศ เป็นที่ตระหนักและทราบกันค่อนข้างดี และอย่างกว้างขวาง มีสื่อมวลชน เผยแพร่ข้อเท็จจริงออกมา อย่างต่อเนื่องตลอดมา นักวิชาการด้านการศึกษาส่วนใหญ่ ทั้งระดับบริหารและปฎิบัติ ยอมรับจุดอ่อนต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับการศึกษาไทย แต่เป็นทีน่าสังเกตว่า แนวทางในการแก้ไขปัญหา ไม่ได้มีการกล่าวถึงและนำมาวิพากวิจารณ์ เหมือนประเด็นปัญหา ของระบบการศึกษาไทย ถ้าได้นำแนวทางในการแก้ไขปัญหา มาถกกันบ้างน่าจะดี เป็นเพียงความเห็นครับ จากคุณ : newcomer (gpvtu2009) เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 11:57:29

ความคิดเห็นที่ 4 เด็กไทยสอบวัดความรู้ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ อยู่ในอันดับต่ำ เกือบบ๊วยของเอเชีย สอนกันยังไง ให้เด็กเกลียดเลข คงล้าหลังเวียดนามในไม่ช้า จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 12:39:21

ความคิดเห็นที่ 5 ผมคนนึงที่งง การศึกษาปัจจุบัน เด็กอนุบาลยังมีต้องสอนพิเศษ ทำไมโรงเรียนสอนไม่ดีมากๆ เลยหรือ จากคุณ : montes เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 13:22:31

ความคิดเห็นที่ 6 เด็ก ม.3 บ้านผม อ่านภาษาไทยยังตะกุกตะกัก เขียนคำว่า ปฏิญาณ ศรัทธา ศัตรู และอีกหลายๆคำกันไม่เป็น แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 13:32:27 จากคุณ : ท่าเรือผีสิง เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 13:31:59

ความคิดเห็นที่ 7 ขอพูดบ้าง ผมมองว่าการศึกษาเราอาจสู้หลาย ๆ ประเทศไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้แย่อะไรมากมายเท่าที่หลายคนได้ยิน ได้ฟังมากันหรอก ผมว่าของเราไม่ได้แย่อะไรมากมาย ถ้าเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านหลาย ๆ ประเทศ แต่เห็นคนนึงว่าการศึกษาบ้านเราแย่ ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมคนอื่นต้องคิดตามกัน อ้ายที่แย่เนี่ย นอกจากการศึกษาไทยที่แย่ (มันไม่ได้แย่มากมายเท่าไร) นิดหน่อยแล้ว ผู้ปกครองสมัยนี้ก็มีส่วน สมัยผมเนี่ยพ่อ แม่เหลาไม้เรียวไปฝากครูกันเลยแหละ คือถ้าลูกค้าดื้อตีได้ประมาณนี้ เด็กก็กลัว เอาง่าย ๆ นะว่าแต่ก่อนเด็กจะกลัวครู พ่อแม่เป็นกำลังใจให้ครู เท่าที่จำได้ประมาณยี่สิบกว่าปีและ ครูสอนจริง สอนจัง หนักเอาเบาสู้ ไม่เคยเห็นพ่อแม่โวยครูเวลาลูกโดนทำโทษ ไม่เคยเห็นพ่อแม่มานั่งเขียนกระทู้เรื่องเกี่ยวกับต้องเอาชุดพละไปในวันเดียวกับเรียนลูกเสือ ไม่เคยเห็นพ่อแม่มาโวยโรงเรียนจ้างครูฟิลิปปินส์สอน แต่สมัยนี้ โรงเรียนสอนตามใจพ่อแม่ ครูไม่กล้าทำแบบแต่ก่อน เลยทำให้เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยกลัวครู ยากนิดยากหน่อยไม่เอา คุณครูก็ตามใจผู้ปกครองไม่อยากให้ผู้ปกครองมองว่าทำไมให้บทเรียนยาก ๆ ทำไมให้การบ้านเยอะ ทำไมไหนจ่ายไปตั้งเยอะห้องไม่ติดแอร์ เด็กสมัยใหม่มันก็เลยได้ใจ ไม่ได้หนักเหมือนสมัยก่อน รวมไปถึงพ่อแม่สมัยใหม่โอ๋ลูกมากเกินไปก็มีส่วน ครูยุคใหม่ที่ไม่ได้จริงจังกับการสอน หรือครูที่ความรู้ไม่แน่น รู้จักผู้ใหญ่นิดหน่อยก็เอามาสอน มันเลยทำให้ล้าหลัง ที่บอกว่าเด็ก ป.3 อ่านตะกุกตะกันนั่นแหละตัวอย่าง ผมว่ามันมีปัจจัยหลายอย่าง ไม่ใช่แค่การศึกษาไทยอย่างเดียว การศึกษาไทยถือแม้ว่าจะแย่ แต่จริง ๆ แล้วก็ไม่ได้แย่มากหรอก อย่าโทษแต่การศึกษาต้องโทษอย่างอื่นด้วย จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 13:49:08

