Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
ฮองเฮาใจทราม ติดต่อทีมงาน

คุ้ยพงศาวดารจีน

คนชั่วแผ่นดินจิ้น

ตอนที่ ๗ ฮองเฮาใจทราม                                                               “

เล่าเซี่ยงชุน “

หลังจากที่พระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว สุมาซองไทจือก็ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เป็น พระเจ้าเฮาฮุยเต้ฮ่องเต้ สืบราชสมบัติแผ่นดินไซจิ้นต่อไป ฮ่องเต้องค์นี้มีมเหสีสองคน คือนางเกียสี กับ นางอวยสี ก็ได้เป็นฮองเฮาซ้ายขวา ส่วนนางเอียงกิมฮองเฮามเหสีของพระเจ้า      ซีโจบู๊ฮ่องเต้ ซึ่งเป็นบุตรีของเอียงจุ้นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และเป็นมารดาเลี้ยงของพระเจ้า      เฮาฮุยเต้ ก็ได้เป็นที่ฮองไทเฮา

นางเกียสีฮองเฮานั้นเป็นคนขี้หึง ประกอบด้วยความอิจฉา ถ้าพระเจ้าเฮาอุยเต้โปรดปรานนางสนมคนใดแล้ว ก็เกลียดชังนางสนมคนนั้นเป็นอันมาก ถ้ารู้ว่านางสนมคนใดมีครรภ์ ก็คิดอ่านเอายาวางเสีย ให้ครรภ์นั้นตกไป ส่วนนางเองอยากมีบุตรแต่ก็ไม่มีสมความคิด ก็ขนขวายหาวิธีที่จะให้มีบุตร จึงคบคิดกับคนใช้ที่สนิทไว้ใจได้ ไปเที่ยวหาชายหนุ่มรูปร่างงาม เข้ามาซ่อนในพระราชวังให้กระทำสังวาส ถ้าไม่ชอบใจก็ให้ฆ่าเสีย นางทำดังนี้มาหลายครั้งยังไม่มีผู้ใดรู้

ต่อมาได้ชายหนุ่มคนหนึ่งมานอนด้วย แล้วนางก็ติดใจรักใคร่เป็นหนักหนา จึงเลี้ยงดูอย่างดี จัดเสื้อกางเกงให้แต่งตัวงดงาม  และเรียกมาบ่อย ๆ ไม่เป็นเวลา ชายหนุ่มผู้นั้นต้องทำตามใจไม่หยุดหย่อน จนอ่อนแรงซูบผอมเงยหน้าไม่ใคร่จะขึ้น นางเกียสีฮองเฮาเห็นว่าไม่มีกำลังแข็งแรงเหมือนแต่ก่อน ก็เบื่อหน่ายครั้นจะฆ่าเสียก็ยังมีความเสียดายอยู่ จะเอาไว้ก็ใช้การไม่ได้ จึงให้คนใช้เอาชายคนนั้นใส่รถไปปล่อยเสีย

ชายหนุ่มก็เที่ยวเดินโซเซไปตามทาง ขุนนางพวกเอียงจุ้นเห็นชายนั้นใส่เสื้อผ้าเป็นของดี ราษฎรไม่มีใส่ก็สงสัย จึงเอาตัวมาถามว่าเสื้อที่ใส่นี้ได้มาแต่ไหน ชายนั้นก็เล่าความให้ฟังว่าถูกจับตัวใส่รถไปกักไว้ให้นอนกับหญิง แล้วให้เสื้อใส่จนเขาเอามาปล่อยไว้ตามหนทาง ขุนนางนั้นก็ซักต่อไปว่า เขาเอาตัวไปไว้ที่ไหนจำได้หรือไม่ ชายนั้นก็ว่าไปทางไหนไม่รู้ เพราะอยู่ในรถมิดชิดไม่เห็นอะไร สำคัญรู้แต่รถมากระทบธรณีประตูเจ็ดครั้ง จึงได้รู้ว่าล่วงประตูไปเจ็ดชั้น เมื่อถูกถามว่าเหย้าเรือนที่ไปอยู่นั้นเป็นอย่างไรบ้าง ก็บอกว่าเรือนนั้นงดงามนัก ตนถามว่าเป็นบ้านของผู้ใด คนที่ขับรถบอกว่าเมืองสวรรค์ เมื่อถึงที่ก็ได้เห็นเทพดาผู้หญิงออกมา เอาตนเข้าไปไว้ในห้องนอน เมื่อถูกถามว่าเทพยดาผู้หญิงที่นอนอยู่ด้วยนั้น จำหน้าได้หรือไม่ ก็บอกรูปพรรณสูงต่ำดำขาวให้ฟังทุกประการ

