 |
เราเรียนฟังกับพูดก่อน แล้วอ่านเยอะๆจนกลายเป็นรู้ grammar พอที่จะเขียนได้ดีกว่าคนที่เรียนแต่ grammar แต่มีชั่วโมงบินน้อยกว่าเราในการฟังกับพูด เราเพิ่งมาเริ่มเรียน grammar เอาจริงๆจังๆ (แต่ก็ยังเรียนไม่เจาะลึกมากนัก) หลังจากที่ทำงานเขียนภาษาอังกฤษมาแล้วตั้งหลายปี (แปลเอกสารจากไทยเป็นอังกฤษ)
เวลาเราเห็นคนพยายามเรียน writing แล้วเขียนแทบไม่เป็นธรรมชาติเลยสักประโยคหนึ่ง
"เราแนะนำว่าคนที่ฟังกับพูดอังกฤษยังไม่คล่องเป็นธรรมชาติไม่มีทางเขียนอังกฤษได้เป็นธรรมชาติ เพราะคิดเป็นภาษาอังกฤษไม่ได้ และแนะนำให้ไปเรียนฟังกับพูดก่อน"
^ แต่มีผู้คนเป็นจำนวนมากแย้งเราโดยอ้างว่า
"ฝรั่งเจ้าของภาษาที่ illiterate คืออ่านหนังสือไม่ออก แล้วก็เขียนไม่ได้ ฟังพูดอังกฤษเก่งเป็นธรรมชาติมากๆ
แล้วก็เลยมา ซตพ สรุปเอาว่าดังนั้นคนไทยเรียนแต่ grammar ให้แม่นๆเป็นลำดับต้นๆ แล้วอ่านหนังสือให้เยอะๆ แล้วพูดไม่คล่องก็เขียนภาษาอังกฤษได้ดี"
^ แต่เราคิดว่ามันเป็นกระบวนการทาง logic ที่ผิดนะ เพราะลักษณะขั้นตอนการรับรู้ภาษาของเจ้าของภาษากับของคนเรียนภาษาเป็นภาษาที่ 2 มันไม่เหมือนกัน
เหตุผลของเราก็คือว่า
"หากคนเรียนภาษาที่ 2 ไม่สามารถฟังแล้วพูดเลียนแบบเจ้าของภาษาได้ในระดับง่ายๆจนพูดพลิกรูปประโยคกลับไปกลับมาได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ แต่อยู่ดีๆไปเรียนแต่ grammar แล้วเรียน writing เลย แล้วคิดว่าเพราะฝรั่งเจ้าของภาษาพูดเก่งแต่อ่านเขียนไม่ได้มันก็มีเยอะแยะไป ดังนั้นในทางกลับกัน คนไทยเขียนเก่งแต่พูดไม่เก่งก็เป็นไปได้"
^ เราว่าคิดแบบนี้มันเป็น invalid arguments (คือข้อโต้แย้งที่ไม่สมเหตุผล) นะ เผลอๆเป็น fallacy ด้วย .........................................................................
แต่ถ้าจะพูดกันแบบให้เข้าประเด็นจริงๆนะ ที่เราบอกว่าเราไม่ได้เรียน grammar แต่เราใช้ภาษาอังกฤษถูกต้องมากพอสมควร ไม่เคยพลาดท่ามากๆถึงกับเละเทะนั้น ถ้านักภาษาศาสตร์เขาพิจารณาข้อความนี้ เขาคงพูดว่า
"แท้จริงเราเรียน grammar แต่เรียนโดยธรรมชาติ ไม่ได้เรียนด้วยวิธีการเปิดตำรา grammar อ่าน"
........................................................................ สิ่งที่เราจำได้ในกระบวนการเรียนรู้ grammar โดยธรรมชาติของเรา ที่เราเห็นว่ายากมากที่สุด ก็คือ
1. conjugation of irregular verbs (การผันกริยา 3 ช่อง)ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้เรื่อง tenses 2. การผัน pronouns และ possessive pronouns ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้เรื่อง subject and verb agreement
^ ในการพยายามฝ่าฟันอุปสรรคที่สิ่งยากๆ 2 สิ่งนี้ (ที่มันยากก็เพราะภาษาไทยไม่มีแบบนี้ คนไทยเรียนจีนก็ง่ายกว่าเรียนอังกฤษเพราะภาษาจีนก็ไม่มีการผัน irregular verbs แบบนี้) แทนที่เราจะทำแบบฝึกหัดในหนังสือ เราใช้วิธีฟังแล้วหัดพูดปากเปล่ามาโดยตลอด ซึ่ง
"หลายๆคนถ้าไม่เริ่มฝึกอันนี้ให้คล่องก่อนเป็นลำดับต้นๆ จะพูดหรือเขียนประโยคภาษาอังกฤษให้ถูกต้องเป็นธรรมชาติ ทำได้ยากมากๆถึงขั้น impossible เลยหละ"
การเรียนแค่
