ความคิดเห็นที่ 1 อยู่ต่างประเทศ? อยู่จีนหรือเปล่า? เรื่องอาหารแนะนำลำบากถ้าไม่อยู่ประเทศเดียวกัน คือตอนเราอยู่ยุโรปเราก็เลือกซื้ออาหารอย่างหนึ่ง พอมาอยู่ไทยก็ต้องปรับเปลี่ยนแล้วใช้วัตถุุดิบบางอย่างที่ใช้แทนกันได้ เรื่องแนะนำส่วนใหญ่เราอ่านจากตำราภาษาอังกฤษนะ แต่ถ้าเราเจอฉบับแปลเป็นไทยที่ไหนดีๆเราจะแนะนำให้คุณ จริงๆแล้วเราพอรู้ทฤษฎีการแพทย์ของจีนอยู่บ้าง แต่เราไม่ได้เรียนเจาะลงลึกถึงขนาดแทงเข็มได้หรือใช้สมุนไพรจีนได้มากนัก ถึงแม้ว่าการแทงเข็มหรือใช้สมุนไพรจะเป็นการรักษาแบบธรรมชาติก็จริง แต่มันก็ยังจัดอยู่ในระดับ symptomatic medicine (คือยังต้องมีการทำลายอาการอยู่บ้าง) เผอิญโชคดีที่เราใช้แค่ทฤษฎี Wu Xing และรู้เรื่องโยคะ กับ Qi Gong (การเดินลมปราณ) อยู่บ้างพอสมควร เราเลยรักษาตัวเองที่ต้นตอ (โดยไม่ต้องใช้ symptomatic medicine) ได้โดยไม่ต้องเจาะลึกขนาดแทงเข็มหรือใช้สมุนไพรจีน เรื่องสายตาจะบอกเคล็ดลับให้ แพทย์จีนที่เก่งวิชาแทงเข็มสามารถใช้เข็มแทงที่หัวคนไข้ แล้วคนไข้ตาเขเข้าเขออกทันทีเดี๋ยวนั้นได้อย่างน่ามหัศจรรย์! เราเห็นเขาสาธิตให้ดูตอน President Nixon ไปเยือนจีน แล้วเขาถ่าย video มาออกทีวีทั่วโลก เราดูจาก bbc ตอนนั้น งงเลยแฮะ เรื่องพลังในร่างมนุษย์นี่เร้นลับมากๆเลยหละ แต่ในส่วนของ Zen Macrobiotics เขาบอกว่าอาหารบางอย่างทำให้สายตาคุณสั้นลงหรือยาวขึ้นได้อย่างน่าประหลาด เพราะพลัง yin มันดันให้ cells กระจายออก ส่วนพลัง yang มันบีบให้ cells กระชับตัว ดังนั้น the shape of the eyeballs (รูปทรงของลูกตา) มันเปลี่ยนไปได้เพราะพฤติกรรมการดินอาหาร ทำให้ focal length เปลี่ยนไปได้ มันก็เลยทำให้สายตาสั้นยาวได้ ดังนั้นการเปลี่ยนความสั้นยาวด้วยการควบคุมอาหารจึงเป็นไปได้ตามหลักวิทยาศาสต์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์แต่อย่างใด ^ จริงๆแล้วพลัง ying กับ yang ของอาหาร มันไม่น่าจะออกฤทธิ์รวดเร็วขนาดเอาเข็มแทงให้เปลี่ยนทางเดินของ qi (ลมปราณ) แล้วตาเขเข้าเขออกแบบนั้นหรอก แต่เผอิญเราเจอประสบการณ์ที่น่าตกใจมากๆ จนไม่กล้ากินน้ำตาลแรงๆหวานๆจัดๆอีกเลยในชีวิต นั่นก็คิอ เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว เราไปดูหนังกำลังภายในที่ใน chinatown ใน London มันเป็นช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์ เราแบกสุราจีนดีกรีสูงๆกับขนมไหว้พระจันทร์เป็นเม็ดบัวบดหวานๆมีใส้เป็นไข่เยี่ยวม้า ทำเป็นลูกๆเหมือนไข่เป็ดอบ ดูหนังไปสวาปามสุรากับขนมหวานเข้าไปหมดถาดใหญ่ๆดื่มสุราหมดขวดไปเลย พอดูหนังจบ ไปขึ้นรถไฟใต้ดิน เคยมองข้ามรางรถไฟไปที่ผนังระยะประมาณ 3-5 เมตรเราจะอ่านโฆษณาตัวใหญ่ๆเห็น แต่โหวันนั้นนะ "ภาพมันเบลออ่านหนังสือแทบไม่ออกเลยสักตัวหนึ่ง" เรากลับไปบ้านแล้วตกใจมากๆจึงเริ่มกินอาหารด้วยแผน diet No.7 ของ Zen Macrobiotics ซึ่งถ้าไม่จำเป็นแล้วเราจะไม่กินอาหารแบบนี้เลย เพราะมันไม่อร่อยเอาซะเลย นั่นก็คือกินแต่ธัญพืชแบบมีรำข้าวติด (whole grains) ล้วนๆ แล้วไม่กินน้ำเลย มหัศจรรย์จริงๆ diet No.7 ได้ผลแฮะ สายตาเรากลับคืนสู่สภาพปกติได้ภายในเวลา 24 ชม. อีกไม่กี่วันเราลองใหม่เพื่อซื้อความรู้ เรากลับไปกินสุราจีนแรงๆหมดทั้งขวดกับขนมหวานแบบเดิมเป็นถาดใหญ่ๆเหมือนที่เคยทำ พอตาพร่าแล้วไม่ยอมกิน diet No.7 ผลก็คือ "ตาเราพร่าอยู่เกือบเป็นเดือนแน่ะ" นี่ถ้าเราไม่กินอาหาร macrobiotic ตาเราคงพร่าอยู่แบบนั้นอีกนานมากๆ สรุปแล้วน้ำตาลรสหวานจัดๆเป็นอันตรายต่อสายตามนุษย์อย่างแท้จริง เราเรียนรู้ด้วยการลองผิดลองถูก กว่าจะได้ความรู้มามันก็เจ็บตัวไปหลายครั้งน่ะ...555+++... อยากให้คุณพยายามเรียนการแพทย์แผนจีนให้เก่งๆ มันมีประโยชน์มากๆ กลับมาเมืองไทยบางทีเราจะแลกเปลี่ยนความรู้กันได้ เราพยายามเรียนภาษาจีน เคยเรียนแล้วลืมไปเกือบหมด ถ้าคุณเก่งภาษาจีนบางทีเราจะแลกความรู้ภาษาอังกฤษของเรากับภาษาจีนของคุณก็ได้นะ ขอให้โขคดี จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 19:21:19

