|
ข้อสัณนิษฐานที่มาของคำว่า สยาม
อัสสัม - อาหม
ในสมัยที่คนไทยังอยู่ในเขตอิทธิพลจีนนั้น จีนเรียกคนไทว่า เซียน หรือ เซียม ( และเคยเรียกว่า ฮวนนั้ง และ ไป่อี๋ ซึ่งเป็นคำที่จีนใช้เรียก พวกกลุ่มชนที่ด้อยกว่าทั้งหลาย ซึ่งคนไทก็รวมอยู่ในพวกนี้ด้วย) เมื่ออพยพเข้าไปอยู่ในบริเวณรัฐอัสสัมในปัจจุบัน ความเป็นเซียมก็ยังคงอยู่ แต่ก่อนที่คนไทจะเข้ามาอยู่ในแดนอัสสัมนั้น ต้องผ่านดินแดนกะฉิ่นในพม่าก่อน และอยู่ที่นั่นเป็นระยะเวลาที่นานพอสมควร คำว่า เซียม เซียน จึงเพี้ยนไปเป็น ซาม บริเวณที่คนไทอยู่ในรัฐกะฉิ่นคือแถบลุ่มแม่น้ำตุรุงปานี เรียกว่า เมืองม่านคำยัง คนไทกลุ่มนี้จึงเรียกตัวเองว่า ไตตุรุง หรือไตตุรง หรือไตรง ซึ่งเป็นพวกเดียวกับไทใหญ่ เมื่อเข้ามาในอัสสัมแล้ว คำว่า เซียม จึงเปลี่ยนไปเป็น ซาม ไปด้วย และในดินแดนอัสสัมในอดีตนั้น ถือว่าเป็นนครรัฐหนึ่งชื่อว่า กามรูป ซี่งคนที่นั่นไม่สามารถออกเสียง ส ได้ โดยจะออกเสียงเป็น ห แทน แต่ถ้าจะต้องออกเสียง ส ก็จะต้องหาพยัญชนะตัวอื่นมาเติมไว้ข้างหน้าตัว ส เพื่อให้คงเสียง ส ไว้เป็นเสียงตัวสะกด คำว่า ซาม หรือ สาม พยัญชนะที่นำมาประกอบหน้าตัว ส คือ อ ก็จะได้เสียงที่ออกว่า อ+ส = อส หรือ อัส เมื่อรวมกับ สาม ก็จะได้เป็น อาสาม อัสสาม หรือ อัสสัมแต่ถึงแม้จะนำตัว อ เข้ามาช่วยแล้วก็ตาม ชาวกามรูปก็ยังไม่สามารถออกเสียงให้เป็นอาสามได้ คำอาสามของชนพื้นเมืองจึงเป็น อาหาม และเพี้ยนมาเป็น อาหม ในเวลาต่อมา เมื่อคนไทถูกเรียกว่าอาหมนานๆเข้า ก็ยอมรับคำนี้มาเรียกตัวเองว่าอาหมไปโดยปริยาย
รัฐฉาน -ไทใหญ่
คำว่า เซียน หรือ เซียม ซึ่งเป็นชื่อที่คนจีนใช้เรียกคนไทนั้น เมื่อคนไทเข้ามาอยู่ในพม่า ก็กลายเสียงเป็นคำว่า ซายาม แต่ในภาษาพม่าจะมีตัวอักษรที่เทียบได้กับ สย คือ รห ซึ่งเป็นอักษรเฉพาะที่ออกเสียงว่า ซ (เช่นในภาษาไทยที่มีอักษรประสมคือ ทร แล้วอ่านออกเสียงเป็น ซ) ดังนั้น คนพม่าจึงออกเสียง สย ว่า ซ หรือ ช โดยมีเสียงที่ก้ำกึ่งกัน แต่จะหนักไปทาง ช มากกว่า สย จึงกลายเป็น ชย โดยออกเสียง ย น้อยมาก ชย จึงออกเสียงเป็น ช ดังนั้น คำว่า เซียม ในภาษาพม่าจึงกลายเป็น ชยาม หรือ ชาม แต่เพราะในภาษาพม่าไม่มีตัวสะกดแม่กน คำว่า ชาม จึงต้องออกเสียงเป็น ชาน แต่ยังคงตัวสะกดไว้อย่างเดิมคือแม่กม แต่ออกเสียงว่า ชาน และเรียกคนไทว่า ชาน เรียกเมืองที่คนไทอยู่ว่า รัฐชานหรือรัฐฉานจนถึงทุกวันนี้ แต่คนไทในรัฐฉานก็เรียกตัวเองว่า ไตโหลง (ไตหลวง หรือ ไทใหญ่) และเรียกเมืองของตัวเองว่า เมิงไต (เมืองไต) เมื่อฝรั่งได้ยินคำว่า ชาน ในภาษาพม่า ก็ถอดเสียงเป็นรูปอักษรว่า Shan ดังนั้น คำว่า ชาน ฉาน และ Shan จึงเป็นคำเดียวกับคำว่า เซียม ซาม