ความคิดเห็นที่ 8 ปีเตอร์นอร์ธ ชวนหลงประเด็นแล้วล่ะ พ่อแม่ก็อยากให้ลูกเป็นคนเก่ง คนดี ทั้งนั้นแหละ กระทรวงศึกษานั่นแหละ รับไป โดยเฉพาะการศึกษาขั้นพื้นฐาน มีนักวิชาการจบด๊อกเตอร์ด้านการศึกษาเยอะแยะ บริการจัดการกันยังไง   เมื่อก่อนยังอ้างว่า ประเทศเรามันจน แต่ตอนนี้ เราพอมีเงิน อยู่ในระดับกำลังพัฒนาขั้นสุดท้าย อีกจี๊ดเดียวก็จะพ้นแล้ว มันต้องมีอะไรผิดพลาดในระบบการศึกษาแน่ๆ จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 14:14:57

ความคิดเห็นที่ 9 เฮ้ออออ........อะไร ๆ ก็โทษการศึกษา คนเราเป็นไปกันได้ จากคุณ : ปีเตอร์นอร์ธ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 14:55:54

ความคิดเห็นที่ 10 เฮ้อออ...ขี้เกียจสอนหนังสือก็บอกมาเหอะ จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 15:19:26

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่าพวกภาษาหรือทักษะคณิตศาสตรื มันอยู่ที่การฝึกฝน ตอนเด็กผมก็ขี้เกียจ โดดเรียนบ่อยๆ ทำให้เรียนไม่เข้าใจ เลยทำให้ขี้เกียจเรียน แล้วถ้าวิชามันต่อยอดไปเรื่อยๆ ก็ไม่เข้าใจมันหมด ที่นี้ ก็เลยไม่อยากเรียนเลย บางทีไปโทษระบบ ไม่ห็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ ครูก็สอนตามหน้าที่แหละ แล้วแต่จะเน้นสอนเต็มที่หรือเปล่า "มันสำคัญที่ตัวเด็กว่าเค้าอยากรับความรู้หรือเปล่า" แล้วกลับไปฝึกฝน แม้กระทั้งตอนนี้เองผมก็ยังขี้เกียจอ่านหนังสือ เลยครับ ใกล้สอบล่ะ -*- จากคุณ : นายครรชิต เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 15:37:17

ความคิดเห็นที่ 12 "มันสำคัญที่ตัวเด็กว่าเค้าอยากรับความรู้หรือเปล่า" ก็ครูและสภาพแวดล้อมในโรงเรียนอีกนั่นแหละ ที่จะทำให้เด็กอยากรับความรู้หรือเปล่า มีอุบายตั้งเยอะแยะ ที่เค้าวิจัยกันว่า ดึงดูดเด็กให้ตั้งใจเรียนได้ ก็ไม่ทำ ไม่อยากทำ ทำไปก็ได้เงินเดือนเท่าเดิม ขายประกันชีวิตดีก่า อีกไม่กี่ปี อาเซียนก็จะกลายเปนหนึ่งเดียว ทีนี้ล่ะ พวกขี้เกียจตัวเป็นขนจะทำไง อันดับการแข่งขันถอยหลังลงทุกปีๆ จะเปิดโรงเรียน Inter. ให้คนแถบนี้มาเรียนก็ยาก ภาษาไทยก็ไม่เก่ง ภาษาอังกฤษก็แย่ คณิตศาสตร์ก็แย่ที่สุด ต่อไป จบ ป.ตรี คงเป็นได้แค่พนักงานทำความสะอาดที่สิงคโปร์มั้ง จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 16:13:58

ความคิดเห็นที่ 13 แต่ละคนทำ"หน้าที่"ของตัวเองให้ดีที่สุดหรือยัง นี่แหละคำตอบที่ว่าทำไมการศึกษาไทยมันถึงแย่ลง จากคุณ : รัตนลาวัณย์ เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 17:20:38

ความคิดเห็นที่ 14 ผมอ่านข้อความของคุณปีเตอร์นอร์ธแล้ว ไม่เห็นว่าเป็นการหลงประเด็นนะครับ จากคุณ : pokemon trainer เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 20:26:07 A:101.51.161.232 X: TicketID:000119

ความคิดเห็นที่ 15 หลงประเด็นดิ กระทู้ เขาถามเรื่องการสอนของครู แต่คุณปีเตอร์นอร์ธ เค้าไปพูดเรื่องผู้ปกครอง เท่ากับเพิ่มประเด็นมาอีกเรื่อง ทั้งๆ ที่ประเด็นเก่ายังเคลียร์ไม่จบเลยอ่ะ เด๋วคนต่อมาก็พูดเรื่องผู้ปกครอง สังคม ค่านิยม กู่ไม่กลับล่ะสิ จากคุณ : เอเธนา เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 21:13:34