ความคิดเห็นที่ 2 มาปูเสื่อรอคุณ fortuneteller เหมือนกันค่ะ คุณแม่ของเรากินมังสวิรัติ เราอยากทำอาหารที่คุณแม่ทานได้อย่างสบายใจให้คุณแม่มั่ง^^ จากคุณ : pasteque เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 19:28:31

ความคิดเห็นที่ 3 คนที่เป็นปรมาจารย์ด้านการรักษาโรคโดยไม่ใช้ symptomatic medicine เลยได้สำเร็จ ก็คือ Sagen Ishizuka ผู้เป็นอาจารย์ของ Manabu Nishibata ซึ่งเป็นอาจารย์ ของ George Ohsawa Sagen Ishizuka เรียนมาด้านการแพทย์แผนปัจจุบัน และเป็นแพทย์ทหาร เขาเป็นหมอทหารมา 22 ปี และในช่วงนั้นเขาใช้การแพทย์แผนปัจจุบันรักษาคนไข้มาโดยตลอด แล้วเริ่มคิดขึ้นมาได้ว่า "มันน่าจะมีวิธีรักษาโรคที่ง่ายๆกว่านี้อีกหลายๆเท่าที่ทรมาณน้อยกว่า และสิ้นเปลืองน้อยกว่า"  พอเกษีณอายุเขารับรักษาคนไข้ฟรีโดยไม่ใช้ยาเลย ใครป่วยมาหาเขา เขาก็แนะนำให้กินอาหารตามแบบที่เหมาะกับคนไข้แต่ละคน และแนะนำให้ออกกำลังกายหรือใช้ธรรมชาติบำบัดอย่างอื่น แนวคิดของเขาเป็นต้นกำเนิดของวิชา Zen Macrobiotics ไปอ่านประวัติเขาได้ที่นี่ http://en.wikipedia.org/wiki/Sagen_Ishizuka จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 19:34:52