คนไตในรัฐกะฉิ่นเรียกตัวเองว่า ไตคำตี่หลง (คำตี่ คือ คำ = ทองคำ, ตี่ = ที่, หลง คือ หลวง) พม่าออกเสียงเป็น คันตีกยี คันตี คือ คำตี่, กยี คือ ใหญ่ หรือ หลวง คนไทในเมืองฉิ่งกะลิ่งคำตี่เรียกตัวเองว่า ลูกไต หรือ ไตคำตี่ ไม่มีหลง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าคนไทจะอยู่ในพื้นที่ใด ชนกลุ่มต่างๆในพม่าก็จะเรียกว่า ชาน เหมือนกันหมด แต่อาจจะเพี้ยนบ้างตามความแตกต่างของสำเนียงและอักขระวิธีของแต่ละพื้นที่
โกสามพี
ในรัฐฉานหรือเมิงไตนั้น ยังมีเมืองสำคัญและเก่าแก่อยู่เมืองหนึ่งคือ เมืองแสนหวี ซึ่งในอดีต เมืองนี้เคยเป็นอาณาจักรมาก่อนคือ อาณาจักรไตมาวหรือแสนหวี มีชื่อเต็มอย่างเป็นทางการว่า เมิงสิรีวิลาศะมหากัมโปจาเสนกนีกอสัมปี หรือ สิริวิลาศมหากัมโพชาสังฆีโกสามพี เรียกสั้นๆง่ายๆว่า กอสัมปี หรือโกสัมพี ซึ่งใช้เรียกรัฐฉานได้ทั้งหมด เพราะโกสามพีมีประวัติที่ยาวไกลและสืบสาวได้ถึงประมาณ ค.ศ.1200 และพม่าเรียกเมืองนี้ว่า โกชานปญี หมายถึงเมืองชาน (ไต) ทั้งเก้า (โก=เก้า, ปญี=เมือง, ชาน=ไต ทั้งหมดจึงแปลความได้ว่า รัฐไตทั้งเก้าเมือง) เนื่องจากในสมัยอาณาจักรแสนหวีนั้น มีการปกครองแบบสหพันธนครรัฐ มีเมืองที่อยู่ในอาณาจักร 9 เมือง มีเจ้าฟ้าปกครอง แต่ละเมืองก็จะมีเมืองขึ้นของตัวเอง มากบ้างน้อยบ้าง คำว่า โก จึงหมายถึง เก้า, สาม หมายถึง ซาม ชาม ชาน, พี หมายถึง เมือง และคำว่า สาม นั้น ในภายหลังจึงเพี้ยนเป็น แสน ส่วนคำว่า พี นั้น ก็เพี้ยนเป็น วี เมี่อตัด โก ออกจึงเป็น สามพี และกลายเป็น แสนหวี ในที่สุด
ลาวเฉียง
ปัจจุบันไม่ปรากฎว่ามีการใช้คำว่า ลาวเฉียง หลงเหลืออยู่แต่อย่างใด แต่คำนี้ได้ใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 หมายถึงคนไทที่อยู่ทางตอนเหนือขึ้นไปในเขตพายัพ ซึ่งคนไทยทางใต้เรียกพวกนี้ว่า ลาวเฉียง หมายรวมถึง คนไทยในภาคพายัพคือล้านนาทั้งหมด มีชื่อเรียกเป็นทางการว่า มณฑลลาวเฉียง ภายหลังจึงเปลี่ยนชื่อเป็นมณฑลพายัพ คำว่า เฉียง นี้ คนเมืองรับเอามาจากอิทธิพลพม่า สมัยที่ยังอยู่ในปกครองของพม่า โดยรับเอาคำว่า ชาน ของพม่ามา แต่เขียนด้วยวิธีพม่าคือ สยำ แต่ใช้วิธีออกเสียงของชาวล้านนา สยำ ออกเสียงว่า เสียง คำสะกดจึงเป็นแม่กง ไม่ใช่แม่กมหรือแม่กนเหมือนอย่างพม่า (ตัวยะ=สระอี, นิคหิต=แม่กง) อักษร สย ก็ออกเสียงเหมือนพม่าคือเป็นเสียง ช แต่ตามสำเนียงล้านนาออกเสียงสูงจึงกลายเป็นเสียง ฉ