ความคิดเห็นที่ 16 เด็กรุ่นเราเจอระบบให้เด็กเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ แต่ขอโทษเด็กมันค้นหาไม่เป็น ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไมเด็กไทยทำแบบเด็กฝรั่งไม่ได้ เด็กไทยต้องการคนหาปลาให้เขากินทุกมื้อ ทุกวัน วิธีหาปลาฉันไม่สน ผู้ใหญ่ก็เป็นค่ะ ใครเข้าห้องสินธรน่าจะรู้ บางคนมาถามตอนนี้ควรซื้อตัวนี้ๆดีไหม? ควรขายไหม? พอร์ทเป็นแบบนี้ควรทำอย่างไร? หุ้นหรือการลงทุนมีความเสี่ยงทั้งนั้น พี่จะยืมจมูกเขาไปตลอดน่ะ คิดดีแล้วหรือ??? เด็กสมัยนี้มันหัวหมอค่ะ หัวหมอแบบแกมโกง คือมันรู้ว่าถ้าครูตี มันสามารถฟ้องพ่อแม่ได้ พ่อแม่ก็ใจไม่เด็ด กลัวลูกเจ็บ ก็ไปโวยวาย เราเข้าใจอารมณ์นี้นะ เวลาเราเลี้ยงหมาที่บ้าน ตอนแรกๆที่มันดื้อ ไม่ฟัง เราก็ไม่อยากตีอ่ะ รักหมา บอกตามตรง จะทำโทษมันแต่กลัวมันเจ็บ มันร้องหงิงๆ ฟังดูน่าสงสารชะมัดยาก พอช่วงหลังๆ กัดฟันตี มันทำตัวดีขึ้น โล่งอก แน่นอนค่ะ เรารักหมาไม่เท่าพ่อแม่รักลูกแน่นอน สภาพการศึกษาถูกกระทบบ้างก็ไม่แปลก เหอะๆ เราว่าเราโชคดีนะ สมัยประถมครูเรานี่ฉลาดมาก ไม่ให้ครูตี ครูก็ทำโทษวิธีอื่น ให้ออกกำกายหรืออะไรก็ว่ากันไป และที่สำคัญ แม่เราไม่เคยรู้อะไรเกี่ยวกับผลวิจัยอะไรทั้งนั้น เราจำได้ แม่เราเคยบอกครูเราว่า ถ้าลูกฉันดื้อ คุณครูตีได้เลยนะคะ กินไม้มาไม่รู้กี่ท่อน ยิ่งเมื่อก่อนบ้านเราขายไม้ มีทุกขนาดให้เลือกตี เราโตมาก็ค่อนข้างปกตินะ อิอิ ครูบางท่านไม่สนค่ะ ฉันจะตีใครจะทำไม เรากับเพื่อนๆก็ไม่ไปฟ้องอะไรด้วย มีครูท่านหนึ่งเราจำได้ ท่านให้เลือกขนาดไม้ก่อนตีด้วยนะ ขนาดใหญ่ เป็นไม้จริงเอากระดาษกาว(เทปพ่นสี)พันไว้รอบ หนาหลายมิลอยู่ ขนาดกลางจะเป็นไม้บรรทัดเหล็ก ขนาดเล็กก็กิ่งไม้แถวห้องเรียนนั่นแหละ แล้วไอ้ที่บอกว่า ฝรั่งวิจัยมา ไม่ควรใช้วิธีตีลงโทษลูกนี่เอามาจากไหน เชื่อเป็นคุ้งเป็นแคว ตอนเราเรียนที่นิวซีแลนด์อาจารย์เล่าว่าตอนที่รัฐบาลห้ามตีเด็กนั้น พ่อแม่ชาวนิวซีแลนด์ออกมาประท้วงกันตัั้งเยอะ ตอนเรายังไม่เคยไปเรียนภาษาอังกฤษ จินตนาการว่าฝรั่งมีความคิดประหลาดๆ ตามใจลูกบ้าง ไม่รักลูกบ้าง อะไรบ้าง คิดมั่วๆอ่ะ ไปเจอจริงๆ เขาใจแข็งเหมือนกันนะ อย่างโฮสเรามีหลานอยู่คนหนึ่ง ซนมาก เขารู้ว่าหลานเขาชอบเรียกร้องความสนใจด้วยการทำตัวให้ตลก เขาก็ขอร้องเราว่า ตอนที่หลานเขาทำตัวตลก ขำๆ แกล้งดื้อ ขอให้เราอย่าไปสนใจ ให้ทำหน้าเฉยๆไว้ ถามว่าเขาตีลูกไหม ก็ตีอ่ะ แต่เขาจะอธิบายว่าทำไมถึงตี แถมบอกด้วยว่า แม่รักลูกนะ(เราอยู่บ้านยายของเด็กค่ะ ที่เล่าอยู่อ่ะ มีฝรั่งสามคน) พูดดีๆกับลูก โอ้ว เห็นแล้วชอบมากๆเลย มีอยู่วันหนึ่ง หลานโฮสซนมาก