ความคิดเห็นที่ 4 อยู่จีนครับ อาหารการกินลำบากมากครับ อย่างร้านข้างนอก ถ้าสั่งผัดผัก จะได้ผักชุบน้ำมันมาครับ ไม่ก็เค็มมากๆ ครับ(เห็นเกลือเป็นเม็ดๆ) ก็เลยทำกินเองเลยจบ สะอาดกว่า ปลอดภัยกว่า ได้ทำตามใจตัวเองด้วย ตอนนี้ผมเรียนอยู่ปีสองเองครับ ปีแรกจะเรียนแค่ทฤษฎีพื้นฐาน หยินหยาง อู่สิง อวัยวะต่างๆ(เรียนAnatomy ด้วยครับ) การวินิจฉัยโรค และก็พวกวิทยาศาสตร์การแพทย์(แผนปัจจุบัน) ตอนนี้เรียนยาจีนอยู่ครับ ปีหน้าถึงจะเริ่มเรียนฝังเข็ม แล้วก็ฝึกงานครับ ชี่กง เป็นวิชาเลือก ก็เรียนอยู่ แต่แค่แบบง่ายๆนะครับ ที่เป็นแล้วก็มีไทเก็ก 24 กับรำดาบ พื้นฐาน ครับ ความรู้ยังต้องตักตวงอีกเยอะครับ จะพยายามเรียนให้ดีที่สุดครับ ส่วนภาษาจีนก็ งูๆปลาๆครับ พอฟังรู้เรื่อง พูดได้ เขียนได้ ครับ แต่ก็ยังมีที่ไม่รู้เรื่องอีกเยอะครับ ไม่ได้เก่งมากเลยครับ ปลื้มใจมากๆที่คุณ fortuntellerให้เกียรติผม ขอบคุณมากๆเลยนะครับ เรื่องหนังสือ ถ้าเจอแปลไทยดีๆ ก็รบกวนกระซิบมาบอกกันด้วยนะครับ ทางอีเมลล์สะดวกไหมครับ ผมเป็นแค่บัตรผ่านหนะครับ ยังไม่ได้สมัครสมาชิก อีเมลล์นะครับ iknowyoucansmile@gmail.com จากคุณ : DekSuan เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 20:40:41 A:210.38.110.198 X: TicketID:332988

ความคิดเห็นที่ 5 ปกติกินอาหารออร์แกนิกอยู่แล้ว ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ ไก่ เป็ดนานๆที กินแต่ปลา เอาใจช่วยเจ้าของกระทู้นะคะ ค่อยๆปรับเปลี่ยนไป อยากสุขภาพดีไม่จำเป็นต้องกินแต่ของแพงๆเสมอไปนะคะ ลองปรับให้เข้ากับงบของคุณก็ได้ค่ะ จากคุณ : ดอกแก้วกะหนุงกะหนิง เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 20:41:42

ความคิดเห็นที่ 6 อ้อ แต่ยังงัยก็รบกวนช่วยแนะนำเมนูง่ายๆได้ไหมครับ (วัตถุดิบน่าจะพอหาได้อะครับ) แล้วก็พวก ของทานเล่นอะครับ คือเป็นโรคกระเพาะ อะครับ หิวบ่อย ท้องก็อืดมากมาย ขอบคุณครับผม แล้วก็ ยินดีต้อนรับครับคุณpasteque มาปูเสื่อรอเมนูคุณ fortunetellerกัน ครับ จากคุณ : DekSuan เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 20:46:10 A:210.38.110.198 X: TicketID:332988

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณครับ คุณดอกแก้วกะหนุงกะหนิง ที่เป็นกำลังใจให้ แหะๆ ผมก็ไม่ได้เก่งอะไรมากครับ ก็ยังตามใจปากอยู่เหมือนกันครับ ( นม เนย ชีส ของโปรดทั้งน้านนนน) จากคุณ : DekSuan เขียนเมื่อ : 11 ต.ค. 54 20:51:05 A:210.38.110.198 X: TicketID:332988

ความคิดเห็นที่ 8 ระวังธาตุไฟกะลมปรานแตกซ่านกันเด้อ เป็นห่วง :P จากคุณ : Nobitalover เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 00:16:59