ขุนนางนั้นก็เปลื้องเอาเสื้ออย่างดีนั้นไว้เสีย แล้วเอาเสื้อธรรมดาเปลี่ยนให้สองสำรับ แล้วสั่งกำชับว่าความเรื่องนี้อย่าได้พูดกับผู้อื่นต่อไปอีกเลย แม้นไม่ฟังขืนพูดฟ้าจะผ่า         ศรีษะแตกตาย  ชายจรจัดนั้นก็รับคำแล้วคำนับลาไป ขุนนางผู้นั้นก็เอาเสื้อกางเกงอย่างดีชุดนั้น มาให้เอียงจุ้นดู แล้วเล่าความให้ฟังทุกประการ

ครั้นเวลารุ่งเช้าเอียงจุ้นก็เอาเสื้อไปให้ฮองไทเฮาดู และเล่าความตามที่ขุนนางมาบอก ให้ฮองไทเฮาฟังตั้งแต่ต้นจนปลาย เอียงจุ้นกับนางฮองไทเฮาผู้เป็นบุตรีพิเคราะห์ดูเสื้อชุดนั้น กับเรื่องที่ได้ทราบมานั้นก็สมกัน จึงรู้ชัดว่านางเกียสีฮองเฮาประพฤติการไม่ดี นางฮองไทเฮาก็บอกกับบิดาว่า

“……..แต่เดิมเมื่อพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้จะตั้งบุตรข้าพเจ้าเป็นไทจือ ก็รับสั่งจะยกนางอวยสีขึ้นเป็นที่ไทฮุย ด้วยทรงเห็นว่านางเกียสีนี้เป็นคนมักหึงหวง ธรรมดาคนหึงแล้วชอบคบชู้สู่ชาย แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ต้องด้วยขนบธรรมเนียม ก็ทูลทัดทานไว้หลายครั้ง จึงได้ตั้งนางเกียสีขึ้นเป็นที่ไทฮุย ความข้อนี้ข้าพเจ้าผิดเสียแล้ว ไม่แจ้งเลยว่าจะเป็นได้ถึงเพียงนี้ ข้าพเจ้าจะสอดแนมอยู่ข้างใน คอยจับให้ได้ บิดาจงสืบสวนดูข้างนอกเถิด……..”  เอียงจุ้นก็รับคำแล้วลากลับบ้านไป

อยู่มาวันหนึ่งพระเจ้าเฮาฮุยเต้เสด็จอยู่กับนางเกียสีฮองเฮา นางนึกขึ้นมาได้ถึงความเก่า จึงกราบทูลว่าแต่ก่อนมีผู้ติเตียนตน ว่าเป็นคนใจไม่ดีมักหึงหวง ไม่ควรที่จะเป็นที่ไทฮุย นี่หากว่าเป็นบุญวาสนา เพราะบารมีของพระองค์ปกแผ่ จึงได้เป็นที่ฮองเฮาขึ้น

ฮ่องเต้จึงตรัสว่า พระองค์ก็เหมือนกัน เขาพากันติเตียนว่าโง่ ไม่สมควรที่จะเป็น ไทจือ แต่เป็นบุญวาสนาเทพยดาบันดาล จึงได้ราชสมบัติ เข้าพระทัยว่ามีบุญขึ้นมาทั้งนี้ด้วยวาสนาบารมีของพระองค์เอง ไม่รู้ว่านางฮองไทเฮาช่วยกราบทูลไว้ ถ้าหาไม่พระบิดาก็จะเอาออกจากที่ ไทจือ และให้สุมาเต๊กพระราชบุตรของพระองค์เป็นแทน แม้นออกจากที่ไทจือแล้ว ที่ไหนจะได้ราชสมบัติ

วันต่อมาฮ่องเต้ออกว่าราชการ พร้อมด้วยนางเกียสีฮองเฮา ก็มีรับสั่งกับขุนนางในที่เฝ้าว่า

“………แต่ก่อนเขาพากันติเตียนเรา ว่าโง่ไม่รู้จักอะไร เหตุไฉนเราจึงได้ราชสมบัติมีอาณาเขตใหญ่กว้าง เหมือนอย่างกษัตริย์แต่ก่อน คนเหล่านี้ที่ว่านั้นจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน…..”