และเราต้องการความเงียบ เจอเราปิดประตูใส่ เหอะๆ เราไม่ใช่นางงาม เราไม่รักเด็กตลอดเวลา โฮสไม่ว่าอะไรเราเลย ไม่โกรธ ถ้าเป็นเอเชีย ป่านนี้ตูคงเละไปแล้ว และมีอยู่อีกวันหนึ่งค่ะ หลานโฮสเข้ามาขอนมที่เราซื้อวางไว้ในห้อง เราก็ให้ไป โฺฮสเห็นก็ถามว่าเอามาจากไหน เด็กก็บอกว่าขอจากเรา โฮสไม่เชื่อเดินมาถามเราที่ห้อง เราก็ยืนยันให้ จากนั้นโฮสก็บอกให้หลานมาขอบคุณเราอีกรอบ เจอแบบนี้เข้า ความคิดประหลาดๆที่เมื่อก่อนมีมาหายหมด แอบดีใจว่านิวซีแลนด์จะมีผู้ใหญ่ที่ไม่เหยียดผิวเพิ่มอีกหนึ่งคน มีลูกในไทยสมัยนี้ อย่าว่าแต่ให้มันขยันเลย อย่าให้มันซ่าก็ดีใจมากแล้ว เด็กผู้ชายก็ไปตีกัน เด็กผู้หญิงก็เอาแต่แต่งตัว ใครมีลูกอยู่ห้องกลางๆ ท้ายๆน่าจะพอรู้ เพื่อนเราเกือบทั้งห้องอ่ะ(ตอนม.ปลายเราอยู่ห้องกลางๆ) ตอนเย็นๆไม่ทำอย่างอื่นหรอก แต่งหน้า เอาแป้งเด็กมาโปะหน้าให้ขาว เอาอุทัยทิพย์มาทาปาก จนพวกนายทุนเห็นช่องทางหาเงิน ทำผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมา จำเริญจริง กระเป๋าเรียนพวกคุณๆไปค้นดูได้ หนังสือหามีไม่ กระเป๋าแฟบๆ ถ้ามีใส่อะไรบ้างก็เป็นพวก เครื่องยืดผม เหล็กดัดขนตา เปิดร้านเสริมสวยหลังห้อง ทำไมจะไม่ทำล่ะ ค่าไฟไม่ต้องจ่าย โรงเรียนจ่ายให้ โกงกันตั้งแต่ไม่จบมัธยมกันเลยทีเดียว ถามว่ากระเป๋าแฟบๆ แล้วเอาหนังสือไปไว้ไหน? ลิ้นชักใต้โต๊ะไงคะ ถ้าวันไหนมันรู้ว่าอาจารย์จะมาตรวจก็เอาไปซ่อน ยังไงก็ไม่เอากลับบ้าน แหล่งที่ซ่อนก็กลอง(ม.หกมีหน้าที่รักษากลองที่ตีตอนเชียร์กีฬาเวลาทำกิจกรรม) ปีนขึ้นไปซ่อนหนังสือบนเพดานกันเลยค่ะ ตัวไม่ถึง ซ่อนไม่ถนัด เอาเก้าอี้ต่อกับโต๊ะ ให้เพื่อนช่วยจับ เอาไปซ่อนตามม้าหินที่โรงเรียนจัดไว้ให้นั่งรอบสนามบาสก็มี เอาไปซ่อนตามตู้ห้องเรียนศิลปะ ห้องทดลองก็มี ไม่เข้าใจว่ามันจะรังเกียจหนังสืออะไรกันนักหนาฟร่ะ ถ้าเรามีลูกแล้วรู้ว่าลูกเราทำแบบเพื่อนเรานะ เราคงลมจับ รักการอ่าน นั้นอย่าหวัง รังเกียจหนังสืออย่างกับอะไรดี หาข้อมูล อย่าคิด เด็กรู้จักแต่เฟสบุ๊ค ไฮไฟว์ เว็บเกมส์ ดูง่ายถึงง่ายที่สุด ข้อมูลบางข้อมูล หาเองในกูเกิ้ลใช้เวลาไม่กี่วิก็ไม่ทำกันหรอก เอามาถามชาวบ้านนี่แหละ สะดวกดี คำถามบางคำถาม เราไม่ต้องไปหาคำตอบ บางทีมันวิ่งมาชนด้วยซ้ำ บางครั้งใช้เวลาไม่กี่วันเอง ไม่เห็นต้องถามใคร ขอให้เราอ่านหรือดูสิ่งที่เกี่ยวกับข้อสงสัยเราเยอะๆก็ช่วยได้มากแล้ว แต่คนทำแบบนี้กี่คน? รอบนี้เราเน้นเกี่ยวกับผู้เรียนตามจขกท.นะคะ เขียนมาตั้งยาว ดูเหมือนจะเป็นการเพ้อเจ้อเสียเป็นส่วนใหญ่ แหะๆ สุดท้าย ขอให้จขกท.โชคดีค่ะ จากคุณ : khumchalong เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 21:34:44