ความคิดเห็นที่ 9 อ้าวิชาที่คุณ DekSuan น่าสนใจมากๆเลยหละ เราก็เคยวางแผนว่าจะไปเรียนเรื่องพวกนี้ที่จีน เราเดินทางจากยุโรปมาไทยกะจะพักผ่อนซักหน่อยแล้วจะไปจีนต่อ ไม่รู้ทำอีท่าไหน ไปไม่ถึงซักที...555+++...รู้จักคุณก็ดีแล้วเผื่อเราจะได้ติดต่อแลกเปลี่ยนความรู้กัน เดี๋ยวเราจะพยายามมองๆหาหนังสือภาษาไทยให้ ถ้าได้ไงแล้วจะติดต่อไป สวัสดีคุณ pasteque กับคุณดอกแก้วกะหนุงกะหนิง ยินดีที่ได้รู้จักคนที่ชอบอาหารธรรมชาติเหมือนกันนะ เรื่องโรคกะเพาะของคุณ DekSuan นี้เราว่ารักษาง่ายมากๆเลยหละ เมื่อหลายปีมาแล้วเรามีแฟนคนหนึ่งเธอเป็นโรคกระเพาะมาตั้งแต่เรียน ม.6 แล้วเป็นมาตลอดตอนเรียนมหาลัย 4 ปี จบมา รักษามาตลอดด้วยยาที่โรงพยาบาลดังๆแต่ไม่หาย แต่เราเอาอาหาร macrobiotic ให้เธอกิน 3 เดือนหายขาดเลย ตอนไปเอ็กซ์เรย์หมอซึ่งก็เป็นเพื่อนเธอที่เรียนมหาลัยเดียวกัน (แต่เรียนคนละคณะ) ก็งงเลยว่ามันหายไปเองได้ยังไงกัน...!!!??   เท่าที่จำได้รู้สึกว่าเราเคยเขียน blog เดิมเรื่องเคล็ดลับในการรักษาภูมิแพ้หรืออะไรทำนองนี้หละ แต่เผอิญมันใช้รักษาโรคกระเพาะได้ด้วยสิ (สูตรเดียวกันเลย) พอปิด blog เดิมไปแล้วไม่ได้เขียนอีก แต่จำได้ว่าเราเคยแปะไว้ให้คนอยากลดความอ้วน (เพราะมันใช้ลดความอ้วนได้ด้วย) เดี๋ยวขอคิดดูก่อนว่าจะไปงมที่ไหนมาให้ดีเอ๋ย.... อ้าหาเจอแล้ว มันคือกระทู้เก่าอันนี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/07/K9466548/K9466548.html ^ คุณ DekSuan ลองตาม link ข้างบนนี้ เราเขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษก่อน แล้วค่อยแปลเป็นไทยเล่นสนุกๆ วิธีการที่ว่านั้นใช้รักษาได้ 4 อย่างคือ 1. รักษาปวดหัวไมเกรน 2. รักษาภูมิแพ้ 3. รักษาอาการอ้วน 4. เผอิญนึกขึ้นมาได้ว่ารักษาโรคกระเพาะได้ด้วย เพราะหลักการเป็นเป็นการลดกรดเหมือนๆกัน นั่นเอง คุณ DekSuan ลองตาม link นั้นไปอ่าน แล้วเอาไปฝึกดู เน้นเรื่อง "การเคี้ยวอาหารละเอียดสำคัญมากๆ" ^ พูดง่ายแต่ทำยากมากๆ แต่ถ้าทำได้นะ วันไหนถ้าคุณปวดท้องมากๆ แล้วคุณเคี้ยวข้าวกล้องแบบออแกนิกละเอียดๆมากๆจนเป็นน้ำ แล้วกลืนลงไป คุณจะสังเกตเห็นได้ทันทีว่า "อาการปวดมันทุเลาลงทันที จนหายไปเลยก็เป็นไปได้!" จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 00:33:13

ความคิดเห็นที่ 10 เอ่อเพิ่งอ่านทวน บทความนั้นมีแต่วิธีเคี้ยวอาหารละเอียด(ซึ่งมันลดกรดได้อยู่แล้ว) แต่บทความที่แนะนำว่าควรงดอาหารประเภทไหนที่สร้างกรดจนทำให้ปวดหัวไมเกรน หรือก่อให้เกิดภูมิแพ้ (ซึ่งน่าจะทำให้เป็นโรคกระเพาะด้วย) มันหายไปแฮะ ไม่รู้ไปเขียนไว้ที่ไหน เดี๋ยวจะลองหาดูใหม่นะ จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 00:38:15