1. conjugation of irregular verbs (การผันกริยา 3 ช่อง)ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้เรื่อง tenses 2. การผัน pronouns และ possessive pronouns ซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้เรื่อง subject and verb agreement
ถ้าลองคำนวณจำนวน permutations ดู โดยคำนึงถึงว่า irregular verbs ในภาษาสมัยใหม่มีประมาณ 300 กว่าตัว ในภาษาโบราณมีประมาณ 400 กว่าตัว ^ เวลาที่ใช้เพื่อฝ่าฟันอุปสรรค์ 2 อย่างนี้ คนที่มีพรสวรรค์ทางด้านภาษามากๆ อาจใช้เวลาเพียงแค่ 2-3 เดือน แต่คนธรรมดาๆ ต้องเรียนกันเป็นปี ถ้าเรียนแล้วไม่แม่นก็ลงเอยพูดเขียนภาษาอังกฤษผิดเละ
^ การเรียนเรื่องแบบนี้ในระดับพื้นฐานโดยการฟังแล้วพูด ฟังแล้วพูดซ้ำๆกัน มันฝึกสมองให้คิดตามร่องรอยของ grammar ได้โดยเป็นธรรมชาติได้ดีกว่าการทำแบบฝึกหัดในสมุด
^ ที่เป็นเช่นนี้ก็ด้วยเหตุผลที่ง่ายๆก็คือ
"คนเราในหนึ่งนาทีพูดให้เร็วได้มากถึง 300 -400 คำ แต่ในหนึ่งนาที พิมพ์ได้เร็วอย่างมากก็แค่เฉียดๆ 100 คำ ยิ่งเขียนด้วยมือแล้วยิ่งช้ากว่านั้นอีกหลายเท่า แล้วอีกอย่างหนึ่งการคิดเป็นเรื่อง grammar เวลาเห็นตัวหนังสือกับเวลาไม่เห็นตัวหนังสือ ประการหลังเป็นการฝึกแบบ interactive จาก subconscious ได้ดีกว่า"
ดังนั้นเราจึงเชื่อว่าการฝึก grammar ในระดับพื้นฐานมากที่สุด ฝึกจากฟังกับพูด โดยฝึกให้สมองมันพูดออกมาเองแบบ interactive โดยรวดเร็ว โดยใส่ grammar มาเลยตั้งแต่พูดจาก subconscious เป็นวิธีเริ่มต้นในการเรียนภาษาอังกฤษที่ดีที่สุด เพราะมัน covers all permutations (พูดพลิกกลับไปกลับมาจนครบความเป็นไปได้ทั้งหมด(ของการผันกริยาและผันโครงสร้างประโยค)) ได้จนครบหมดรวดเร็วกว่า
^ ทั้งนี้ โดยคำนึงถึงว่าคำศัพท์ภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานมากๆที่สุด ที่ใช้พูดทุกเรื่องในชีวิตประจำวัน (ถ้าไม่คิดจะเขียนยากๆนะ) มันมีแค่ประมาณ 2,000 คำเอง)
^ แต่อย่าลืมว่าจำนวน 2,000 คำนี่ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียนยากกว่าศัพท์ภาษาจีนหลายเท่า เพราะถึงแม้ศัพท์ภาษาจีนเอามามากกว่า 1 ตัวมาผสมกัน มันกลายเป็นความหมายใหม่อย่างอื่นได้ก็ตาม แต่มันก็ไม่มีการผัน tenses กับโครงสร้างประโยคหลายหลายมากเท่าภาษาอังกฤษ และก็ไม่ต้องผัน collocations มากเท่าภาษาอังกฤษ ^ ดังนั้นการพยายามเรียนศัพท์พื้นฐาน 2,000 คำในภาษาอังกฤษ มันกลายเป็นเหมือนต้องเรียนมากกว่านั้นตั้งหลายเท่า เพื่อให้พูดเขียนได้ถูกต้องในระดับง่ายๆ นั่นก็เพราะว่าคำศัพท์พวกนี้ แต่ละคำพลิกความหมายไปเรี่อยๆตาม collocations และตาม sentence structure
^ ดังนั้นการฝึกฟังกับพูดให้คล่องตัวมากๆ เป็นลำดับต้นๆ (เพื่อ cover all permutations โดยเร็วที่สุด) แล้วจึงตามด้วยการอ่านหนังสือมากๆ ถึงมาเริ่มเรียน grammar กับ writing ยากๆจากตำราต่างประเทศ จะเป็นขั้นตอนในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษซึ่งมีประสิทธิภาพมากที่สุด
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 11:05:08
แก้ไขเมื่อ 19 ก.ย. 54 10:56:11
จากคุณ |
:
fortuneteller
|
เขียนเมื่อ |
:
19 ก.ย. 54 10:40:14
|
|
|
|
 |