ความคิดเห็นที่ 17 เราขอดึงกลับมาเข้าประเด็นเรื่อง "ความสามารถในการสอนของครูแบบเป็นของจริงที่พิสูจน์กันได้" เราเคยเป็นครูสอนภาษาอังกฤษตามโรงเรียนสอนภาษา 3 ครั้ง ครั้งแรกมีฝรั่งรู้จักกันมาชวนไปสอนเราไม่ได้ออกแรงสมัครงาน ก็เลยโชคดีได้ประสบการณ์มา เพราะฝรั่งคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการสอนภาษาอังกฤษเขาจับเราไปฝึกอบอมด้านการสอนภาษาอังกฤษอยู่พักใหญ่ๆ ครั้งที่สองสองเราเดินเข้าไปสมัครที่โรงเรียนแห่งหนึ่งแถวสยามสแควร์ซึ่งมีชาวอังกฤษเป็นผู้บริหาร เขาตั้งใจฟังความคล่องตัวในการพูดอังกฤษของเรา แล้วเขาทำหน้าเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วเขาเอา essay ของนักศึกษาปริญญาเอกวิชาวิศวกรรมศาสตร์(สาขาไฟฟ้า) มหาลัยรัฐแห่งหนึ่งออกมาให้เราดู บอกว่านักศึกษาคนนี้ส่ง research paper เป็นภาษาอังกฤษไปแล้วไม่ผ่านเลยเรียนไม่จบ ให้เราเอา essay เขาไปแก้มาให้ดู (เพื่อพิสูจน์ทักษะในการเขียนภาษาอังกฤษของเรา) แล้วเขาให้เราเขียนภาษาอังกฤษเป็นแผนการสอน writing มาให้เหมาะกับนักศึกษาคนนี้ โดยให้เราระบุรายละเอียดมาว่าจะใช้วิธีการสอนแบบไหน จะใช้สื่ออะไร และจะวัดผลอย่างไร เราก็ทำมาส่งตามน้้น แล้วฝรั่งผู้บริหารก็อ่านแผนการสอนเป็นภาษาอังกฤษที่เราเขียนมาให้เขา แล้วเขาก็ซักถามเราเป็นจุดๆ ให้เราตอบราวกับว่าต้อง defend thesis อะไรแบบนั้น แล้วเราพอเราตอบคำถามได้พึงพอใจหมด ฝรั่งก็ให้งานเราทำ เราไม่ได้สอนภาษาอังกฤษอยู่นานนักเพราะไปทำงานแปลเอกสาร และหลังจากยุคอินเตอร์เน็ตเป็นต้นมา เราทำงานแปลไปเป็นงานหลัก แต่ด้วยความสนใจเป็นการส่วนตัวเราได้เก็บสะสมสื่อการสอนภาษาอังกฤษจากต่างประเทศ (ส่วนใหญ่เอามาจากเน็ต) ไว้เป็นจำนวนมาก และทำการค้นคว้าเป็นการส่วนตัวเรื่องการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 มาหลายปี เลยอยู่ดีๆ นึกสนุกอยากสอนภาษาอังกฤษดูใหม่เล่นๆ เราเลยไปสมัครสอนภาษาอังกฤษให้เด็ก ม.ปลายที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง (แถวๆสยามเหมือนกัน ไม่รู้ทำไมทลึ่งไปแถวนั้นบ่อยหว่า?) คราวนี้เจอผู้บริหารโรงเรียนเป็นคนไทย พอผู้บริหารรู้ว่าเราเข้าไปสมัครงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ เธอถามเราทันทีว่า "คุณมีวุฒิปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษหรือศึกษาศาสตร์หรือเปล่า?" เราตอบว่า "ผมแค่มาสอนเด็ก ม.ปลายนะครับ ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องมีวุฒิปริญญาโทผมก็สอนได้ ผมมี Certificate of Proficiency in English ที่สอบได้จาก University of Cambridge และที่หลังประกาศนียบัตรทาง University of Cambridge ก็เขียนยืนยันไว้เป็นลายลักษณ์อักษรว่าคนที่สอบผ่านระดับนี้ใช้ภาษาอังกฤษใด้เชี่ยวชาญมากพอที่จะสอนภาษาอังกฤษในระดับ ม.ต้น และ ม.ปลายในประเทศที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 1 เรื่องความถูกต้องแม่นยำในการใช้ภาษาอังกฤษผมก็มีประสบการณ์ตรงคือเคยพำนักอาศัยอยู่ในประเทศอังกฤษมา 20 ปี และในช่วงที่พำนักอาศัยในต่างแดนนั้นผมก็มีผลงานคือเคยทำงานเป็นผู้บริหารสาขา ของบริษัทฝรั่งที่มีสาขามากกว่า 100 สาขา  (เคยทำงานอาชีพนี้มา 13 ปี) หลังจากนั้นผมกลับมาทำงานในเมืองไทย มีใบผ่านงานจากบริษัทแปลเอกสารที่ผมเคยทำงานอยู่หลายปี ส่วนในสมัยที่ผมทำงานเป็นนักแปลอิสระผมก็มีหนังสือรับรองผลงานการแปลไทยเป็นอังกฤษจากลูกค้าซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติ มีผลงานแปลหนังสืออังกฤษเป็นไทยและเป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปลให้สำนักพิมพ์ระดับปานกลางและระดับใหญ่ๆมาแล้ว และก็เคยมีผลงานเป็นวิทยากรอบรมนักแปลมาแล้วให้สำนักพิมพ์ระดับใหญ่ๆ นอกจากนี้แล้วผมยังมีตัวอย่างสื่อการสอนภาษาอังกฤษที่ผมสร้างขึ้นเอง ในรูปแบบของ digital media คือเป็น computer files ที่มีท้้ง texts, audios และ videos รวมกันอยู่และใช้ประสานงานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่าสร้างขึ้นมาจาก computer software ที่ทันสมัยมากๆ ซึ่งจะมีการพัฒนาอยู่ได้เรื่อยๆ เพราะผมเป็นนักทดสอบ software ที่ชำนาญมากๆ และผมสนใจด้าน computer assisted language learning จึงออกแรงทำการค้นคว้าเป็นการส่วนตัวมาหลายปี ผมอยากให้คุณลองไปนั่งดูการสอนของผมครับ แล้วค่อยตัดสินใจว่ามีประสิทธิภาพหรือไม่ แค่ไหน อย่างไร..." ^ ^ ไม่ได้ผลอ้ะ! แกไม่เอาหรอก แกจะเอาปริญญาโทด้านภาษาอังกฤษหรือปริญญาโทศึกษาศาสตร์ให้ได้ เราก็เลยคิดในใจว่า "เวรกรรม (แต่เวรกรรมของแกนะ ไม่ใช่ของเรา เพราะครูเก่งๆอย่างเรานี้ ชาตินี้แกหายากนะจะบอกให้...555+++...)นี่ตูน่าจะส่งครูสอนภาษาอังกฤษคนที่จบปริญญาตรีศึกษาศาสตร์ (เอกการสอนอังกฤษ) และปริญญาโท คนที่เราพูดถึงใน คคห 1 ที่เขียนภาษาอังกฤษไม่ถูกเลยสักประโยค ให้ลองมาสมัครเป็นครูที่นี่ดูบ้างอะนะ...555+++..." แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 22:46:25 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 22:42:54 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 22:33:57 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 22:31:18