ขุนนางทั้งปวงได้ฟังก็พากันก้มหน้านิ่งอยู่ แต่ห้อเปียวนั้นเป็นคนอดปากไม่ได้ จึงกราบทูลว่า

“……..ขณะนั้นข้าพเจ้าเป็นข้าพระเจ้าซีโจบู๊ฮ่องเต้ ก็นับถือว่าประเสริฐกว่าคนทั้งปวง ข้าพเจ้าเข้ามาทำราชการ ตั้งใจสนองพระเดชพระคุณด้วยความกตัญญู ถ้ารู้เห็นสิ่งไรก็ต้องกราบทูลไปตามตรง ที่จะปิดบังไว้หามิได้ เหมือนอย่างข้าพเจ้าเป็นข้าพระองค์อยู่ทุกวันนี้ ถ้ารับสั่งถามด้วยข้อความสิ่งใดแล้ว แม้นรู้เห็นอย่างไร ก็จะต้องกราบทูลไปโดยตรง ตามที่ได้รู้เห็น…..”

ฮ่องเต้ก็ตรัสว่า

“…….คนที่ประมาทเรานั้นมิใช่แต่ตัวท่านผู้เดียว นอกจากท่านนั้นเราก็รู้จักตัวอยู่หมด คนเหล่านี้หากเราคิดถึงพระบิดาได้เคยใช้สอยมาแต่ก่อน ถ้าไม่คิดอย่างนี้แล้ว ไหน ๆ เขาก็หาว่าเราไม่ดี จะอยู่ในแผ่นดินของเราทำไม ตั้งแต่นี้ต่อไปอย่าได้มาเหยียบบ้านเราเลย เราว่าอย่างนี้ใครเห็นอย่างไรก็ให้ว่ามา……….”

ซุนหยกก็กราบทูลว่า

“…….ซึ่งพระองค์ทรงพระกรุณา โปรดไม่ประหารชีวิตเสียนั้น พระเดชพระคุณเป็นที่สุด ถึงพระองค์จะเอามาชุบเลี้ยง ก็เห็นจะรับราชการสนองพระเดชพระคุณไปไม่ได้ ด้วยแก่ชราอายุมากแล้ว……”

ฮ่องเต้ได้ทรงฟังก็มิได้ตรัสประการใดต่อไป เสด็จเข้าข้างใน ตั้งแต่นั้นมาขุนนางที่เป็นตงฉิน มีความกตัญญูต่อแผ่นดินก็ทูลลาออกจากราชการเป็นอันมาก

ต่อมาพวกสาวใช้คนสนิทของนางเกียสีฮองเฮา ที่ถูกใช้ให้ไปเที่ยวหาชายหนุ่ม      รูปร่างหมดจดงดงาม เข้ามารับใช้นั้น เวลาจะออกไปข้างนอกวัง ก็เห็นพวกของเอียงจุ้นเที่ยวสอดแนมตรวจตรากวดขัน ส่วนในพระราชวังนั้นเล่า พวกของนางฮองไทเฮาคอยระแวดระวังดูแลอยู่ จะคิดอ่านลอบลักเอาชายหนุ่มเข้ามาดังแต่ก่อนไม่ได้ จึงบอกแก่นางเกียสีฮองเฮาว่า มีคนตรวจตราทั้งข้างนอกข้างในวัง ดูท่วงทีเหมือนเขาจะคอยจับผิด

นางเกียสีฮองเฮาได้ฟังก็นึกโกรธ ว่าฮองไทเฮากับเอียงจุ้น ไม่ควรจะมาเป็นมารขัดขวางความสุขของนางเลย ตั้งแต่นั้นมานางเกียสีฮองเฮาก็คอยหาช่องจะกราบทูล ยกข้อผิดของเอียงจุ้นอยู่ทุกวัน แต่ก็ยังไม่สบช่อง นางก็มีความแค้นทวีขึ้น ยิ่งไม่สมความปรารถนา ก็ยิ่งกำเริบกระสันปั่นป่วน ให้งุ่นง่านทะยานใจไม่สบาย เมื่อฮ่องเต้เสด็จออกขุนนางเวลาใด นางก็ตามเสด็จออกมาด้วยมิได้ขาด แม้นมีรับสั่งราชการเรื่องใด นางก็ว่าการเสริมแซมไปด้วยทุกเรื่อง