ความคิดเห็นที่ 11 เอ่อโชคดี หาเจอแล้วหละ คือกระทู้เก่าอันนี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2010/09/K9666492/K9666492.html ^ ลองเข้าไปอ่านดู อาหารที่แนะนำว่าให้งดเป็นอาหารที่สร้างกรดอย่างแรงจนปวดหัวไมเกรน และมันสร้างสภาวะ yin อย่างรุนแรงในร่างกายจนลดภูมิคุ้มกันจนทำให้ป่วยเป็นภูมิแพ้ ถ้าคุณ DekSuan งดอาหารต้องห้ามดังกล่าวในกระทู้นี้ บวกกับฝึกเคี้ยวละเอียดในบทความอีกบทความหนึ่งโรคกระเพาะคุณน่าจะหายไปได้เองโดยไม่ต้องใช้ยาอะไรรักษาเลยหละ! เผอิญบทความนี้เราแปลข้อ 7 (ที่สำคัญมากๆ) ตกไป ตอนเขียนที่นั่น เลยแปลให้ใหม่ที่นี่ 7) spicy food such as curry or food with lots of chilies, refined sugar and lime juice (most Thai dishes belong to this category); 7) อาหารที่มีเครื่องเทศรสจัดๆมากๆ เช่นแกงเผ็ดหรืออาหารที่มีพริก น้ำตาลฟอกสี และน้ำมะนาวมากๆ (ซึ่งอาหารไทยหลายๆอย่างจัดอยู่ในประเภทนี้) ..................................................................... หมายเหตุ สมัยเราเผยแพร่เทคนิคพวกนี้ใหม่ๆ พวกห้องลุมพินีกับห้องก้นครัวบอกว่า "ชีวิตเราคงอับเฉาเพราะกินไอ้โน่นก็ไม่ได้ กินไอ้นี่ก็ไม่ได้" ^ แต่หลังจากฝึก Zen Macrobiotics มาแล้วหลายปี ร่างกายเรากลายเป็นสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้อย่างน่าประหลาด อาหารที่เคยเป็นอาหารต้องห้ามของเรา ตอนนี้เรากินได้หมดโดยไม่ออกอาการป่วยใดๆเลย หลักการง่ายๆก็คือกลับไปที่ทฤษฎีเดิม นั่นก็คือ "อาหารที่สุดแสนจะเฮงซวย (กรณีหาอาหารปลอดสารพิษไม่ได้) มันก็กลายเป็นสารอาหารอันมีค่าได้ ถ้าคุณขยันเคี้ยวให้ละเอียดจริงๆก่อนที่จะกลืนมันลงไปในท้อง" เมื่อฝึก Zen Macrobiotics ได้ในระดับนี้แล้วคุณจะเป็นอย่างที่ George Ohsawa สอนไว้นั่นก็คือ A free man can eat anything. คนที่เป็นอิสระแล้วจะกินอะไรก็ได้หมด แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 54 00:56:28 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 00:45:56

ความคิดเห็นที่ 12 แฟนคลับตามมาดูครับ จากคุณ : Jamba_juice เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 01:03:51

ความคิดเห็นที่ 13 ตามไปอ่านแล้วครับ ขอบคุณมากนะคร้าบบ ลองฝึก เคี้ยว กับ หายใจ ยากมากกๆๆ ใจนึกก็ควบคุมการหายใจ อีกใจต้องควบคุมแล้วก็นับการเคี้ยว เคี้ยวครบ ร้อยครั้ง เป็นน้ำจริงๆครับ ห้าๆ ก็รู้สึก ดีครับ (ปกติเป็นคนกินเร็วมาก) คงต้องฝึกไปเรื่อยๆ อีกนานครับ เดี๋ยว วันเสาร์จะลองไปดูวัตถุดิบ ที่ห้างดีกว่า ได้ยังงัยแล้วจะมาบอกนะครับ จากคุณ : DekSuan เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 16:56:03 A:210.38.110.198 X: TicketID:332988