ความคิดเห็นที่ 18 ^ ^ เหตุการณ์นี้ผ่านมาแล้ว 3-4 ปี ซึ่งนับจากนั้นเราก็ยังไม่เคยไปสมัครเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่ไหนอีก ........................................................................ จะอย่างไรก็ตามเรายังนึกขำว่าวิธีการที่ชาวอังกฤษคนนั้นคัดเลือกครูสอนภาษาอังกฤษโดยทดสอบเราโหดมากๆ เราต้องขอคารวะเขาด้วยความจริงใจว่า "คิดขึ้นมาได้ไงเนี่ย วิธีการค้ดเลือกครูแบบนี้ ทำไมถึงหลักแหลมอย่างนี้ สมแล้วที่เป็นผู้บริหารการศึกษา น่าจะเอาฝรั่งคนนี้มาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาพิการประเทศสารขัณฑ์นะ...555+++..." แล้วถ้า ครูสอนภาษาอังกฤษคนที่จบปริญญาตรีศึกษาศาสตร์ (เอกการสอนอังกฤษ) และปริญญาโท คนที่เราพูดถึงใน คคห 1 ที่เขียนภาษาอังกฤษไม่ถูกเลยสักประโยค ให้ลองไปสมัคงานนี้ดูกับฝรั่งคนนี้น่ะ เธอจะได้งานทำไหม? ^ แล้วก็คิดต่อไปว่าวิธีการของฝรั่งคนนี้น่ะ เอาไปใช้รับสมัครครูสอนคณิตศาสตร์ เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ ฯลฯ ก็ยังได้สบายๆ เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบวิธีการวัดความสามารถของครูให้เข้ากับแนวของวิชาต่างๆตามแต่จะสอนวิชาไหนเท่านั้น ^ ถ้าหน่วยงานการศึกษาไทยออกใบอนุญาตครูโดยการคัดเลือกครูแบบฝรั่งคนนี้ทำนะ รับรองว่าปัญหาเรื่องครูไม่รู้วิชาที่ตัวเองสอน ก็จะหมดไปจากประเทศไทย ^ นั่นก็คือขณะนี้ตามกฎระเบียบของไทยว่าด้วยการออกใบอนุญาตครูน่ะ ครูส่วนใหญ่ที่มีใบอนุญาต ไม่สมควรได้รับใบอนุญาตด้วยซ้ำไป เพราะไม่มีความรู้ในวิชาที่ตัวเองสอน ยกต้วอย่างเช่น กฎเกณฑ์บอกว่าจบปริญญาตรีศึกษาศาสตร์ (เอกการสอนภาษาอังกฤษมา) ได้ใบอนุญาต ได้บรรจุครู พอต่อปริญญาโทก็ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน แต่อนิจาคนออกใบอนุญาตเคยลองให้ครูคนนั้นเขียนภาษาอังกฤษสัก 2-3 หน้า แล้วเอาไปให้ฝรั่งเจ้าของภาษาที่มีการศึกษาดีๆ ลองอ่านดูบ้างหรือไม่ล่ะ เราไม่เสียใจหรอกที่เราสมัครงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษไม่ได้ในครั้งนั้น เพราะเรามีงานแปลเอกสารทำได้เงินมาโดยตลอด (วิธีหางานของเราก็คือแปลไทยเป็นอังกฤษเป็นตัวอย่างให้ดู แล้วให้ฝรั่งเจ้าของภาษาอ่านภาษาอังกฤษของเราแล้วไม่เบ้หน้าว่าเป็นภาษาอังกฤษแบบผิดธรรมชาติ เราก็หางานได้ แต่เวลาจะสมัครงานแปลเอกสารกับกับคนไทยเราก็ให้แฟนเราเอาวุฒิการศึกษาด้านภาษาอังกฤษสูงๆของเธอไปสมัครกับคนไทยในนามเธอ แล้วโยนงานมาให้เราทำ เราก็ได้งานทำเหมือนกัน แต่ก็มีลูกค้าคนไทยบางราย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักพิมพ์ที่ผลิตหน้งสือแปล)ซึ่งเก่งพอที่จะประเมินผลงานด้านภาษาอังกฤษของเราได้ แล้วเต็มใจจ้างเราทำงานด้านภาษาอังกฤษโดยไม่ขอดูวุฒิการศึกษาสูงๆจากเราเลยนะ) เพียงแต่เรานึกอยากสนุก อยากเอาสื่อการสอนใหม่ๆ และวิธีการสอนใหม่ๆไปใช้สอนภาษาอังกฤษในระดับ ม.ปลาย เพื่อช่วยพัฒนาประเทศชาติบ้าง เท่านั้นเอง ประเทศไทย (โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบการศึกษาไทย) ไม่คิดจะวัดค่าของคนกันที่ผลของงานบ้างเลยหรอกหรือ...!!!?? ^ เราเสียดายว่าคนเก่งๆบางคนที่เก่งกว่าเราอีกตั้งหลายเท่า และมีผลงานดีๆ ยังมีอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสได้ทำงานเพื่อช่วยสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติ เพราะหลุดเข้าไปทำงานไม่ได้ เนื่องจากวิธีการคัดเลือกรับคนเข้าทำงานที่หน้ามืดตามัวดูแต่วุฒิการศึกษาโดยไม่คำนึงถึงความสามารถที่พิสูจน์ได้จริงๆ ให้เห็นกับตา ^ อันนี้ไม่ใช่บ่นนะะ แล้วก็ไม่ได้ปรับทุกข์ด้วย เพราะตอนนี้เราก็มีงานอื่นทำ แต่ถึงเราไม่ทำงาน เราก็มีกินมีใช้สบายๆ เพราะพ่อเราแบ่งเงินให้เราใช้มากพอสมควร วันๆเราถึงได้แต่ทดสอบ computer software และเล่นเน็ตน่ะ...555+++...แต่เสียดายที่คนบางคนในระบบบางระบบมันไม่รู้จักประเมินค่า ค้นหา และใช้งานทรัพยากรมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ!   แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 23:06:24 แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 22:49:04 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 18 ก.ย. 54 22:32:52