เอียงจุ้นเห็นนางเกียสีฮองเฮาทำผิดธรรมเนียม ก็ไม่ชอบใจคิดว่าถ้านิ่งไว้ ก็จะกำเริบหนักขึ้น จึงไปปรึกษานางฮองไทเฮาว่า

“…..ตั้งแต่ข้าพเจ้าให้คนไปสอดแนมในพระราชวัง ก็ยังจับข้อผิดนางเกียสีฮองเฮาไม่ได้ ข้าพเจ้าดูกิริยานางเกียสีฮองเฮามึนตึงไป ไม่เหมือนแต่ก่อนเห็นว่าจะรู้ตัวเสียแล้ว ครั้นข้าพเจ้าจะนำเอาความข้อนี้ขึ้นกราบทูล ก็ยังจับสลักสำคัญไม่ได้จึงต้องนิ่งอยู่…….”

นางฮองไทเฮาก็มิได้ว่าประการใด เอียงจุ้นจึงคอยอยู่จนถึงเวลาวันหนึ่ง นางเกียสีฮองเฮาตามเสด็จฮ่องเต้ออกว่าราชการตามเคย เอียงจุ้นก็กราบทูลขึ้นว่า

“…….อันธรรมดาพระอาทิตย์ซึ่งส่องโลกนี้ ย่อมมีแต่ดวงเดียว ถ้ามีเป็นสองดวงขึ้นแล้ว สรรพสิ่งทั้งปวงซึ่งอยู่ในโลก ก็ร้อนไม่อาจจะทนได้ แผ่นดินไซจิ้นทุกวันนี้มีผู้ว่าราชการถึงสอง เหมือนกับพระอาทิตย์สองดวง แต่ก่อนนั้นถ้ากษัตริย์ผู้ครองแผ่นดิน ยังทรงพระเยาว์อยู่ เมื่อเวลาออกว่าราชการ จึงต้องตั้งให้นางฮองไทเฮากำกับออกมา ว่าราชการบ้านเมืองแทน และพระองค์ได้เป็นกษัตริย์ขึ้นครั้งนี้ ใช่ว่าพระชันษายังเยาว์อยู่เมื่อไร เหตุใดจึงต้องมีฮองเฮากำกับออกมาว่าราชการด้วยเล่า ข้าพเจ้าเห็นผิดด้วยอย่างธรรมเนียมนัก……”

พระเจ้าเฮาฮุยเต้ได้ฟังก็นึกอายพระทัย จึงผลักให้นางเกียสีฮองเฮาเข้าไปเสียข้างใน ตั้งแต่นั้นมานางเกียสีฮองเฮา ก็มิได้ตามเสด็จฮ่องเต้ออกมาที่ว่าราชการอีกเลย และคิดผูกพยาบาทเอียงจุ้นยิ่งขึ้น

ฝ่ายเม่งก๊วน กับหลีคี้ นายทหารรักษาพระองค์ เป็นคนไม่ชอบกับเอียงจุ้นมาก่อน เมื่อเห็นเอียงจุ้นทูลติเตียนนางเกียสีฮองเฮา ต่อหน้าขุนนางทั้งหลายในที่ว่าราชการ ก็อยากจะหาความชอบกับนางเกียสีฮองเฮา จึงปรึกษากับตังเมงแล้วขุนนางทั้งสามชวนกันเข้าไปหานางเกียสีฮองเฮา และเล่าความซึ่งเกลียดชังเอียงจุ้นนั้น  จึงคิดจะช่วยกันกำจัดเอียงจุ้นเสีย นางเกียสีฮองเฮาก็ดีใจจึงว่า

“…….ท่านอย่าวิตก ซึ่งจะคิดกำจัดเอียงจุ้นนั้น ต้องหาข้อผิดโทษถึงเป็นขบถจึงจะได้ ภายหลังเราจะหาอุบายเพ็ดทูลซ้ำเติมต่อไป…..”