ความคิดเห็นที่ 14 ผมขอพูดรวมๆเเล้วกันนะครับ มันเยอะมาก ทานอาหารให้ครบสีด้วยครับ ดำ ขาว เหลือง เเดง เขียว ห้ามทานอาหารข้ามมื้อ (ทุกมื้อกินให้หมด ไม่หมดทิ้งเลย) ให้กินของจืดๆเข้าไว้ ทานเห็ดเยอะๆ เต้าหู้ ถั่ว เเค่รอทเเละเก๋ากี้บำรุงสายตา ผักเขียวๆ สีม่วงยิ่งดี งดของมัน เผ็ด ทอด(ตัวดีเลย) เค็ม หวาน งดกินเนื้อๆ ยกเว้นปลาหล่ะ ทานเปรี้ยวบ้างเพราะตับชอบเปรี้ยว กินเค็มบ้างเพราะไตชอบ เเต่ทุกอย่างไม่เค็มไปเปรี้ยวไปเพราะจะไปพิฆาตอวัยวะนั้นๆ ฯลฯ ทานอย่าเยอะต่อมื้อ ให้อยู่ที่ 6-7 ส่วน ไม่กินไรหนักๆหลังสี่โมง - ห้าโมงขึ้นไป ห้ามนอนดึกสามทุ่มก็นอนได้เเล้ว ส่วนจะเป็นอาหารจานไหนนั้น ก็ควรทำเมนูนึงที่มีส่วนประกอบหลายอย่างรวมกัน เช่นผักหลายชนิด ปวยเล๊งก็ดีมากเช่นเดียวกับ เข่งไฉ่ หรือคื่นช่าย ต้านมะเร็งดี มะระบำรุงหัวใจ ทานผลไม้ เช่นเเอปเปิ้ล อย่างน้อยกินลูกนึงต่อวัน จขกทลองไปเเมะดูก้ดี ว่าร่างกายหยินหยางสมดุลไหม อวัยวะใดอ่อนเเอ ก็ไปโป๊วตรงนั้นด้วยอาหารต่างๆตามธาตุ เเละเหมือนกับว่า ต้องทานอาหารให้ถูกฤดูกาลด้วย เเละนอกจากอาหารเเล้ว การใช้ชีวิตอื่นๆก็สำคัญมาก ถ้างานเป็นเเบบ sedentary คือนั่งทั้งวัน ก็ไม่ดี หรือจ้องคอมตลอดก็ไม่ได้ คุยโทรศัพท์นานๆนี่ลดได้เลย มะเร็งสมองเลยนะ ถ้าไม่ชอบออกกำลังกายก็อย่าซ้ำท่าอริยาบทเดิมๆ เปลี่ยนๆบ้าง ไรอีกหว่า คือคิดไรก็พิมพ์เลยนะครับไม่ได้เรียบเรียง  อ๋อเเล้วอย่างน้ำต้ม ให้ดื่มภายในวัน ห้ามดื่มข้ามวันเพราะข้ามวันน้ำจะก่อเกิดสารบางตัวทำให้เป็นมะเร็งด้วยหล่ะ ... จากคุณ : Thaumaturge เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 20:48:44

ความคิดเห็นที่ 15 @คุณ Thaumaturge ขอบคุณมากคร้าบบ ได้ความรู้เยอะเลย ลืมไป วันนี้ผมกินข้าวเย็น โดยเคี้ยว หนึ่งร้อยครั้งต่อคำ ปรากฏว่า อิ่มเร็วมาก ข้าวยังหลืออีกครึ่งจานก็ รู้สึกไม่อยากแล้ว จนถึงตอนนี้ ยังอิ่มอยู่เลยครับ (ปกติ เป็นโรคกระเพาะ ตอนดึกๆจะหิวง่ายมากๆ) จากคุณ : DekSuan เขียนเมื่อ : วันออกพรรษา 54 21:05:34 A:210.38.110.198 X: TicketID:332988