ความคิดเห็นที่ 19 การศึกษาไทยห่วยแตก เพราะการวัดผลที่ไม่เข้มข้น และความรักสบายของเด็ก จากคุณ : นฤมลประการ เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 08:46:27

ความคิดเห็นที่ 20 ก็ถ้าเรื่องผู้ปกครองแต่มันส่งผลถึงการสอนของครู มันก็น่าจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องะครับ จากคุณ : pokemon trainer เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 12:06:12 A:101.109.214.181 X: TicketID:000119

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ถ้าจะพูดถึงเรื่องครูเรื่องผู้ปกครองว่าตีเด็กแหลกหรือไม่ตีเด็ก เราก็ว่าตัดสินแน่ชัดไปไม่ได้หรอกว่าไม่ตีแล้วเด็กจะเหลือขอเสมอไป ยกตัวอย่างเช่นวันหนึ่งเรากับแฟนไปนั่งในร้านอาหารโดยที่โต๊ะข้างๆเด็กนั่งกับแม่อยู่ดีๆเด็กปีนป่ายน่ารำคาญ เราเลยชวนแฟนเราย้ายไปนั่งที่โต๊ะอีกฝั่งหนึ่งซึ่งมีกำแพงเตี้ยๆกั้นอยู่เพื่อหวังว่าจะพ้นจากความรำคาญ แต่อยู่ดีๆ เจ้าเด็กคนเดิมมันปินกำแพงเตี้ยๆขึ้นมาแล้วขึ้นมายืนบนโต๊ะอาหารของเราแล้วกระโดดกระทืบเท้าแรงๆ ในขณะที่แม่เด็กทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  พอเราเริ่มหงุดหงิดจะด่าออกมาดังๆแฟนเราก็รีบดึงเราออกไปจากร้านซะก่อน แต่อีกกรณีหนึ่งเรายืนตรงใกล้ๆเก้าอี้ที่มีให้คนนั่งหน้าร้านอาหารที่ติดกันเป็นพืดหลายๆร้าน อยู่ใกล้ๆน้ำพุ บรรยากาศร่มเย็น อีกฝั่งเป็นแผงลอยขายเสื้อผ้า มีผู้หญิงคนหนึ่งนั่งพักบนม้ายาว แล้วมีเด็กคนหนึ่งวิ่งส่งเสียงกริ๊ดกร๊าดแล้วไปชนผู้หญิงคนที่นั่งอยู่อย่างแรง แม่เด็กก็เรียกลูกตัวเองมาสอนด้วยคำพูดที่สุภาพไม่เกรี้ยวกราด แต่คำพูดหนักแน่นโน้มน้าวจิตใจให้ลูกตัวเองสำนึกผิดแล้วไปขอโทษผู้หญิงคนนั้นที่โดนชน เรายืนตลึงดูอยู่ด้วยความประทับใจ และคิดว่าผู้ใหญ่มีอิทธิพลต่อเด็กได้ โดยไม่จำเป็นต้องเอาไม้เรียวขนาดใหญ่ฟาดเด็กอย่างทารุณ เพราะสมัยเราเรียนโรงเรียนมัธยมเราเรียนโรงเรียนที่มีเด็กเกเรมากๆ นักเรียนทุกคนสูบบุหรี่กันในโรงอาหารอย่างโจ่งแจ้ง ไม่มีใครแอบสูบในห้องน้ำกัน ครูคนหนี่งเพิ่งเข้ามาใหม่ไม่รู้ประเพณีของเด็กที่นี่ก็เลยพอเห็นเด็กสูบบุหรี่ไปตวาดว่าเด็ก ผลปรากฎว่า "พวกเด็กๆหลายๆคนรวมตัวกันระดมเอาตะเกียบกับน้ำแข็งก้อนเล็กๆขว้างหัวครู" ครูที่ไหนจะอวดเก่งไปเอาไม้เรียวอันโตๆฟาดเด็กพวกนี้ได้ก็คิดผิดซะแล้ว เพราะเด็กพวกนี้พกทั้งมีดทั้งปืนและระเบิดขวดไปโรงเรียน! ^ แต่กระนั้นก็ตามที่ในโรงเรียนแห่งเดียวกันนี้ มันก็มีครูบางคนที่มีหลักจิตวิทยาสูงมากๆ พอที่จะเป็นมิตรกับเด็กและสื่อสารกับเด็กพวกนี้ได้ โดยมีวิธีพูดให้เด็กเกรงใจครู และไม่กระทำการอะไรที่รุนแรงจนเกินเหตุ ซึ่งเด็กที่ขนาดอันธพาลระดับนี้พอเห็นครูคนนั้นก็ยังให้ความเคารพนับถืออย่างจริงใจ แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 14:41:16 แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 14:38:36 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 19 ก.ย. 54 14:35:12