ส้าน เสียน ในภาษาจีน
คนจีนเคยเรียกคนไทว่า ส้าน และเรียกรัฐฉานว่า ส้านปู้ มีอยู่ในพงศาวดารฮั่นเมื่อประมาณ พ.ศ.568 ซึ่งได้รวบรวมเรื่อง ของส้านไว้ในหมวดคนป่าคนเถื่อนที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้แถบมณฑลยูนนาน และความดังกล่าวได้ปรากฎเป็นบทแทรก อยู่ในเรื่องของประเทศอายหลาว หรือ อ้ายลาว อาณาเขตของส้าน (ประมาณ พ.ศ. 650)ครอบคลุมตอนบนของประเทศพม่าในรัฐกะฉิ่น และติดต่อกับมณฑลยูนนานของจีนซึ่งอยู่ในเขตปกครองตนเอง ไต - จิงป่อ (ปัจจุบันเป็นถิ่นฐานของชาวไต ตามชื่อที่ใช้เรียกนั้น) อาณาเขตของส้านในเขตพม่าดังกล่าวหมายถึงไตมาวโหลง ซึ่งกำลังเริ่มก่อตัวขึ้นเป็นอาณาจักรแสนหวีในระยะต้นนั่นเอง แต่หลัง พ.ศ.650 เป็นต้นมา คำว่าส้านก็หายไปจากบันทึกของจีนเป็นเวลานานมาก เพราะจีนเปลี่ยนมาเรียกคนไทว่า ฮวนนั้ง และ ไป่อี๋ ซึ่งมีความหมายว่า คนป่า คนไม่มีวัฒนธรรม ตามธรรมเนียมของผู้ที่มีอิทธิพลหรือความเจริญที่เหนือกว่า ซึ่งมักจะเรียกผู้ที่ด้อยกว่าในแนวความหมายดังกล่าว คำว่าส้าน มีปรากฎในบันทึกของจีนอีกครั้งในราวพ.ศ. 1400 แต่เปลี่ยนเป็น ถาน แต่ก็ยังเป็นเรื่องของชนชาวป่าอยู่นั่นเอง ประมาณ พ.ศ. 1800 คำว่าส้าน หรือ ถาน จึงหมายถึงสถานที่หรือเมืองของพวกไป่อี๋ ซึ่งคนจีนใช้เรียกคนไททางตอนบนของพม่าต่อเขตยูนนานจนถึงยุคสาธารณรัฐ จึงเปลี่ยนมาเรียก ไต ตามอย่างคนไทที่เรียกตัวเอง คำว่าส้านหรือส่าน ในภาษาจีนแปลว่าเมือง ในภาษาหนานเจ้า แปลว่า ลุ่มน้ำ คนจีนได้เอาความหมายทั้งสอง รวมเข้ามาไว้ในคำเดียวกันแปลว่า เมืองที่ตั้งอยู่บริเวณลุ่มน้ำ เนื่องจากคนไทตั้งแต่สมัยโบราณก็มักจะตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้กับแหล่งน้ำอยู่แล้ว คำว่า ส่าน ในที่นี้คงหมายความเฉพาะคนไททั่วๆไป เมี่อจีนได้คบค้ากับสุโขทัย ซึ่งก่อตั้งเป็นอาณาจักรขึ้นมาแล้ว จีนก็เรียกว่า เซียน ตามอย่างเขมร จามปา และมอญ ที่เรียกคนไทว่า เซียม แต่ในขณะเดียวกันจีนก็ยังคงเรียกไทใหญ่ ไทเมาว่า ส้าน อยู่เหมือนเดิม ประเทศเซียนที่คนจีนใช้เรียกนั้นหมายถึงอาณาจักรสุโขทัย แต่เมืองที่อยู่ต่ำลงมา จีนเรียกว่า หลอหู (ละโว้) ในสมัยต่อมา เมื่อมีการรวมดินแดนทั้งสองเข้าไว้ด้วยกันแล้ว จีนจึงเรียกใหม่ว่า เซียนหลอหู คำว่าเซียนนี้ มีที่มาต่างจากคำว่าส้าน เซียนเป็นคำที่มีความหมายในทางที่ดีคือ พระ อาทิตย์ขึ้น ซึ่งพ้องกันพอดีกีบความหมายของสุโขทัย ซึ่งก็แปลว่าพระอาทิตย์ขึ้น (อย่างมีความสุข=สุข + อุทัย) เหมือนกัน ดังนั้นคำว่าเซียนและส้าน จึงเป็นคำคนละคำกันอย่างเด็ดขาด มีที่มาและความหมายคนละอย่าง