ความคิดเห็นที่ 16 ไปเจออันนี้มาครับ ทีนี้จะได้เข้าใจกันสักทีว่า นม เป็นกรดกัดกระเพาะได้นะครับ ข้อความคัดมา----------------- ทำไมเป็นโรคกระเพาะแล้วห้ามทานนมรองท้อง (อันตรายมากนะ) ปีใหม่นี้อดไปเท่วเลยอ่ะ เตรียมตัวพร้อมทุกอย่างแต่เปื่อยซะงั๊นต้องไปเกยตื้นอยู่โรงพยาบาล โรคกระเพาะกำเริบ (อีกแล้ว) แต่ก็อบอุ่นไปด้วยพ่อ แม่ เพื่อนพ้อง น้อง พี่ ที่เป็นห่วงเป็นใย ขอบคุณ และขอบใจทุกๆคนมากเลยนะ เพื่อนๆเคยเป็นโรคกระเพาะมั๊ยคะ มันทรมานมากเลยเป็นเรื้อรังมานานแล้วรักษาไม่หายด้วยสิ ขึ้นอยู่กับการดูแลตัวเองในเรื่องการรับประทานอาหาร การพักผ่อน ทานให้เป็นเวลา ไม่ทานรสจัด ความเครียดก็เป็นบ่อเกิดของโรคกระเพาะ เพราะมันจะหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติเมื่อเราเครียด อาหารรสจัด กับการกินไม่เป็นเวลานี่ไม่ต้องสาธยายมากตัวการเลยทีเดียว แล้วหลายๆคนก็เข้าใจว่าเมื่อเราไม่มีเวลาทานอาหารมื้อหลัก เราจัดเวลาไม่ได้ เราอยากไดเอ็ท อะไรทั้งหลายแหล่ เราเลยทานนมหรือน้ำเต้าหู้เข้าไปแทนเพื่อเป็นการเคลือบกระเพาะเป็นความคิดที่ผิดมหันต์ นมเป็นสารอาหารที่ดีมีประโยน์ค่ะสำหรับทุกคนแต่ไม่ใช่กับคนที่กำลังมีอาการของการเป็นโรคกระเพาะที่มันกำลงักำเริบ หรือคนที่กำลังท้องว่าง เพราะเมื่อมันลงไปในท้องจะแปรสภาพเป็นกรดอ่อนๆ ซึ่งคนที่มีอาการโรคกระเพาะอยู่แล้วหรือท้องว่างมันจะกัดกระเพาะทำให้เรามีอาการหนักมากขึ้น อย่าเข้าใจว่านมคือ milk แล้วยาที่หมอให้ทาน alum milk มันจะเหมือนกัน alum milk เป็นยาที่มีลักษณะเป็นอิมัลชั่น หมายถึงของเหลวข้นขุ่น มีสีขาว คล้ายนม รสชาติก็ใกล้เคียงกันเพื่อให้ผู้ป่วยรับประทานได้ง่ายขึ้น แต่มันไม่ใช่นมนะคะ เพราะฉะนั้นอย่าหลงไปทานนมเพื่อเคลือบกระเพาะยามที่คุณมีอาการกระเพาะกำเริบหรือท้องว่างเป็นอันขาด อันนี้เล่าจากประสบการณ์จริง ทานนมด้วยความเข้าใจผิด เพราะคิดว่ามันรองท้องได้ และไม่กล้าทานอาหารเพราะทานแล้วปวดท้องมนไม่ได้ คุณหมอแนะนำว่าให้ทานอาหารอ่อนๆเช่นข้าวต้ม โจ๊ก ปลา ถ้าคุณเบื่ออาจจะนำหมูบด ไก่บด ใส่เพิ่มแต่ชิ้นเล็กๆ ผักหั่นชิ่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า ถั่ว ก็ได้ค่ะใส่ข้าวต้ม หรือโจ๊ก เอ่อ งดโจ๊ก+ปลาท่องโก๋นะคะ เตือนด้วยความหวังดี ไข่ก็ไม่ควรใส่ค่ะเพราะมันสุกๆดิบๆไม่ดีค่ะ ระหว่างนี้คุณจะทรมานพอสมควรเวลาที่อาหารหรือเพียงแต่น้ำตกลงกระเพาะ แต่มันจะประมาณ10-15 นาที ขอให้อดทนเข้าไว้ และทานยาตามหมอสั่ง ประมาณ 2-3 วันถ้าคุณมีความพยายามคุณจะผ่านพ้นไปได้และสามารถทานอาหารอื่นๆได้มากขึ้นโดยไม่ปวดแสบท้องค่ะ แต่ก็ยังต้องทานยาต่อเนื่องเป็นเวลา 1-6 เดือนแล้วแต่หมอจะวินิจฉัยอาการของคุณ ใช่ว่าหายปวดท้องแล้วเลิกทานยาได้เลยนะคะ เคยมีคนโง่ๆคนนึง เอ...เราเองนี่หว่า กินอะไรลงไปก็แสบท้องไม่กินก็หิว เลยแอบกินแต่นมเพราะคิดว่าดีที่สุดแล้ว เลยเป็นหนักกว่าเดิมอีก จนหมอบอกว่า ดีนะที่ไม่วูบตายไปซะก่อนและเข้าขั้นมีอาการทางจิตนะเนี่ยะคุณ อิอิ หมอแซวคนอะไรกินแต่นม กินวันละ 6 กล่อง แอบกินด้วยกัวคนเห็น คุณหมอส่ายหน้ายิ้มเล็กๆ แล้วว่า คุณเป็นคนไข้ที่สวยนะเนี่ย ผมไม่ได้แกล้งยอนะ แต่ว่าคุณต้องใช้สมองมากกว่านี้นิดหนึ่ง อ้าว.....ดีนะที่หมอหล่อไม่งั๊นจะตั๊นหน้าให้หลอกด่านี่หว่า และด้วยความฉลาดน้อยโดยไม่รู้ตัวทำให้ต้องนอนโรงพยาบาลมาแล้วหลายรอบ ขอให้เพื่อนๆดูแลสุขภาพด้วยนะคะ จะได้ไม่ต้องทรมานนอนขดเป็นดักแด้ด้วยความเจ็บปวด ------------- credit : โดย ชบา www.oknation.net จากคุณ : DekSuan เขียนเมื่อ : 13 ต.ค. 54 21:20:38 A:210.38.110.198 X: TicketID:332988