ขุนนางทั้งสามก็มีความยินดี คำนับลานางเกียสีฮองเฮากลับมา แล้วก็คอยโอกาสอยู่ทุกวัน ส่วนเอียงจุ้นเองก็คิดวิตก กลัวนางเกียสีฮองเฮาจะโกรธแค้นอาฆาต เพราะรู้อยู่ว่าขุนนางที่ไม่ชอบตนนั้นก็มีมาก จึงไปปรึกษากับโปอิ้น ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ว่า

“……เราคิดจะกราบทูลขอเลื่อนที่ขุนนางให้มียศยิ่งขึ้นไปทุกตำแหน่ง ขุนนางทั้งปวงจะได้นิยมนับถือรักใคร่ ว่าเราเป็นคนใจโอบอ้อมอารี ซึ่งคิดดังนี้ท่านจะเห็นประการใด…..”

แต่โปอิ้นกลับท้วงเสียยืดยาวว่า

“……ท่านอย่าทำเช่นนั้นไม่ได้ ด้วยขุนนางที่มีความชอบก็จะเสียใจ ที่ไม่มีความชอบก็จะกำเริบ ไปภายหน้าถ้าขุนนางตำแหน่งใดมีความชอบขึ้นแล้ว จะเอาผู้มีความชอบเลื่อนขึ้นไปตั้งที่ตำแหน่งไหนอีกเล่า ข้าพเจ้าเห็นผิดธรรมเนียมนัก ซึ่งท่านคิดทำดังนี้ก็เพราะปรารถนาจะให้ขุนนางทั้งปวงสรรเสริญ อันธรรมดามนุษย์เกิดมาในโลกนี้ ก็ย่อมมีแต่ความสรรเสริญและนินทาทั่วทุกคน ซึ่งจะหลีกนินทาหาแต่ความสรรเสริญอย่างเดียวนั้นไม่ได้……”

และกล่าวต่อไปอีกว่า

“…….ถ้าท่านปรารถนาหาความสรรเสริญแล้ว จะทำการสิ่งใดจงอาศัยยุติธรรมเป็นตราชูชั่งดูผิดและชอบ เลือกประพฤติแต่การที่ถูก ถึงพวกกังฉินก็ไม่อาจติเตียนได้ ผู้ที่เฉลียวฉลาดเป็นชาติตงฉินก็จะยกย่องนับถือ ท่านได้มีชื่อเสียงหอมแผ่ผ่านไปทั่วแผ่นดิน…..”

สุดท้ายก็สรุปว่า

“…..ทุกวันนี้ท่านก็ประกอบไปด้วยลาภและยศเต็มเปี่ยม สารพัดจะมีบริบูรณ์ทุกอย่างแล้ว ควรแสวงหาแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ คิดอ่านจัดแจงการแผ่นดินอย่าให้รกเรี้ยวได้ เมื่อบ้านเมืองเป็นปกติราบคาบไม่มีเสี้ยนหนามแล้ว ท่านก็จะได้ความสุข ทั้งจะมีชื่อลือเล่าปรากฎอยู่ในแผ่นดิน สืบไปภายหน้าชั่วบุตรหลานเหลน ซึ่งข้าพเจ้าว่าทั้งนี้ เพราะอยากจะให้มีความเจริญแก่ท่าน ด้วยข้าพเจ้าหมายจะยึดท่านเป็นที่พึ่งต่อไป…”

เอียงจุ้นได้ฟังดังนั้น ก็มิได้พูดโต้ตอบประการใด แต่ใจนั้นไม่ชอบอยู่ และต่อมาก็หาโอกาสกราบทูลฮ่องเต้ ขอให้เลื่อนที่ขุนนางให้มียศสูงขึ้นทุกตำแหน่ง ตามความคิดของตน ฮ่องเต้ก็โปรดให้ตามที่กราบทูล ตั้งแต่นั้นมาเอียงจุ้นจะทำการสิ่งใดก็ไม่เกรงผู้ใด ด้วยเข้าใจว่าขุนนางทั้งปวงนิยมยินดี นับถือตนทั้งสิ้น.

#########

จากคุณ : เจียวต้าย
เขียนเมื่อ : 22 ก.ย. 54 06:21:21




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com