เนะ สยำกุก
ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ชาวเขมรเรียกคนไทว่า สยำ แต่ออกเสียงว่า เซียม, เซม, ซีม ตามสำเนียงของแต่ละพื้นที่ เรียกไทใหญ่ว่า เซียมธม (ธม แปลว่า ใหญ่) ที่ระเบียงนอกของวิหารนครวัด พบภาพสลักซึ่งบ่งบอกได้แน่นอนว่าหมายถึงคนสยาม ภาพดังกล่าวก็ได้มีการสลักบอกไว้ด้วยว่า เนะ สยำกุก แปลว่า นี่คือชาวสยาม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ที่ยกไปรบกับอาณาจักรจาม แต่ผู้ที่ศึกษาโบราณคดีและประวัติศาสตร์ในยุคแรกนั้น ยังเป็นฝรั่งเสียเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญคือ นายยอร์ช เซเดย์ แต่ส่วนมากก็ไม่ได้ศึกษาให้ลึกลงไปในรายละเอียด ทำให้มีการสรุปกันตามประสาฝรั่งที่ไม่รู้ถึง วัฒนธรรมเก่าแก่ของเอเชียมากนัก ต่อมาจึงทำให้นักศึกษาประวัติศาสตร์ชาวไทยต่างพากันเชื่อฝรั่งกันไปหมด โดยสรุปกันออกมาว่า ชาวไทยในภาพนั้นคือนักรบรับจ้าง และยังมีปัญหาที่ยังคิดกันไม่ออกคือ คำว่ากุก หมายถึงอะไร
แต่เมื่อพิจารณาถึงการออกเสียงตามอักขระวิธีของเขมรแล้ว จะพบว่า สระอุในภาษาเขมรออกเสียง โอะ ดังนั้น กุก จึงออก เสียงว่า โกก หรือ กก ดังนั้น คำที่เขียนว่า สยำกุก ในภาษาเขมรจึงออกเสียงว่า เซียมกก แน่นอนว่า เซียมคือสยาม แล้วกกหมายถึงอะไร เมื่อพิจารณาถึงเครื่องแต่งกายที่ปรากฎอยู่ในภาพนั้น แล้วเทียบกับวรรณคดีเรื่องท้าวฮุ่งก็จะพบว่า เป็นเครื่องแต่งกายของคนที่อยู่ทางลุ่มแม่น้ำกก ซึ่งบรรยายลักษณะเครื่องแต่งกายของคนไทในสมัยนั้นเอาไว้ ซึ่งมีความคล้ายคลึงกันมาก รวมทั้งการใช้เครื่องประดับเพื่อแสดงฐานะทางสังคม ที่สำคัญคือ ร่ม ซึ่งเป็นเครื่องบ่งบอกฐานะของคนในยุคโบราณ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่อยู่ทางตอนเหนือรวมถึงในสมัยท้าวฮุ่งด้วย การเรียกคนไตในสมัยโบราณก็อาจจะแบ่งเรียกตามพื้นที่ที่อาศัยอยู่เช่น ไตรุง หรือ ไตรง คือ คนไตที่อยู่ทางแม่น้ำตุรุงปานี ไตอาหมในอัสสัม จึงไม่แปลกอะไรถ้า สยำกุก (เซียมกก) จะหมายถึงคนไตที่อยู่ทางลุ่มแม่น้ำกก กองทหารดังกล่าวก็คือทหารจากลุ่มแม่น้ำกก ลงมาช่วยเขมรรบกับจาม กองทหารดังกล่าวจึงไม่น่าเป็นกองทหารรับจ้างรบ เพราะเขมรคงจะมีความภูมิใจในกองทหารกองนี้มิใช่น้อย ถึงกับต้องสลักภาพเอาไว้อย่างวิจิตรบรรจง ประนีตสวยงาม และบอกเอาไว้ด้วยความยกย่องว่า เนะ สยำกุก