ความคิดเห็นที่ 17 การเคี้ยวอาหารละเอียดมากๆมีผลดีคือ 1. ทำให้กินน้อย แต่ได้สารอาหารเพียงพอ และไม่เหนื่อย 2. ทำให้อวัยวะภายในหลายอวัยวะที่ต้องย่อยอาหารและต้องทำหน้าที่ต่างๆที่เกี่ยวข้องเช่นกรองสารพิษออกจากร่าง ต่างก็ทำงานเบาลง 3. ร่างกายใช้งานอาหารที่กินเข้าไปได้หมดง่ายๆ ไม่เหลือสารตกค้าง (อาหารย่อยไม่หมด) ที่เป็นพิษแก่ร่างกาย 4. ผลที่เห็นทันตาก็คืออาหารที่ถูกเคี้ยวละเอียดมากๆพอปนกับน้ำลายและน้ำย่อย มันเคลือบกระเพาะไว้ไม่ให้เจ็บได้ซึ่งร่างกายสามารถรับรู้ได้ทันที อาหารวิเศษที่เคี้ยวละเอียดมากๆแล้วแก้อาการเจ็บท้องได้ทันตาเห็นคือ "ข้าวกล้องเม็ดสั้นแบบ organic ที่หุงโดยเติมเกลือสมุทร (เกลือธรรมชาติจากทะเลที่ไม่ผสมไอโอดีน)ลงไปเล็กน้อย" ข้าวที่ว่านี้เป็นข้าวญี่ปุ่น มีคนเอาไปปลูกแพร่พันธ์ในยุโรปและอเมริกากันมากมาย เพราะคนที่ฝึกวิชา Zen Macrobiotics เชื่อกันว่าข้าวเม็ดสั้นไร้กลิ่นมีพลังรักษาโรคมากกว่าข้าวเม็ดยาวที่มีกลิ่นหอม เนื่องจากข้าวเม็ดสั้นที่ว่านี้มีดุลยภาพหยินกับหยางในอัตราส่วน 7 ต่อ 1 ซึ่งเป็นอัตราที่เหมาะกับร่างกายมนุษย์มากที่สุดเมื่อเทียบกับบรรดาธัญพืชทั้งหมด ^ ^ โชคดีที่ตอนนี้ก็มีข้าวกล้องเม็ดสั้นแบบ organic มาขายในเมืองไทยแล้ว เพราะคนไทยซื้อเครื่องสีข้าวมือสองจากญี่ปุ่น แล้วไปเจอข้าวเปลือกตกอยู่ในเครื่องก็เลยเอามาเพราะพันธ์ในไทย ตอนนี้มีขายในเลมอนฟาร์ม เราเห็นแล้วดีใจมากๆ เพราะเราไม่เคยชอบข้าวหอมมะลิเลยถึงจะหาเป็นข้าวกล้องได้ก็ตาม เรากินแต่ข้าวกล้องเม็ดสั้นมาโดยตลอดเพราะสังเกตเห็นว่าทำให้ร่างกายมีพลังอยู่ตัวอึดมากๆ แต่จะหุงมันให้ได้สุกง่ายๆต้องใช้ pressure cooker (หม้อความดัน) ซึ่งควรใช้หม้อ stainless steel ไม่ควรใช้อลูมิเนียม แต่โห มันแพงมากๆไอ้หม้อที่ว่านี้ เราเคยใช้หม้อ cast iron (เหล็กหล่อ) ซึ่งเก็บความร้อนได้สูง หุงข้าวแข็งๆสุกได้ง่ายๆ แต่เราทำมันตกแตก เลยบางทีขี้เกียจหุงนานๆเราเลยกินข้าวเหนี่ยวฮางแบบข้าวกล้องแทน (มีแบบ organic ด้วยนะ) หุงง่ายดีแฮะ...แพล็บเดียวก็สุก แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 54 13:11:32 จากคุณ : fortuneteller เขียนเมื่อ : 17 ต.ค. 54 13:05:20