ความคิดเห็นที่ 22 d จากคุณ : okb เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 12:06:53

ความคิดเห็นที่ 23 รู้สึกว่าจะมีบางคนเพ้อเจ้ออยู่นะ ถ้าไม่ให้ความเคารพครูอย่างนั้น ก็ไม่ต้องมาเป็นนักเรียนเหอะ   ปล. ผมหลงประเด็น  แต่หมันไส้ว่ะ จากคุณ : เด็กชายไร้เดียงสา เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 15:56:02

ความคิดเห็นที่ 24 ระบบทุกอย่างจะดีได้ ฟันเฟืองก็ต้องดี่ด้วย ผู้ที่รักษาระบบ หากดำเนินตามกรรมวิธี ขั้นตอนอันควรจะเป็น ระบบมันก็ไม่รวน และทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ แต่อย่างที่ทราบกันดีว่าอะไรในเมืองสารขัณฑ์นี้ที่ทำให้ ระบบต่างๆที่วางไว้ค่อนข้างดี มันไม่เวิร์ค หากคุณเป็นหนึ่งในฟันเฟืองเหล่านั้น ก็ถามตัวเองว่าได้รับการหยอดน้ำมัน บำรุงรักษามาอย่างสม่ำเสมอหรือเปล่า จากคุณ : ปากจัดชะมัดยาด เขียนเมื่อ : 20 ก.ย. 54 22:47:45 A:49.49.101.35 X: TicketID:301976

ความคิดเห็นที่ 25 ที่ คคห 23 พูดว่า "รู้สึกว่าจะมีบางคนเพ้อเจ้ออยู่นะ ถ้าไม่ให้ความเคารพครูอย่างนั้น ก็ไม่ต้องมาเป็นนักเรียนเหอะ   ปล. ผมหลงประเด็น  แต่หมันไส้ว่ะ" ู^ เผอิญเราชอบเขียนอะไรเพื้อเจ้อให้คนหมั่นไส้ว่ะ ้ลองไปอ่านกระ้ทู้สอนการแปลในระดับปริญญาโทที่เราึคิดค้นขึ้นได้จากการเล่นหมากรุกและฝึกมวยจีน  คนคิดแหกคอกแบบเราระบบการศึกษาไทยไม่ต้องการหรอก...555+++... ตามข้อความข้างล่างนี้ นอกจากเราจะชอบค้นคว้าวิธีสอนภาษาอังกฤษโดยทั่วๆไปแล้วเรายังค้นคว้าเรื่องวิธีสอนการแปลในระดับสูงอีกด้วย การสอนการแปลก็เหมือนการสอนภาษาอังกฤษในระดับอื่นๆนั่นก็คือต้องใช้สมองคิดพลิกแพลงหลายๆทางคล้ายๆเล่นหมากรุกฝรั่งหรือหมากรุกจีน สมัยเด็กๆเราเกลียดวิชาภาษาอังกฤษ ชอบหนีโรงเรียนไปเล่นหมากรุกฝรั่ง เล่นไปเล่นมากลายเป็นได้ทักษะการแปลมาโดยไม่รู้ตัว  เคยมีคนมาเรียนการแปลกับเรา ก่อนอื่นเราสอนเล่นหมากรุกก่อน จะได้คิดพลิกแพลงได้...555+++... เรามาทดลองคิดพลิกแพลงกันว่าประโยคแบบนี้เราีจะสอนแปลกันยังไง Against compliance by the Vendor with their obligations under the Agreement, the payment at Closing shall be satisfied by th e Purchaser at the Closing by delivery to the Vendor of a cashier’s cheque drawn on a bank in Bangkok in favour of the Vendor in the amount of baht.. ถ้าอยากดูการจัดลำดับคำในการแปลข้อความข้างบนนี้ให้ตาม link ข้างล่างนี้ไปอ่านดู http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2011/07/K10871865/K10871865.html วิธีคิดใช้ศาสตร์ต่างๆนอกระบบการศึกษาในมหาลัยล้วนๆ ส่วนใหญ่วิชาการแปลของเราจะเอามาจากหมากรุกหรือมวยจีน ตาม link ข้างล่างไปอ่านกระทู้นี้แล้วจะเข้าใจ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2009/06/K7934208/K7934208.html จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 21 ก.ย. 54 20:57:13

ความคิดเห็นที่ 26 ในเมื่อไม่มีใบอนุญาตครู บางครั้งเราก็ทำหน้าที่เป็น "ครูเถื่อน" อย่างเช่นในกระทู้นี้เป็นต้น http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K11098541/K11098541.html#4 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 23 ก.ย. 54 22:19:54