สยามประเทศ - สามเทสะ
ชื่อที่ชนต่างชาติเรียกคนไทว่า ซาม-เซียม นั้น ปรากฏขึ้นในภาษาไทยทางวงการนักปราชญ์ภาษาบาลีก่อน คือเรียกตามสำเนียงบาลี-สันสกฤตว่า สาม หรือ สยาม
ในยุคโบราณ ภาษาบาลีเป็นภาษาต่างประเทศที่นักศึกษาจะต้องเรียนเป็นภาษาเอก (เช่นเดียวกับภาษาอังกฤษในปัจจุบัน) ทั้งในไทย มอญ พม่า ลาว (รวมทั้งกัมพูชาในยุค พ.ศ. ๑๙๐๐ ลงมา) ศูนย์กลางของภาษาบาลีในยุคโบราณคือ ลังกา ภิกษุไทย-มอญ-พม่า ล้วนไปศึกษาธรรมวินัยจากที่นั่นจนเกิดนิกายพุทธศาสนาที่เป็นแบบลังกาขึ้นในบริเวณมอญ-พม่า-ไทย ตั้งแต่ พ.ศ. ๑๖๐๐
วงการภาษาบาลีของลังกานั้น เรียกดินแดนไทยว่า สยาม หรือ สาม การติดต่อระหว่างไทยกับลังกาในปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาเมื่อคราวที่ไทยส่งพระอุบาลีออกไปตั้งนิกายสยามวงศ์ เมื่อพ.ศ. ๒๒๙๕ นั้น สาส์นติดต่อซึ่งเขียนเป็นภาษาบาลีทั้งสองฝ่ายก็ใช้คำ สยาม และ สาม ระคนกัน
ในสมัยสุโขทัย มีภิกษุสงฆ์ของไทยทั้งในล้านนาและสุโขทัยไปศึกษาพระธรรมวินัยในลังกามาก เป็นต้นว่าทางสุโขทัยก็มีพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามณีศรีรัตนลังกาทวีป หลานของพ่อขุนผาเมือง ทำให้เข้าใจว่าวงการบาลีของลังกาจะได้เรียกคนไทยว่า สาม-สยาม มาแล้วแต่ครั้งนั้น หรือแม้ก่อนหน้านั้น
ภาษาบาลีนั้นเป็นภาษาต่างประเทศ เมื่อวงการพุทธศาสนาไทยใช้ภาษาบาลี การจะพูดถึงเมืองไทยก็ย่อมต้องใช้คำของบาลีที่ใช้กันอยู่ทั่วๆไปทั้งในลังกาและที่อื่น จึงเชื่อว่าพวกนักปราชญ์ภาษาบาลีของไทย ทั้งล้านนาและสุโขทัย น่าจะรับเอาคำ สยาม หรือ สาม มาจากบาลีลังกาอีกทอดหนึ่งมากกกว่าจะคิดขึ้นเอง
คำว่า สยามประเทศ หรือ สามเทสะ จึงใช้มาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ทางเอกสารของไทยเราเอง คำที่เก่าแก่ที่สุดที่พบแล้ว มีปรากฏอยู่ในหนังสือ รัตนพิมพวงศ์ หรือตำนานพระแก้วมรกต ซึ่งพระพรหมราชปัญญาแห่งศรีสัชนาลัยแต่งขึ้นเป็นภาษาบาลี เมื่อ พ.ศ. ๑๙๗๒ ซึ่งในหนังสือนั้นใช้ปนกันทั้งรูป สามะ และ สยามะ และหนังสือ ชินกาลมาลีปกรณ์ อันเป็นวิทยานิพนธ์ทางประวัติพุทธศาสนาในล้านนาที่สำคัญเรื่องหนึ่ง ซึ่งภิกษุรัตนปัญญาแต่งขึ้นเป็นภาษาบาลี เมื่อ พ.ศ. ๒๐๕๙ ก็ปรากฏการเรียกเช่นนี้ด้วยเช่นกัน จะเห็นว่าในช่วงแรกนั้น คำว่า สยาม หรือ สาม มักปรากฏในคัมภีร์ทางศาสนาหรือวรรณกรรมบาลี แต่จะมาเริ่มใช้เรียกกันโดยทั่วไปในยุคหลัง
จนกระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ เมื่อพระองค์ได้ขึ้นเสวยราชย์แล้ว ก็เริ่มใช้คำว่า สยาม เป็นชื่อราชอาณาจักรในการติดต่อกับต่างประเทศ (อย่างเป็นทางการ) พระองค์ได้หล่อพระสยามเทวาธิราชขึ้นเป็นตัวแทนวิญญาณของเทวดาผู้รักษาราชบัลลังก์สยาม พระองค์เองก็ใช้นามในภาษาละตินว่า Rex Siamen Sium ยิ่งไปกว่านั้น ยังได้คิดดวงตราหรือพระราชลัญจกรขึ้นดวงหนึ่งสำหรับประทับพระราชสาส์นไปยังราชสำนักจีนโดยเฉพาะ ในดวงตรานั้นมีอักษรเขียนว่า สยามโลกัคคราช (สยาม+โลก+อัคค+ราช = ผู้เป็นใหญ่แห่งแผ่นดินสยาม) คำว่า สยามโลกัคคราช นี้เป็นคำที่เกิดจาการเลียนเสียงภาษาจีนที่ออกตามสำเนียงแต้จิ๋วว่า เสี้ยมหลอก๊กอ๋อง ซึ่งแปลว่า เจ้าแห่งประเทศเสี้ยมหลอ สยามโลกัคค นั้นถ่ายเสียงออกมาจาก เสี้ยมหลอก๊ก ส่วน อ๋อง นั้น แปลเป็นบาลีว่า ราช แต่ตราดวงนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ เพราะได้ยกเลิกประเพณีจิ้มก้อง(ส่งบรรณาการ)แก่ราชสำนักจีน เนื่องจากอิทธิพลของประเทศตะวันตกล่าเมืองขึ้นเข้ามาครอบครองบริเวณนี้แทนอิทธิพลของจีนเสียแล้ว
ข้อสัณนิษฐานเกี่ยวกับคำต้นกำเนิดของคำว่า สยาม
ก่อนที่เราจะตามล่าหาที่มาของคำว่าสยามกันต่อไปนั้น อยากจะขอสรุปเอาไว้ชั้นหนึ่งก่อนว่า ชนชาติต่างๆในเอเชียที่มีคน ไท ไต ตั้งรกรากอยู่นั้น เรียกคนไท - ไตว่าอย่างไรกันบ้าง ตามตารางดังนี้
ชนชาติ คำเรียกชนชาติไท คำเรียกคนไทยในประเทศไทย กะฉิ่น (ในพม่า) ซาม - กะฉิ่น (ในยูนนาน) ซาม - อะฉ่าง (ในพม่า) ซาม - ปะหล่อง (ในพม่า) ซิ-อาม - ข่าหมุ (ในยูนนาน) ซ-ยาม - ละว้า (ในยูนนาน) เซียม - ละว้า (ในพม่า) เซน - มอญ เซม , ซีม - พม่า ชาน - จีนกลาง ส้าน เซียน จีนกวางตุ้ง สิ่ม สิ่ม จีนแต้จิ๋ว เซี้ยง เสี่ยม เขมร - เซียม , เซม , ซีม จีนแคะ - เสี่ยม เวียดนาม - เซียม , ซีม จาม - เซียม , ซยีม มลายู - เซียม , ซีแญ
ภาษามอญ เรียก เซม หรือ ซีม ภาษาพม่า เรียก ชาน ภาษากะฉิ่น เรียก ซาม (ไตเรียกกะฉิ่นว่า ขาง หรือ ข่าขาง) ภาษาว้า (ละว้า) เรียก เชน ส่วนในประเทศจีน ก็มีชนกลุ่มน้อยที่ใกล้ชิดคนไตเหนอ(ไตเหนือ)ในเขตปกครองตนเองไต - จิงป่อ และไตลื้อ ในเขตปกครองตนเอง ไต-สิบสองปันนามาก และมีสำเนียงเรียกคนไทที่ต่างกันคือ ภาษาจิงป่อ เรียก ซาม ภาษาว้า (ละว้า) เรียก เซียม (เรียกไม่เหมือนพวกว้าในพม่า) ภาษาข่าหมุหรือขมุ เรียก ซยาม (จิงป่อ เป็นพวกเดียวกับกะฉิ่นในพม่า อยู่ในเขตปกครองตนเอง ไต - จิงป่อ) คนไทในจิงป่อเรียกตัวเองว่า ไตเหนอ (เหนือ) ไทใหญ่เรียกคนไทในจิงป่อว่า ไตแข่ ( แข่แปลว่าจีน ) พม่าเรียก ชานตยก คำว่า ตยก นี้ ในภาษาพม่าหมายถึงจีน แต่หมายถึงชาวเติร์ก เนื่องจากเมื่อกุบไลข่านยกทัพลงมาตีพุกามนั้น ในกองทัพมีชาวเติร์กมากกว่ามองโกล พม่าจึงเรียกผู้รุกรานที่มาจากทางเหนือในครั้งนั้นว่า ตยก แม้ในสงครามสมัยราชวงศ์หมิง พม่าก็ยังคงเรียกกองทัพจากทางเหนือว่า ตยก แล้วจีงเหมารวมเรียกคนจีนว่า ตยก ตั้งแต่นั้นมา ภาษามอญเพี้ยนเป็น เจอยจ และเพี้ยนเป็น เจ๊ก ในภาษาไทย ปัจจุบันภาษามอญยังเรียกคนเชื้อชาติไตรวมทั้งคนไทยทั้งหมดว่า เซม หรือ ซีม เหมือนกันหมด โดยไม่แบ่งว่าจะเป็นคนไตในท้องที่ใด แต่สำหรับประเทศไทยปัจจุบัน พม่าแบ่งเรียกคนไทยเฉพาะเจาะจงลงไป โดยทางตอนใต้ลงมา (ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา) เรียกว่า โยเดีย (คือ อยุธยา ) และเรียกคนไทยทางเหนือขึ้นไปว่า ชานยวน หรือ ยูน หรือโยน ( คือ โยนก ) รวมทั้ง เรียกคนไตในจีนและที่อื่นๆนอกประเทศไทยในปัจจุบันว่า ชาน เหมือนกันทั้งหมด
ถึงตรงนี้เราจึงพอสรุปได้แล้วว่า ต้นกำเนิดของคำว่า สยาม ที่ออกเสียงแตกต่างกันต่างๆนาๆในหลายๆภาษานั้น คำดั้งเดิมน่าจะเป็นคำที่มีพยัญชนะต้นเป็น ซ หรือ ส หรือ สย และมีตัวสะกดเป็นแม่กม มีรูปสระคือ เอ-อี-เอีย เมื่อประกอบเป็นคำก็จะเป็น เซียม-เสียม-เสยียม-ซยาม-ซาม-เซม-ซีม
จิตร ภูมิศักดิ์ สัณนิษฐานว่าคำที่เป็นต้นกำเนิดของคำต่างๆในตาราง น่าจะมาจากคำว่า ซำ ความหมายของคำๆนี้ก็ยังคงอยู่เช่นเดิม นั่นคือ หมายถึงพื้นที่ที่มีน้ำซึมออกมาจากดิน บางที่ก็กินพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง และเก็บน้ำได้เพียงพอแก่การดำรงชีพ ตามหลักฐานของจีนโบราณก็บ่งบอกว่า คนกลุ่มนี้ชอบตั้งหลักแหล่งอยู่ตามซำ ซึ่งมีอยู่มากมายหลายแห่งทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน คนทั่วไปจึงเรียกคนที่อยู่ตามที่ลักษณะนี้ว่า คนซำ ตามแหล่งที่อยู่ในสมัยต่อมา พวกซำกลายเป็นพวกแรก (ที่ไม่ใช่จีน) ที่สามารถพัฒนาตนเองจนพ้นสภาพการดำรงชีพแบบดั้งเดิมบรรพกาล เริ่มมีการพัฒนาทางด้านการเกษตร โดยใช้เทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาช่วย เริ่มมีการจับจองที่ดิน และหวงแหนที่ดิน สร้างระบบปกครองแบบสังคมเมือง และการอยู่รวมกันแทนการอยู่แบบต่างคนต่างอยู่ในแต่ละครอบครัวอย่างแต่ก่อน ทำให้คนซำเริ่มมีความสำคัญมากขึ้น และชนชาติต่างๆก็เรียกชนกลุ่มนี้เพี้ยนตามสำเนียงภาษาตนดังได้กล่าวมาแล้วในตอนต้น
ที่มา: dek-d.com/bord
จากคุณ |
:
โรงเรียนลูกผู้ชาย
|
เขียนเมื่อ |
:
30 ก.ย. 54 01:07:53
|
|
|
|
|